คำถาม - คำตอบ (๑๓ - ๑๕)
(ตามธัมมคัมภีระ)
๑๓. (คำถาม) เทพเทวามีสสัมภาระ
ที่เป็น ตับ ไต ใส้ หัวใจ ฯลฯ ไหม?
(คำตอบ) เทพเทวามีรูป ๒๘ เหมือนมนุษย์
คือมี มหาภูตรูป ๔ อุปาทายรูป
๒๔ แต่เทวดามีสสัมภาระเพียงแค่เนื้อหนัง รูปร่างกาย
ท่านจะมีส่วนที่เป็นประโยชน์ซึ่งเรียกว่า “กายปสาท”
พระพุทธเจ้าไม่ได้บอกว่ากายปสาทจะต้องมีมันสมองในกะโหลกศีรษะ มีลำไส้ เอ็นเล็ก
เอ็นใหญ่ เลือด หัวใจ ตับ ไต ไส้ พุง น้ำดี น้ำเสลด ฯลฯ
พระพุทธองค์ตรัสว่ามีกายปสาทเท่านั้นเป็นศูนย์รวมของเทวดา
ส่วนมนุษย์จะมีอะไรเพิ่มเติมให้ครบรูป ๒๘ เขาก็จะสร้างเพิ่มขึ้นในส่วนละเอียดนั้นๆ
เทพเทวามีรูปที่เป็นปฐวีมหาภูตรูปปรมัตถธัมม
อาโป เตโช วาโย ก็เช่นเดียวกัน มีรูปที่ละเอียดกว่ากายมนุษย์
ต้องกินอาหารเหมือนมนุษย์
แต่อาหารที่กินเข้าไปไม่ต้องมีการย่อยเป็นของหยาบเหมือนมนุษย์
ที่จะต้องมีการขับถ่ายออกมาเป็นอุจจาระ ปัสสาวะ อาหารของเทวดาเป็นอาหารพิเศษเป็น
โอชะ สุทธาโภชนาอันวิจิตร
เป็นของละเอียดเกินสายตาของปุถุชนธรรมดาจะมองเห็นได้ จึงไม่มีของหยาบปรากฏให้เห็น
กายของเทวดาจึงไม่จำเป็นต้องมีอวัยวะครบเหมือนมนุษย์ แต่ท่านมีศูนย์รวมของรูปเรียก
กายปสาท นั่นเอง
สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ
***วิเสสลกฺขณมิตฺตา***
ชมรมสิกขาธัมมะตามพระไตรปิฎก(ติปิฏกะ) ๘๔๐๐๐ พระธัมมขันธะ
.............................................................................................................
๑๔. (คำถาม) การบอกว่า
“พระพุทธศาสนาเกิดจากความกลัว ใช่หรือไม่?”
(คำตอบ) การถามเช่นนั้นเป็นความเข้าใจผิด
การที่มี
“พุทธะ”
เกิดขึ้นในโลก ตั้งแต่ปรารถนาพุทธภูมิมาไม่ได้เกิดจากความกลัว เพราะความกลัวเป็น “โทสะ”
มีโทสะแล้วจะมาเป็น “พระโพธิสัตต์” ได้อย่างไร? เพราะโทสะพาไปอปายภูมิไปเป็นสัตว์นรก
ถามว่า : เมื่อพระพุทธศาสนาไม่ได้เกิดจากความกลัวแล้ว
การปรารถนาพุทธภูมิเกิดจากอะไร?
เราสิกขาธัมมะ เรื่อง จิตตะ เจตสิกะ
รูปะ การที่พระมหาโพธิสัตต์ปรารถนาพุทธภูมิเกิดจาก “ญาณสัมปยุตตจิตตะ” มาจาก มหากุสลจิตตะ
มีการทำงานกับ “เจตสิกะ” ได้แก่ อัปปมัญญาเจตสิก ของพระโพธิสัตต์ คือ “กรุณาเจตสิกของพระโพธิสัตต์
และ
มุทิตาเจตสิกของพระโพธิสัตต์” ซึ่งไม่ทำงานกับโทสจิตตะ
มหากุสลจิตตะนี้ทำงานจึงมีความปรารถนาจะเป็น
“พุทธะ”
เพื่อรื้อสัตว์ขนสัตว์ออกจากสังสารวัฏฏะ ถ้ามีความกลัวแล้วจะปรารถนาทำไม?
เพราะการปรารถนาเป็นพระโพธิสัตต์ จะต้องไปเรียนรู้หมดทุกเรื่อง ไปในที่ทุกแห่ง ไม่ว่าจะเป็นอรูปพรหม
พรหม เทวดา มนุษย์ และอบายภูมิ ๔ ได้แก่ สัตว์นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน
จะต้องลงนรกไปเป็นสัตว์เหล่านั้นเป็นเวลานานแสนนาน เพื่อเรียนรู้แล้ว จึงจะนำมาสอนได้
การที่พระมหาโพธิสัตต์ก่อนออกมหาภิเนษกรมณ์
ทรงเห็นเทวทูตทั้ง ๔ ได้แก่ คนแก่ คนเจ็บ
คนตาย และสมณะ (เห็นคนเกิดภายหลัง
เมื่อพระราชกุมารราหุลประสูติกาล) แสดงว่าได้เวลาแล้วที่ กรุณาเจตสิก
และ มุทิตาเจตสิก จะทำงานกับ มหากุสลจิตตะ๘
ต่อจากนี้ไป การที่จะเป็นพระโพธิสัตต์ที่จะตรัสรู้ก็จะเริ่มส่งกระแสบังเกิดขึ้น
ที่จะดำเนินต่อไปจนกว่าจะตรัสรู้เป็น “พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า”.
สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ
***วิเสสลกฺขณมิตฺตา***
ชมรมสิกขาธัมมะตามพระไตรปิฎก(ติปิฏกะ) ๘๔๐๐๐ พระธัมมขันธะ
.............................................................................................................
๑๕. (คำถาม) ถ้าเรามองเห็น
“ดอกบัว” ควรพิจารณาอย่างไร?
(คำตอบ) การเห็นดอกบัว เป็นการเห็นของจักขุวิญญาณที่อยู่ในอเหตุกจิตต
๒ จิตต(เมื่อสิกขาให้ลุ่มลึก
จะเห็นจากธัมมารมณ์ ในชวนจิตต) มองได้ ๒ แบบ คือ :
๑.
การเห็นดอกบัวให้เป็นกุสล คือ เห็นดอกบัวด้วยจิต... อุเปกขาสหคตัง
จักขุวิญญาณัง อสังขาริกัง กามาวจร อเหตุกกุสลวิปากจิตตัง เป็น จักขุวิญญาณฝ่ายอเหตุกกุสลวิปาก
เป็นการเห็นดอกบัวให้เป็นกุสลคือ ต้องเห็นดอกบัวแล้วนำมาพิจารณาสภาวธัมมะ
โดยโยนิโสมนสิการ ซึ่งเป็นการพิจารณาโดยองค์คุณของพระโสดาบัน(โสตาปนฺน) เช่น เห็นดอกบัวนี้ว่า สวยงาม น่านำไปบูชาคุณพระพุทธเจ้า คุณพระธัมมเจ้า คุณพระสังฆเจ้า หรือมองดอกบัวว่าเป็น อวินิพโภครูป
เป็นเพียงธาตุที่เป็น มหาภูตรูป ๔ ที่มีการประชุมธาตุรวมกัน มีทั้ง รูปวิสยรูป...
คันธวิสยรูป... รสวิสยรูป... และอาหารรูป ที่มีกฏของปรมัตถธัมมะ
ประชุมกันโดยการทำงานของลักขณาทิจตุกกะ(วิเสสลักขณะ)ที่ทำให้เกิดการเสื่อมสลายของสภาวธัมมะอยู่ในสามัญญลักขณะ มีอนิจจลักขณะ...
ทุกขลักขณะ... และอนัตตลักขณะ เกิดไตรลักษณ์(ติลักขณะ) อนิจจัง... ทุกขัง... อนัตตา
๒.
การเห็นดอกบัวให้เป็นอกุสล คือ มองดอกบัวด้วยจิต...
อุเปกขาสหคตัง จักขุวิญญาณัง อสังขาริกัง กามาวจร อกุสลวิปากจิตตัง เห็นดอกบัวว่าเป็นดอกบัว
จะเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้เพราะเป็น อุเปกขา จักขุวิญญาณ ที่เป็น อสังขาริกัง
แน่นอนแล้วว่าเป็นดอกบัว เปลี่ยนแปลงเป็นดอกไม้อย่างอื่นไม่ได้ เป็นการเห็นของจิตตะที่เป็นโลภะอยู่ในกามวจรว่า
ดอกบัวต้องมีลักษณะอย่างนี้ มีสีสวยงาม สีชมพู ขาว เหลือง ม่วง
มีกลิ่นหอมอย่างดอกอุบลทั้งหลาย เป็นที่ชื่นตาชื่นใจ เกิดความชื่นชมยินดีเป็นโลภะ
เราเห็น
“ดอกบัว” เกิดจากการทำงานของ “ผัสสเจตสิก” จักขุวิญญาณทำงาน กับ สัพพจิตตสาธารณเจตสิก
๗ ประกอบด้วย ผัสสเจตสิก...
เวทนาเจตสิก... สัญญาเจตสิก... เจตนาเจตสิก ...
เอกัคคตาเจตสิก... ชีวิตเจตสิก...
และมนสิการเจตสิก ผัสสเจตสิกมาทำงานกับโลภจิตตะ (อกุสลจิตตะ)
เพียงตากระทบเรารู้ทันทีว่า “ดอกบัว” ฉะนั้นจะเห็นเป็นโลภะ
เรามองทุกสิ่งทุกอย่างเกิดจากผัสสเจตสิกตัวแรก จิตตะกับเจตสิก ทำงานกันเป็น “สังขาร”
มาทำงานที่ “ผัสสะ” ก่อน ไม่ว่าจะเป็น กุสลจิตตะ หรือ อกุสลจิตตะ
ถ้าตาเห็นดอกบัวเรานึกถึงดอกบัวเฉยๆ แสดงว่าตานั้นเป็นอกุสล
เป็น “อุเปกขา
จักขุวิญญาณอกุสลวิปากจิตตัง” เป็นอเหตุกอกุสลจิตตะทำงาน จากอเหตุกจิตตะส่งต่อไป
เป็นโลภะในชวนจิตตะ ไปเก็บที่ ตทาลัมพนะ
แล้วส่งไปใน “อุเปกขาสหคตัง สันตีรณจิตตัง อสังขาริกัง กามาวจร
อกุสลวิปากจิตตัง” ซึ่งเป็นจิตตะ สำหรับรับผลจาก โลภะ โทสะ โมหะ
สำหรับไปปฏิสนธิในอปายภูมิ
ถ้าเราเห็นคำว่า “ธัมมจักกัปปวัตตนสุตตะ”
เรารู้ทันทีว่า “พระพุทธวจนะ” ที่เรารู้ว่าเป็นพระพุทธวจนะ เพราะมีสัญญาอยู่ในจิตตะของเราแล้ว
เมื่อตาเห็น ผัสสเจตสิก ทำงานกับ มหากุสลจิตตะที่ ๑ “โสมนัสสสหคตัง
ญาณสัมปยุตตัง อสังขาริกัง กามาวจร มหากุสลจิตตัง” และ “โสมนัสสหคตัง ญาณวิปปยุตตัง
อสังขาริกัง กามาวจร มหากุสลจิตตัง” ที่มีอยู่ในจิตตะ
แล้วแต่ว่าผัสสะที่มองเห็นนั้นเป็นอะไร?
เราเห็นดอกบัวครั้งแรกเป็นผัสสเจตสิก
รู้ว่าเป็นดอกบัว สัญญาเจตสิกทำงานกับโลภจิตตะ แต่เมื่อใดเราน้อมจิตตะไปสู่กระแสธัมมะจึงเป็นญาณะ
แต่เวลาเราเห็นเราไม่รู้ เราชินแล้ว
(อสังขาริกัง) มองจนชินแล้ว เราไม่รู้นึกว่าเป็นกุสล แต่จริงๆแล้ว จิตตะเราจัดสรรลงไปแล้วโดยเราไม่รู้
เห็นอะไรก็ลงเก็บหมดในภวังคจิตตะ ปกติเราลืมตาขึ้นมาก็เห็น
แม้ไม่ลืมตาขึ้นมาก็เห็นในจิตตะ ไม่มีเว้นเลย แม้หลับตาไม่มองก็ยังได้ยินทางหูอีก
และหูก็มีทั้งกุสลและอกุสลเช่นเดียวกัน ถ้าไม่สิกขาธัมมะ แล้วเราจะรอดไหม?.
สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ
***วิเสสลกฺขณมิตฺตา***
ชมรมสิกขาธัมมะตามพระไตรปิฎก(ติปิฏกะ) ๘๔๐๐๐ พระธัมมขันธะ
............................................................................................................
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น