คำถาม - คำตอบ (๑๑ - ๑๒)
๑๑. คำถาม : “ตามเวรตามกรรม”
เป็นคำพูดติดปากชาวบ้าน
“กรรม(กมฺม)
ในความหมายของพุทธะ คือ อย่างไร?”
คำตอบ : “กรรม หรือ กัมมะ” ตามที่เข้าใจกันมา มักจะนึกถึง กรรมเก่า กรรมเวร
เวรกรรม ตามเวรตามกรรม ปล่อยไปตามยถากรรม ฯลฯ อะไรก็กรรมทั้งสิ้น
กรรม หรือ กัมม ในความหมายของพระพุทธองค์
ถ้าพูดถึง กัมมะ ต้องนึกถึง “กัมมปัจจุบัน” กัมมนี้ ประกอบด้วย จิตตะ ๒๙ คือ : อกุสลจิตตะ
๑๒ กามาวจรมหากุสลจิตตะ ๘ รูปาวจรมหากุสลจิตตะ ๕ อรูปาวจรมหากุสลจิตตะ ๔ รวมเป็น จิตตะ ๒๙
คำตอบเกี่ยวกับกัมมปัจจุบัน จะนึกถึง เจตนา
คือ กัมมะ ดัง พระพุทธวจนะ ว่า “เจตนา หํ ภิกฺขเว กมฺมํ วทามิ”
ตรงกับภาษาโลกว่า “ภิกขุทั้งหลาย ตถาคตกล่าว เจตนา ว่าเป็น กัมมะ” กัมมปัจจุบัน
คือ จิตตะ ๒๙ กัมมปัจจุบัน คือ กัมมภพ
กัมมภพ (กรรมภพ) คือ กัมมะ ที่เกิดในปัจจุบันของภพนั้นๆ
หมายความว่า เราเวียนว่ายมาอยู่ในภพไหน ก็ทำกัมมะนั้นๆ เช่น กัมมปัจจุบันในภพนั้นๆ
เราเกิดเป็นสัตว์อะไร? ในช่วงที่เราเกิด เรียก กัมมภพ ก็คือ มี กัมมะ ๒๙
เราเกิดชาติไหน กัมมปัจจุบัน ที่ทำจะส่งผลไปสู่อนาคต
เรียก “วิปาก” หรือ “วิบาก” กัมมปัจจุบัน เพราะกัมมะทำโดยปัจจุบันที่ภพปัจจุบัน
คือทำที่ “ชวนจิตตะ” นั่นเอง ที่ชวนจิตตะนี้ไม่มีวิปาก
หลังจากทำแล้วจึงเรียกว่า “วิปาก” ทำแล้วเรียก “ตทาลัมพนะ ภวังคะ จุติ
หรือ ปวัตติกาล”
ในช่วงที่เป็น ชวนจิตตะ ๘๗
ในจิตตะ ๘๗ ที่ทำนั้นเป็น กัมมะ ๒๕ ถ้าทำแล้วก่อเกิดรูป เป็นกัมมชรูป
ถ้าเป็น กัมมะที่มีอรูปด้วย จะเป็น กัมมะ ๒๙
กัมมะที่ชวนจิตตะ
๘๗ คือ : อกุสลจิตตะ ๑๒ กามาวจรมหากุสลจิตตะ ๘ กามาวจรมหากิริยาจิตตะ ๘ หสิตุปปาทจิตตะ ๑ รูปาวจรมหากุสลจิตตะ ๕ รูปาวจรมหากิริยาจิตตะ ๕ อรูปาวจรมหากุสลจิตตะ ๔ อรูปาวจรมหากิริยาจิตตะ ๔ และโลกุตตรจิตตะ ๔๐
ตรงชวนจิตตะนี้จะบอกได้เลยว่ามีภูมิจิตตะ
ตั้งแต่พระโสดาบัน(โสตาปนฺน) จนถึงพระอรหันต์บังเกิดขึ้น เพราะในชวนจิตตะจะมี
หสิตุปปาทจิตตะ ซึ่งเป็นอารมณ์ของพระอรหันต์อยู่ในชวนจิตตะ
กรรมเวรที่เราทำมาเรียก “วิปาก”
จะไม่เรียก “กัมมะ” กัมมะก่อให้เกิดผล กัมมะที่เราทำไม่ว่าจะเป็นโลภะ โทสะ
โมหะ หรือ ญาณะ เป็นเหตุแล้วส่งผลไปที่วิปาก นี่เป็นผล ได้แก่ กรรม(กมฺม) ๑๒ ซึ่งเรียกว่า “กัมมจตุกะ” แบ่งเป็น ๔
ตามนัยแห่งพระสุตตันตะ คือ :
๑.
ชนกาทิกิจจ กิจการงานของกัมมะ ๔
๒.
ปากทาน ลำดับการให้ผลของกัมมะ ๔
๓.
ปากกาล กำหนดเวลาให้ผลของกัมมะ ๔
๔.
ปากฐาน ฐานที่ให้เกิดผลของกัมมะ ๔
ชนกาทิกิจจ ๔
|
ปากทาน ๔
|
ปากกาล ๔
|
|
๑.
ชนกกัมม
๒.
อุปถัมภกกัมม
๓.
อุปปีฬกกัมม
๔.
อุปฆาตกัมม
|
๑.
ครุกัมม
๒.
อาสันนกัมม
๓.
อาจิณณกัมม
๔.
กฏัตตากัมม
|
๑.
ทิฏฐธัมมเวทนียกัมม
๒.
อุปปัชชเวทนียกัมม
๓. อปราปริยเวทนียกัมม
๔. อโหสิกัมม
|
|
ส่วนปากฐาน ๔
เป็นที่ตั้งแห่งวิปากจิตตะ อันเกิดจากกุสลกัมมะ
และอกุสลกัมมะ เป็นการแสดงตามนัยแห่งพระอภิธัมมะ
ซึ่งมีรายละเอียดที่ต้องสิกขาต่อไป ในที่ตั้งแห่งกัมมะ อันเกิดจาก : อกุสลกัมมะ ๑... กามาวจรกุสลกัมมะ ๑...
รูปาวจรกุสลกัมมะ ๑...
และอรูปาวจรกุสลกัมมะ ๑ ผลแห่งกัมมะ ทำให้ทุกชีวิตจะมีความแตกต่างกัน มีความสุข ความทุกข์
แตกต่างกันไปตามกัมมะที่ทำมา เพราะการทำงานของกัมมะในอดีต จะส่งผลไปในอนาคต ตาม
อดีตเป็นเหตุ... ปัจจุบันเป็นผล ...ปัจจุบันเป็นเหตุ... อนาคตเป็นผล [กุศล (ภาษาสันสกฤต) กุสล
(ภาษามคธ)].
สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ
***วิเสสลกฺขณมิฺตตา***
ชมรมสิกขาธัมมะตามพระไตรปิฎก(ติปิฏกะ) ๘๔๐๐๐ พระธัมมขันธะ
..............................................................................................................
๑๒. (คำถาม) คนเราพูดได้อย่างไร?
และออกเสียงมาจากไหน?
(คำตอบ) คนพูดได้ เกิดจากการทำงานของ จิตตะและเจตสิก
เป็นจิตตชรูป เมื่อพูดออกมาจะมีลมดันออกมาจากปาก จิตตะทำงานกับเจตสิกเป็นคำพูด
คำพูดนั้นถ้ามาจากญาณสัมปยุตตจิตตะ
การพูดนั้นก็จะเป็นกุสลมาจากคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า เป็น สัมมาวาจา มีสัญญาเจตสิกฝ่ายกุสลเช่น
มีสัญญาเจตสิกว่า “สสัมภาระ” พอเห็น สัญญาที่เคยจำได้ มีตัว “ส” มี “ส”
มีตัว....ถึง “ ะ” เมื่อจิตตะมองเป็นรูปขึ้นมาก็จะมีการรวมตัวของพยัญชนะที่เห็น
ออกมาเป็น “สสัมภาระ” เป็นรูปออกมา และจิตตะก็มีสัญญาของเสียงว่า “สสัมภาระ”
รูปลอยตัวขึ้นมา ก็มีลม “อุทธังคมาวาตา”
จะดันช้อนคำพูดและเสียงนั้นขึ้นมา ให้ออกมาทางเบื้องบน คือ ปาก เราก็พูดได้ออกเสียงว่า “สสัมภาระ”
ถ้าเราจะพูดคำว่า สสัมภาระเป็นภาษาอังกฤษ จิตตะและเจตสิก จะไปหาว่ามีการบันทึกไว้ว่าอะไร?
อยู่ที่ไหน? จิตตะจึงไปหาเจตสิก โดยเจตสิกวิ่งไปหาจิตตะ ทำงานกันด้วยวิเสสลักขณะ
หาว่าสสัมภาระที่ตรงกับภาษาอังกฤษนั้น เขียนว่าอย่างไร? ก็จะมีการค้นหาแต่หาไม่พบ
ก็จะไม่ออกมาเป็นรูปภาษาอังกฤษ ลมอุทธังคมาวาตาก็ไม่ช้อนเสียงออกมา
แต่ถ้ารู้คำภาษาอังกฤษเช่นคำว่า “water” ก็จะออกรูปมาเป็น “water” เพราะจิตตะรู้ว่ามีการบันทึกไว้ และเจตสิกก็ปรุงเป็นเสียง
ก็จะออกมาเป็นเสียงว่า “water” ลมอุทธังคมาวาตา ก็จะช้อนเสียงคำว่า
water ขึ้นมาแล้วดันเสียงนั้นออกมาจากปากเป็นคำพูด
สำหรับคนที่เป็นใบ้ พูดไม่ได้ จะมีลมออกอย่างเดียวเพราะไม่สามารถทำให้จิตตะกับเจตสิกทำงาน
แล้วออกมาเป็นเสียงพูดหรือคำพูดได้.
สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ
***วิเสสลกฺขณมิฺตตา***
ชมรมสิกขาธัมมะตามพระไตรปิฎก(ติปิฏกะ) ๘๔๐๐๐ พระธัมมขันธะ
............................................................................................................
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น