วันอาทิตย์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2557

พระพุทธศาสนา ใช่วิทยาศาสตร์หรือไม่?



พระพุทธศาสนา ใช่วิทยาศาสตร์หรือไม่?
            
 พระพุทธศาสนา ไม่ใช่ วิทยาศาสตร์
        
ความรู้แบบวิทยาศาสตร์ เป็นไปเพื่อ โลภะ โทสะ โมหะ      นำไปสู่อปายภูมิ เช่น ไอสไตน์ แยกสร้างสูตร E = MC2  (จากการแยกข้าวเปลือกจนเป็นปรมาณู) ก่อเกิดการทำลายล้างมนุษยชาติ และสัตว์ทั้งหลาย มีการสร้างเครื่องบิน สร้างอาวุธต่างๆ เพื่อสร้างความเป็นใหญ่ ความก้าวหน้าทางวิทยศาสตร์ คือความก้าวหน้าเพื่อ โลภะ โทสะ โมหะ มีแต่เพิ่มความเป็นตัวตนมากขึ้น เป็นไปเพื่อผลประโยชน์ส่วนตน เป็นไปเพื่ออัตตา แต่ในทางพระพุทธศาสนา พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสั่งสอนเป็นปริยัตติ มีผลเป็นปฏิปัตติ เพื่อให้ถึงปฏิเวธ เป็นไปเพื่อละกิเลส สิ้นโลภะ สิ้นโทสะ สิ้นโมหะ เป็นไปเพื่อลดอัตตา เป็นไปเพื่ออนัตตา และเป็นไปเพื่อ มัคค   ผล   นิพพาน
            
 พระพุทธศาสนา ไม่ใช่ วิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา วิทยาศาสตร์กล่าวถึงสสารว่า “สสารไม่ใช่พลังงาน” ในอดีตวิทยาศาสตร์เคยกล่าวว่า “สสารไม่เปลี่ยนเป็นพลังงาน” แต่ในปัจจุบันวิทยาศาสตร์กล่าวว่า “สสารสามารถเปลี่ยนเป็นพลังงานได้” ซึ่งในทางพระพุทธศาสนา พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทันสมัยอยู่เสมอ พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสไว้นานกว่า ๒๕๙๐ ปีมาแล้วว่า “สสาร คือ พลังงาน  พลังงาน คือ สสาร”
            
 ความรู้ทางพระพุทธศาสนามีความลุ่มลึกกว่าวิทยาศาสตร์ เช่น ความรู้ทางวิทยาศาสตร์สามารถค้นพบไปลึกเพียงแค่รังสี เช่น รังสี X-ray รังสีเบตา รังสีแกมม่า ปัจจุบัน ถึง คว๊าก เป็นต้น แต่พระพุทธศาสนาสามารถมองลึกไปถึงมหาภูตรูปปรมัตถธัมม ถึงเทวดา พรหม ซึ่งเป็นปฐวีมหาภูตรูปปรมัตถธัมม ซึ่งวิทยาศาสตร์มองไม่เห็น เปรียบเทียบให้เห็น :
สสาร เปลี่ยนเป็น พลังงาน.....พลังงาน เปลี่ยนเป็น สสาร
โมเลกุล รวมตัวกันมากๆ เป็น สสาร
อะตอม รวมตัวกันมากๆ เป็นโมเลกุล
อนุภาค รวมตัวกันมากๆ เป็น อะตอม
ปรมาณู รวมตัวกันมากๆ เป็น อนุภาค
รังสี รวมตัวกันมากๆ เป็น ปรมาณู
คว๊าร์ก รวมตัวกันมากๆ เป็น รังสี
วิทยาศาสตร์ค้นพบเพียง คว๊าร์ก ส่วนที่ละเอียดลุ่มลึกกว่านี้ วิทยาศาสตร์ไม่สามารถค้นพบได้ เปรียบระยะทางเป็นแสนๆล้านๆกิโลเมตร กว่าจะไปค้นพบ มหาภูตรูปปรมัตถธัมมะ ใน เทวดา และ พรหม
พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงค้นพบ   มหาภูตรูปปรมัตถธัมมะ  ค้นพบ จิตตะ และ เจตสิกะ

พระพุทธศาสนา ไม่ใช่ วิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์กล่าวว่า สสารทุกอย่างไม่สูญหายไปจากโลก แต่พระพุทธศาสนาโดยพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า สรรพสิ่งไม่มีอะไรเที่ยงแท้แน่นอน สสารย่อมสูญหายไปจากโลกได้ เช่น ท่านผู้ได้ฌาน สามารถที่จะจากโลกนี้ไปอยู่ยังโลกอื่นได้   เช่น       ท่านกาฬเทวิลดาบส ท่านสามารถไปพักผ่อนอิริยาบถอยู่บนสวรรค์ชั้นตาวติงสา(ดาวดึงส์)โดยการเหาะไปด้วยกายเนื้อ หรือท่านผู้ได้ฌานอื่นๆ ที่มีอภิญญาฤทธิ์ สามารถหายตัวไปจากโลกนี้ไปอยู่โลกอื่นๆ ได้ พร้อมด้วยกายเนื้อเช่นกัน
            สรุปแล้ว ความรู้แบบวิทยาศาสตร์เป็นไปเพื่อโลภะ โทสะ โมหะ ที่จะนำไปสู่อบายภูมิ เช่น ไอสไตน์ แยกข้าวเปลือกจนเป็นปรมาณูทำลายล้าง วิทยาศาสตร์สร้างเครื่องบิน สร้างอาวุธนิวเคลียร์ ฯลฯ ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ คือความก้าวหน้าเพื่อโลภะ โทสะ โมหะ แต่พระพุทธศาสนาเป็นไปเพื่อความสิ้นกิเลส สิ้นโลภะ สิ้นโทสะ สิ้นโมหะ เพื่อให้ถึงซึ่ง มัคค  ผล  นิพพาน พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงชี้ให้ย้อนไปดูวิทยาศาสตร์เพื่อให้มองเห็นว่าเป็น ผล แล้ว จึงให้มองกลับไปหา เหตุ (จิตต เจตสิก รูป) เพื่อให้   ละโลภะ ละโทสะ ละโมหะ นั้นเพื่อพระนิพพาน ไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏฏอีกต่อไป เพราะฉะนั้น พระพุทธศาสนาจึงไม่ใช่วิทยาศาสตร์.

สาธุ  สาธุ  สาธุ  อนุโมทามิ
***วิเสสลกฺขณมิตฺตา***
ชมรมสิกขาธัมมะตามพระไตรปิฎก(ติปิฏกะ) ๘๔๐๐๐ พระธัมมขันธะ
...........................................................................................................

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น