วันอาทิตย์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2557

หลักในการสิกขา ธัมมะของพระพุทธเจ้า และ หลักในการอ่าน พระติปิฏกะ ให้เข้าใจ

    หลักในการสิกขา ธัมมะของพระพุทธเจ้า

๑.      สุตฺต หรือ สวน (สะวะนะ)  คือ ฟังพระพุทธเจ้าเท่านั้น
   สุตฺต   =   โสต   =   ฟัง
                การสิกขาธัมมะ คือ ต้องฟังพระพุทธเจ้า ว่าพระพุทธเจ้าทรงสอนว่าอย่างไร ไม่ใช่ฟังจากครูอาจารย์ แล้วปักใจเชื่อโดยไม่เทียบเคียง เปรียบเทียบกับพระติปิฏกะ
                การได้เป็นพระอริยปุคคละ เริ่มต้นที่พระโสตาปันนะ
 โสดา  โสตา  =  โสต  ฟัง   คือต้องฟัง ทุกคนที่บรรลุธัมมะในพระสุตตันตปิฎกะ ล้วนต้องฟังธัมมะจากพระพุทธเจ้า ที่สาวกะนำมาแสดง ไม่มีผู้ใดที่ไม่ฟังพระพุทธเจ้าแล้วจะบรรลุธัมมะได้เลย
๒.    การสิกขา ธัมมะของพระพุทธเจ้าให้คิดไว้เสมอว่า เราต้องเป็นเพียงเด็กอนุบาลเท่านั้น ในทางโลกกว่าเราจะเรียนจบปริญญาตรี ปริญญาโท  ปริญญาเอก กว่าเราจะอ่านออกเขียนได้ มีวุฒิจบปริญญาในระดับต่างๆ มีอาชีพ มียศ มีตำแหน่ง มีฐานะ จบเปรียญธัมมะ เราต้องเริ่มเรียนตั้งแต่ เรียนก.ไก่ ฮ.นกฮูก ผสมสระ พยัญชนะ วรรณยุกต์ จากชั้นอนุบาล ประถม มัธยม อุดมศึกษา จนจบปริญญา เช่นเดียวกันในทางธัมมะ ซึ่งเป็นธัมมคัมภีระ เราต้องสิกขาตั้งแต่พื้นฐานของธัมมะ คือต้องสิกขาในเรื่อง จิตตะ เจตสิกะ รูปะ  ซึ่งเป็นปรมัตถธัมมะ จนกว่าจะไปสู่ขั้นการบรรลุธัมมะ เป็นพระโสตาปันนะ จนถึง พระอรหันตะ
สิ่งที่เราเรียนมาทางโลก เป็นไปได้ใน สัญญา ๓  คือ กามสัญญา โคจรสัญญา และมรณสัญญา เพื่อใช้ทำมาหากิน เลี้ยงชีวิต เมื่อตายลงเป็นเหตุให้ไปอปายภูมิเท่านั้น ส่วน ธัมมสัญญาของพระพุทธเจ้าเป็นไปเพื่อมัคคะ  ผละ  นิพพานะ
๓.     การสิกขา ธัมมะให้คิดเสมอว่า เราต้องทนฟังและฟังทนเท่านั้น เพราะธัมมะของพระพุทธเจ้าเป็นไปเพื่อการหลุดพ้น การจะหลุดพ้นได้ต้องใช้เวลายาวนานเป็นอสังเขยยชาติ (อสงไขยชาติ) พระผู้มีพระภาคเจ้า (ปัญญาธิกะ) ต้องใช้เวลาถึง ๒๐ อสังเขยยะ กำไรแสนกัปปะ เพื่อตรัสรู้ธัมมะที่จะนำมาสั่งสอนเวเนยยสัตตา (เวไนยสัตวะ)ให้พ้นทุกขะ  ข้อธัมมะล้วนเป็นธัมมคัมภีระ ลึกซึ้ง เห็นได้ยาก และรู้ตามได้ยาก จำเป็นต้องใช้เวลายาวนาน และต้องอดทน
๔.     อย่า ใจร้อน อย่าด่วนได้ อย่าเอาแต่ใจ อย่ามักง่าย ต้องใคร่ครวญธัมมะให้ลึกซึ้ง อย่ายกตนเทียบปุคคละในสมัยพุทธกาละ อย่าตีตนเสมอพระพุทธองค์ อย่าปัญญัตติธัมมะเอาเอง อย่าได้คิดเอาเอง หรือลงความเห็นด้วยการเดา
                ปุคคละในสมัยพุทธกาละ ท่านได้สะสมข้อธัมมะมามากมาย เมื่อท่านเกิดมา ท่านพร้อมที่จะบรรลุธัมมะ แม้เพียงฟังธัมมะจากพระพุทธเจ้าเพียงเล็กน้อย ก็สามารถเข้าใจและบรรลุธัมมะได้  เรามีข้อคิดแล้วว่ :
เราจะต้องทำอย่างไรจึงจะถึงธัมมะได้อย่างท่าน?

สาธุ   สาธุ   สาธุ   อนุโมทามิ
วิเสสลกฺขณมิตฺตา
.....................................................................................................................................

หลักในการอ่าน พระติปิฏกะ ให้เข้าใจ

๑.      ต้องคำนึงถึง คติธัมมะในการสิกขา(ศึกษา)พระพุทธสาสนา
                                ๑.๑  พระพุทธรำพึง ที่ว่า  “ธัมมะที่ตถาคตะตรัสรู้แล้วนี้ ลึกซึ้ง เห็นได้ยาก รู้ตามได้ยาก สงบ ปณีตะ มิใช่วิสัยแห่งตักกะ(ตรรก) คือ คิดเอาไม่ได้ หรือไม่ควรลงความเห็นด้วยการเดา...”
                                ๑.๒ พระพุทธดำรัส ที่ว่า  “ดูกร ภิกขุ ทั้งหลาย มหาสมุทรย่อมลึกลงไปตามลำดับ ลาดลงตามลำดับ ไม่โกรกชัน เหมือนภูเขาขาด ฉันใด ธัมมวินยะนี้ก็ ฉันนั้น มีการสิกขาไปตามลำดับ การปฏิปัตติตามลำดับ การบรรลุธัมมะตามลำดับ ลุ่มลึกลงตามลำดับ”
                ๒.  เราเป็นปุถุชนคนธรรมดาในยุคปัจจุบัน    เป็นเพียง       สุคติอเหตุกปุคคละ มีจิตตะ ๑๖
                สุคติอเหตุกปุคคละ  จิตตะ ๑๖  :     โลภจิตตะ  ๘
                                                                                โทสจิตตะ ๒
                                                                                โมหจิตตะ  ๒
                                                 กามาวจรญาณวิปปยุตตมหากุสลจิตตะ ๔
                อย่าได้คิดเปรียบเทียบกับปุคคละในสมัยพุทธกาละที่ท่านฟังธัมมะแล้วบรรลุ ธัมมะได้ง่ายดาย       เพราะท่านเป็น ติเหตุกปุคคละมีจิตตะ ๑๓
                ติเหตุกปุคคละ  จิตตะ ๑๓    : กามาวจรญาณสัมปยุตตจิตตะ ๔
                                                                       รูปาวจรมหากุสลจิตตะ           ๕
                                                                       อรูปาวจรมหากุสลจิตตะ         ๔
                ท่านผู้มีญาณสัมปยุตตจิตตะ ๔  รูปาวจรมหากุสลจิตตะ ๕ และ อรูปาวจรมหากุสลจิตตะ ๔ มีฌานะแล้ว มีสมาธิแล้ว แล้ว พร้อมที่จะบรรลุธัมมะ
                ๓.   อย่าได้ปรามาสะพระภิกขุ พระภิกขุนี อุปาสกะ อุปาสิกา ที่ท่านเป็นปฐมปัญญัตติ เป็นผู้มีหน้าที่มาวางรากฐานด้านต่างๆ ให้แก่ พระพุทธสาสนา เช่นพระฉัพพัคคีย์ เป็นต้น เป็นต้นปัญญัตติในเรื่องของพระวินยะหลายประการ และในที่สุด ภิกขุแต่ละท่านที่มาเป็นต้นปัญญัตติ ซึ่งไม่ต้องอาปัตติ ก็สามารถบรรลุธัมมะได้ การจะมีพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น และจะตั้งพระพุทธสาสนาได้ จะต้องมีผู้อาสาสมัครมาสร้างเหตุของพระวินยะ เป็นต้นปัญญัตติ และพระพุทธองค์จึงจะวางพระวินยะเป็นสิกขาปทได้ แม้ในพระสุตตะ ก็จะมีผู้มาบรรลุธัมมะในลักษณะต่างๆ เพื่อให้มีเรื่องราวครบถ้วนบริบูรณ์ไว้ในพระพุทธสาสนา เพื่อจะได้ไม่มีผู้มากล่าวคัดค้านได้
                ๔.   หลักธัมมะใดที่เราอ่านแล้วยังไม่เข้าใจ ต้องคิดว่าภูมิธัมมะของเรายังไม่มี หรือมีแล้ว แต่ยังไม่สุขุมะ คัมภีระ ก็ควรอ่านผ่านไปก่อน อย่าไปวิพากษ์วิจารณ์ธัมมะของพระพุทธเจ้า
                ๕.    การเรียนแปล พระพุทธวจนะ ให้เป็นไปตามความหมายภาสาโลก จะยังเข้าไม่ถึงความหมายที่สุขุม ลุ่มลึก คัมภีระ เหมือนกับภาสาธัมมะของพระพุทธเจ้า เช่น :
 โล ภะ เราแปลภาสาโลกว่า อยากได้ของเขา แต่ภาสาธัมมะหมายถึง โลภจิตตะ ๘  ซึ่งจะต้องมีปุคคละผู้มี จิตตะ ๑๒๑ เจตสิกะ ๕๒ รูป ๒๘ มีกระบวนการทำงาน จนเข้าสู่ความเป็นพระอรหันตะ
                ๖.    การอ่านพระติปิฏกะ เช่นอ่านพระวินยะ และพระสุตตันตะมีความรู้เรื่องพระพุทธประวัติ พระพุทธกิจจะตลอด ๔๕ พระพรรษา ประวัติพุทธสาวกะ ฯลฯ  เป็นการอ่านเรื่องราวที่เป็นวิปากะ เป็นผลสำเร็จมาแล้ว ว่ามีปุคคละใด ทำอะไรไว้ ที่ไหน ทำแล้วเกิดผลอย่างไร แต่ยังไม่รู้ถึงเหตุที่ทำให้เกิดผลนั้น การจะรู้เหตุต้องสิกขาในพระอภิธัมมะ ซึ่งเป็นเรื่องของปรมัตถธัมมะ ประกอบด้วยเรื่องของจิตตะ เจตสิกะ และรูปะ จึงจะถึงพระนิพพานะ
                ๗.   การตีความหมายธัมมะของพระพุทธเจ้า จะไม่มีคำแปล จะมีแต่ความรู้ลึกซึ้ง ขยายเข้าไปสู่ภาษสาธัมมะ คือ รู้เข้าไปในเรื่องของ จิตตะ เจตสิกะ รูปะ และกระบวนการทำงานของวิถีจิตตะในเรื่องนั้นๆ  ซึ่งเป็นเรื่องของปรมัตถธัมมะในพระพระอภิธัมมะเท่านั้น จึงจะเข้าไปรู้ถึงเรื่องเหตุ แล้วจึงไปดับเหตุนั้นได้ โดยพระพุทธเจ้าทรงนำพาไปเท่านั้น
                ๘.   เราท่านทั้งหลายจำเป็นต้องสิกขาภาสาธัมมะ คือ เรื่องของพระอภิธัมมะจึงจะเข้าใจพระติปิฏกะได้ลึกซึ้ง คัมภีระ เข้าไปสู่ความเข้าใจถูกต้องในหลักธัมมะอย่างแท้จริง จึงจะมีธัมมะเข้าไปรักษา คุ้มครองจิตตะ      ให้พ้นภัยจากการเวียนว่ายตายเกิดในสงสารวัฏฏะ ๓๑ ภูมิได้
สงสารวัฏฏะ๓๑ ภูมิ ได้แก่ : อปายภูมิ ๔ มนุสสะ ๑ เทวตา ๖ พรหม ๑๖ อรูปพรหม ๔.


สาธุ   สาธุ   สาธุ   อนุโมทามิ
***วิเสสลกฺขณมิตฺตา***
ชมรมสิกขาธัมมะตามพระไตรปิฎก(ติปิฎกะ) ๘๔๐๐๐ พระธัมมขันธะ 
..........................................................................................................................

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น