หลังจากพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วและทรงเสวยวิมุตติสุขตามบริเวณ “สัตตมหาสถาน” จำนวน ๗ แห่ง เป็นเวลาแห่งละ ๗ วัน จนครบ ๗ สัปดาห์ไปตามลำดับคือ :
๑. รัตนโพธิบัลลังก์(รตฺนโพธิปลฺลงฺก) ภายใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ(สิริมหาโพธิ )-(อัสสัตถพฤกษ์)
๒. อนิมิสสเจดีย์(อนิมิสฺสเจติย)
๓. รัตนจงกรมเจดีย์(รตฺนจงฺกมเจติย)
๔. รัตนฆรเจดีย์(รตฺนฆรเจติย)
๕. อัชปาลนิโครธเจดีย์(อชปาลนิโครธเจติย)
๖. มุจจลินทเจดีย์(มุจจลินฺทเจติย)
๗. ราชายตนเจดีย์(ราชายตนเจติย)
ใน สัปดาห์ที่ ๘ ขณะประทับนั่ง ณ ควงไม้อัชปาลนิโครธ ทรงพุทธรำพึงว่า :
ธรรม(ธมฺม) ที่ตถาคตได้บรรลุแล้วนี้ ลึก ซึ้ง เห็นได้ยาก รู้ตามได้ยาก สงบ
ประณีต(ปณีต) มิใช่วิสัยแห่งตรรก(ตกฺก) คือ คิดเอาเองไม่ได้
หรือไม่ควรลงความเห็นด้วยการเดา แต่เป็นธรรมที่ปัณฑิตะ บัณฑิต(ปณฺฑิต ) พอจะรู้ได้
อนึ่งเล่า สัตวะทั้งหลายส่วนมากยังถูกอวิชชาครอบงำ ยินดีในความอาลัย เริงรมย์และชื่มชมในอาลัย คือ กามคุณ
สัตวะเหล่านั้นจะไม่รู้ซึ้งถึงธรรมของตถาคต สัตวะผู้เห็นปานนั้น
ยากนั้นที่จะเห็นปฏิจจสมุปบาท(ปฏิจฺจสมุปฺปาท)และพระนิพพาน
ซึ่งมีสภาพบอกคืนกิเลศ(กิเลส)ทั้งมวล ทำตัณหาให้สิ้น ดับทุกข์
ตถาคตจะพึงแสดงธรรมหรือไม่หนอ ถ้าแสดงไปแล้วคนอื่นรู้ตามไม่ได้
ตถาคตก็จะพึงลำบากเปล่า โอ! อย่า
เลย อย่าประกาศธรรม ที่ตถาคตได้บรรลุแล้วเลย
ธรรมนี้อันบุคคล(ปุคฺคล)ผู้เพียบแปล้ไปด้วย ราคะ โทสะ โมหะ
จะรู้ได้โดยง่ายมิได้เลย บุคคลที่
ยังยินดีพอใจให้กิเลศ(กิเลส)ย้อมจิต ถูกความมืดคืออวิชชาหุ้มห่อแล้ว
จักไม่สามารถเห็นได้ซึ่งอมตธรรม อันจะยังสัตวะให้ถึงซึ่งพระนิพพาน
ซึ่งเป็นธรรมที่ทวนกระแสจิตอันละเอียด ประณีต ลึก ซึ้ง เห็นได้ยากนี้
ลำดับนั้น ท้าวสหัมบดีพรหม(สหมฺปตีพฺรหฺม) ทรงทราบพระปริวิตกก(ปริวิตฺกก)ของพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงดำริว่า : “ท่านผู้เจริญ โลกจักพินาศ(วินาโส )หนอ ท่านผู้เจริญ โลกจักพินาศ(วินาโส )หนอ เพราะจิตของพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า น้อมไปเพื่อความขวนขวายน้อย ไม่น้อมไปเพื่อการทรงแสดงธรรมฯ”
ลำดับนั้น ท้าวสหัมบดีพรหม จึงหายวับจากพรหมโลกมาปรากฏ ณ สำนักของพระบรมศาสดา พร้อมทรงพาท้าวสักกเทวราช ท้าวสุยามเทวราช ท้าวสันตุสิตเทวราช ท้าวนิมมานรตีเทวราช ท้าวปรนิมมิตวสวัตตีเทวราช และท้าวมหาพรหมทั้งหลายจากหมื่นจักรวาล มาทูลอาราธนาให้พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงธรรม การเสด็จมาของท้าวมหาพรหมเปรียบเสมือนบุรุษ(ปุริสา) ผู้มีกำลังเหยียดแขน คู้แขนฉะนั้น ต่างพากันเสด็จไปประดิษฐานเฉพาะพระพักตร์พระทสพลญาณ
ครั้นแล้ว ท้าวสหัมบดีพรหม จึงห่มผ้าลดไหล่ข้างหนึ่ง คุกเข่าขวาลง ณ พื้นปฐพี ประนมอัญชลีไปทางพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วกราบทูลว่า “ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ขอพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพระมหากรุณาธิคุณโปรดประทาน
พระสัทธรรมแด่เวไนยสัตว์ทั้งหลาย ของพระสุคตเจ้าทรงโปรดแสดงธรรมเถิด สัตวะทั้งหลายผู้มีธุลีในจักขุน้อย (มีอกุศลจิตน้อย) ยัง มีอยู่ แม้มิได้สดับรับรสแห่งพระสัทธรรม ก็จะเสื่อมสูญจากพระอริยมัคคญาณ ผลญาณ จะสูญเสียประโยชน์อันใหญ่หลวง อนึ่งสัตวะผู้บำเพ็ญบารมีมา แต่ในสมเด็จพระพุทธเจ้าในอดีตกาล บริบูรณ์ประดุจดอกปทุมชาติ พร้อมที่จะบานเมื่อได้รับแสงพระสุริยา มีความปรารถนาจะได้รับฟังพระสัทธรรม แม้เพียงพระคาถาเดียวก็จะหยั่งลงในอริยภูมิ สำเร็จมัคค ผลได้ ส่วนสัตวะที่มีอุปนิสัยที่จะบรรลุธรรมนั้นมีมากต่อมาก ขอพระสุคตเจ้าผู้ทรงสร้างสมติงสปารมีมาสิ้นกาลนาน จนบัดนี้ได้บรรลุพระสัพพัญญุตญาณแล้ว ขอทรงมีพระมหากรุณาแก่สรรพสัตว์ หากแม้นมิได้ตรัสพระสัทธรรมเทศนา(สทฺธมฺมเทสนา) สัตวโลกทั้งหลายจะแสวงหาที่พึ่งจากที่ใดเล่า” ดัง พระคาถาอาราธนาธรรม ว่า:
พรหฺมา จ โลกาธิปตี สหมฺปติ กตญฺชลี อนธิวรํ อยาจถ
สนฺตีธ สตฺตา อปฺปรชกฺชชาติกา เทเสหิ ธมฺมํ อนุกมฺปิมํ ปชนฺติฯ
ภควา โลกาธิปตี นรุตฺตโม กตญฺชลีพฺรหฺมคเณหิ ยาจิโต
สนฺตี ธ ธีราปฺปรชกฺขชาติกา เทเสตุ ธมฺมํ อนุกมฺปิมํ ปชํ ฯ
เทเสตุ สุคโต ธมฺมํ เทเสตุ อมตํปทํ
โลกานมนุกมฺปาย ธมฺมํ เทเสตุ นายก ฯ
สมฺปนฺนวิชชาจรณสฺส ตาทิโน ชุตินฺธรสฺสนฺติมเทหธาริโน
ตถาคตสฺสปฺปฏิปุคฺคลสฺส อุปฺปชฺชิ การุญฺญตา สพฺพสตฺเต ฯ
ตํ สุตฺวา ภควา สตฺถา อิทํ วจนมพรวิ (วะจะนะมะพะระวิ)
อปารุตา เต อมตสฺส ทฺวารา เยโสตวนฺโต ปมุญฺจนฺตุ สทฺธํ
วิหึสสญฺญี ปคุณํ น ภาสึ ธมฺมํ ปณีตํ มนุเชสุ พฺรเหฺมติ (พรหมเมติ) ฯ
การ ที่ท้าวสหัมบดีพรหมมาทูลอาราธนาธรรม เพื่อให้พระผู้มีพระภาคเจ้าโปรดเวไนยสัตว์ เพื่อแสดงให้เห็นว่า พระพุทธธรรม ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าจะทรงประกาศต่อไปนี้เป็นหลักธรรมที่มีความลึก ซึ้ง สุขุม คัมภีระ เป็นธรรมที่เป็นไปเพื่อความเป็นพระอรหันต์ทั้งสิ้น เป็นพระพุทธวจนะล้วน แม้จะเป็นถ้อยคำของอรรถกถาจารย์ ๒,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ แต่เมื่อพระพุทธองค์ทรงรับรองแล้ว นั่นคือ พระพุทธวจนะเช่นกัน และเพื่อประกาศว่าชาวพุทธทั้งสิ้นจะต้องยึดหลักพระพุทธรำพึง จะต้องสิกขาธรรมด้วยความคัมภีระ เพราะธรรมที่ประกาศนั้นไม่ใช่ความคิดของปุถุชนคนกิเลศ(กิเลส)หนา ไม่ใช่ความคิดของสัตว์นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน มนุษย์ เทวดา พรหม หรือ อรูปพรหม แต่เป็นธรรมที่เกิดจากการตรัสรู้ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้ามีแต่พระ พุทธเจ้าเท่านั้นที่จะนำพาเราไปสู่ความลุ่มลึกของธรรมนั้นได้
พระ พุทธรำพึงเป็นตัวบ่งบอกว่า จากนี้ไปเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงธรรมคราวใดนั้น ธรรมที่ทรงแสดงนั้นจะต้องมีความสุขุม ลุ่มลึก ไม่ใช่เอามาคิดกันง่ายๆ ไม่ใช่เอามาพิจารณาตื้นๆ ไม่มีการลงความเห็นด้วยการเดา การที่จะมีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ในพุทธันดรหนึ่งเป็นเรื่องแสนยาก ถ้าไม่มีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ ก็ยากนักที่จะมีเวไนยสัตว์บรรลุธรรม แม้สุคติภูมิ (มนุษย์ เทวดา พรหม อรูปพรหม) ก็เป็นอันหวังได้ยาก ดังนั้นเวไนยสัตว์ ๓๑ ภูมิ (อบายภูมิ๔ มนุษย์๑ เทวดา๖ พรหม๑๖ และอรูปพรหม๔) ต่างรอคอยความตรัสรู้ของพระผู้มีพระภาคเจ้า ธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นธรรมที่ละเอียด ยากต่อการที่บุคคลจะตรึกระลึกเอาเอง แล้วจะสามารถรู้แจ้งแทงตลอด พระพุทธเจ้าจึงมาบังเกิดเพื่อโปรดเวไนยสัตว์ให้ได้ถึงซึ่งโลกุตตระ
“ธรรมที่ตถาคตบรรลุแล้วนี้ ลึก ซึ้ง” ลึก มาจาก คัมภีระ เมื่อ “ลึก” แล้วจึง “ซึ้ง” ไม่มีพิจารณาตื้นเขิน นั่นหมายความว่า ธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าจะทรงประกาศต่อไปนี้ ต้องเป็นธรรมที่ไม่ใช่คนธรรมดาจะคิดได้ แต่เป็นธรรมที่เกิดจากความตรัสรู้ ความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าที่ทรงใช้เวลา ๒๐ อสงไขย กำไรแสนกัปป์ หรือหลังจากรับพยากรณ์แล้วจากพระพุทธเจ้า พระองค์ใดพระองค์หนึ่ง
พระโพธิสัตต์ (โพธิสตฺโต ) ที่ยังไม่ได้รับพยากรณ์ เรียกว่า “อนิยตโพธิสัตต์”
พระโพธิสัตต์ (โพธิสตฺโต ) ที่ได้รับพยากรณ์แล้ว เรียกว่า “นิยตโพธิสัตต์”
พระ โพธิสัตต์ ทรงนึกในใจว่าจะเป็นพระพุทธเจ้า ๗ อสงไขยทรงสร้างมหากุศล(มหากุสล) เปล่งพระวาจาว่าจะเป็นพระพุทธเจ้าอีก ๙ อสงไขย และเมื่อได้รับพยากรณ์ของพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่ง เป็น “นิยตโพธิสัตต์” ทรงสร้างพระปารมีต่ออีก ๔ อสงไขย กำไรแสนกัปป์ จนได้ตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณเป็น “พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า” ณ ควงไม้ พระศรีมหาโพธิ ในวันเพ็ญ ๑๕ ค่ำ วิสาขมาส (เดือน ๖ ) สถานที่นั้นปัจจุบันนี้คือ พุทธคยา ตำบลคยา ประเทศอินเดีย
พระ โพธิสัตต์ ทรงนึกในใจว่าจะเป็นพระพุทธเจ้า ๗ อสงไขยทรงสร้างมหากุศล(มหากุสล) เปล่งพระวาจาว่าจะเป็นพระพุทธเจ้าอีก ๙ อสงไขย และเมื่อได้รับพยากรณ์ของพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่ง เป็น “นิยตโพธิสัตต์” ทรงสร้างพระปารมีต่ออีก ๔ อสงไขย กำไรแสนกัปป์ จนได้ตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณเป็น “พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า” ณ ควงไม้ พระศรีมหาโพธิ ในวันเพ็ญ ๑๕ ค่ำ วิสาขมาส (เดือน ๖ ) สถานที่นั้นปัจจุบันนี้คือ พุทธคยา ตำบลคยา ประเทศอินเดีย
ความหมายของ อสงไขย และ กัป
* อสงไขย หรือ อสังเขยยะ (อสงฺเขยฺย) = เป็นปริมาณหรือจำนวนที่มีการกำหนดที่นับประมาณมิได้ อุปมาเปรียบเทียบเอาไว้ว่า : ฝน
ตกใหญ่อย่างมโหฬารทั้งวันทั้งคืน เป็นเวลานานถึง ๓ ปีไม่ได้ขาดสายเลย
จนกระทั่งน้ำฝนท่วมเต็มขอบจักรวาล ซึ่งมีระดับความสูง ๘๔,๐๐๐ โยชน์
หากว่ามีใครสามารถนับเม็ดฝนที่ตกลงมาตลอดทั้ง ๓ ปี นับได้เท่าไร
นั้นคือจำนวนเม็ดฝน ๑ อสงไขย
อนึ่ง คำว่า อสงไขย มาจากภาษามคธว่า อสงฺเขยฺย หมายถึง นับไม่ได้ หรือ นับไม่ถ้วน
พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒ ระบุ
จำนวนอสงไขย = โกฏิ ยกกำลัง ๒๐
หรือ ๑ อสงไขย = 1 x 10140 ปี
* กัปป์ หรือ กัปปะ(กปฺป) หรือ กัป มีความหมายอยู่ ๒ ความหมาย คือ:
๑. จาก ปัพพตสูตร พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค อุปมาเปรียบเทียบไว้ว่า : ภูเขาหินลูกใหญ่ยาว ๑ โยชน์ กว้าง ๑ โยชน์ สูง ๑ โยชน์ (๑ โยชน์ = ๑๖
กิโลเมตร) ภูเขาไม่มีช่อง ไม่มีโพรง เป็นแท่งทึบ บุรุษพึงเอาผ้าแคว้นกาสี
(ผ้าใยบางเบาเหมือนควันบุหรี่) มาปัดภูเขานั้น ๑๐๐ ครั้งต่อปี
จนกว่าภูเขานั้นจะเตียนราบ ระยะเวลานั้น = ๑ กัปป์
๒. จาก สาสปสูตร พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค อุปมาเปรียบเทียบไว้ว่า : นคร ทำด้วยเหล็กยาว ๑ โยชน์ กว้าง ๑ โยชน์ สูง ๑ โยชน์ เต็มไปด้วยเมล็ดพันธุ์ผักกาด มีเมล็ดพันธุ์ผักกาดรวมกันเป็นกลุ่มก้อน บุรุษพึงหยิบเอาเมล็ดพันธุ์ผักกาดเมล็ดหนึ่งๆ ออกจากนคร โดยใช้เวลา ๑๐๐ ปีต่อ ๑ เมล็ด จนกว่าเมล็ดพันธุ์ผักกาดนั้นจะหมดสิ้นไป ระยะเวลานั้น = ๑ กัปป์
เราสิกขาธรรมของพระผู้มีพระภาคเจ้าเท่ากับความลึก ๔ อสงไขย กำไรแสนกัปป์
ธรรมของพระพุทธเจ้านั้น ไม่ใช่ความคิดของ ปุถุชนคนกิเลสหนา
ธรรมของพระพุทธเจ้านั้น ไม่ใช่ความคิดของ สัตว์นรก
ธรรมของพระพุทธเจ้านั้น ไม่ใช่ความคิดของ เปรต
ธรรมของพระพุทธเจ้านั้น ไม่ใช่ความคิดของ อสุรกาย
ธรรมของพระพุทธเจ้านั้น ไม่ใช่ความคิดของ สัตว์เดรัจฉาน
ธรรมของพระพุทธเจ้านั้น ไม่ใช่ความคิดของ มนุษย์
ธรรมของพระพุทธเจ้านั้น ไม่ใช่ความคิดของ เทวดา
ธรรมของพระพุทธเจ้านั้น ไม่ใช่ความคิดของ พรหม
ธรรมของพระพุทธเจ้านั้น ไม่ใช่ความคิดของ อรูปพรหม
ความ คิดที่มีอยู่ในโลกเป็นของยาก เช่นความคิดของเทวดา พรหม อรูปพรหม แต่ความคิดของพระพุทธเจ้านั้นมีความลุ่มลึกยิ่งกว่าวิสัยปุถุชนคนธรรมดาจะ ระลึกได้ การจะไปถึง ๔ อสงไขย กำไรแสนกัปป์ ต้องมีพระพุทธเจ้าเป็นผู้นำทางเราไปสู่ความลุ่มลึกนั้น เราไม่สามารถจะไปขุดความลึกซึ้งนั้นได้ เพราะเป็นธรรมคัมภีระ ในความเป็นธรรมคัมภีระ ไม่ว่าจะลึก ซึ้ง สงบ ประณีต นั้นก็คือ
สงบ คือ เวทนา
เวทนา คือ ฌาน
ฌาน คือ พระอรหันต์
ธรรม ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าประกาศต่อไปนั้น คือ พระพุทธองค์ทรงประกาศให้เห็นว่าหลักสัจจธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้านั้น เป็นธรรมที่เป็นไปเพื่อความเป็นพระอรหันต์ทั้งสิ้น ทรงประกาศหลักธรรมลึกซึ้งรวม ๘๔,๐๐๐ พระธรรมมขันธ์ เป็นพระพุทธวจนะล้วน ๘๒,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ และอีก ๒,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ เป็นคำสอนจากพระพุทธสาวก เมื่อพระพุทธองค์ทรงยอมรับนั่นคือ พระพุทธวจนะ
หน้าที่ ของเวไนยสัตว์ทั้งหลาย คือ มีหน้าที่ฟัง ฟัง ฟัง แล้วใคร่ครวญ ตรึกตรองในหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า แม้จะนั่งหลับตาก็คิดใคร่ครวญธรรมอยู่ในใจ ไม่ใช่ไปนึกคิดเอาเองตามใจเรา หรือตามคำสอนของลัทธิต่างๆ เพราะในยุคกึ่งพุทธกาลนี้จะมีลัทธิต่างๆ เกิดขึ้นมากมายดังดอกเห็ด และนำคำสอนต่างๆ มาสอนโดยไม่สนใจพระไตรปิฎก(ติปิฏก)ซึ่งเป็น พระพุทธวจนะ เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าโดยแท้
พระไตรปิฎก(ติปิฏก) เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าอันเกิดจากความตรัสรู้ด้วยพระบารมีที่สร้างมา ๒๐ อสงไขย กำไรแสนกัปป์ (สำหรับพระพุทธเจ้าปัญญาธิกะ) ถ้าเราไม่เอาพระไตรปิฎก เท่ากับว่าเราไม่เอาพระพุทธเจ้า ชาวพุทธที่สนใจในพระพุทธศาสนาก็คือผู้ที่สนใจศึกษา(สิกฺขา)ในหลักธรรมคำสอน ของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่สนใจศึกษาแต่พุทธประวัติ หรือสนใจแต่พระสูตร หรือสนใจแต่พระวินัย แต่หลักธรรมที่สำคัญยิ่งคือ พระอภิธรรม(อภิธมฺม)ที่ประกอบด้วย ปรมัตถธรรม(ปรมตฺถธมฺม) ๔ คือ จิต(จิตฺต) เจตสิก(เจตสิก) รูป(รูป) นิพพาน(นิพฺพาน) การสิกขาธรรมต้องเริ่มตั้งแต่ “อนุบาล (อนุปาล)”
แล้วจะ ไปจบเมื่อไรอย่าไปสนใจ ต้องนึกถึงว่า พระพุทธศาสนาไม่ใช่ของง่าย แต่เป็นของยากที่สุด พระพุทธศาสนาจึงไม่ง้อคน พระพุทธเจ้าไม่ได้ไปอ้อนวอน ขอร้อง หรือบังคับให้เชื่อ พระพุทธศาสนาถือว่าเป็นเพชรล้ำค่า ไม่ง้อให้คนฟัง ไม่ได้ง้อให้คนนับถือ ถือเสียว่า “ใครทำ ใครได้” พระพุทธองค์ทรงมีหน้าที่ “ชี้ทางให้เดินสู่นิพพาน” แล้วแต่ใครจะมีบุญ(ปุญฺญ)ได้เดินตามหรือไม่เท่านั้น
พระพุทธเจ้า ทรงชี้ เข้าไปใน จิต ของเรา
พระพุทธเจ้า ทรงชี้ เข้าไปใน เจตสิก ของเรา
พระพุทธเจ้า ทรงชี้ เข้าไปใน รูป ของเรา
เมื่อพระพุทธเจ้าทรงชี้เข้าไปในจิต เจตสิก รูป ของเราแล้ว
ทำให้เรารู้ตามพระพุทธองค์ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ คือ เมื่อพระพุทธเจ้า “ตรัส” เราจึง “รู้” ตามพระพุทธองค์
การ “ชี้” คือ การสดับธรรมตามหลักพุทธธรรมคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า ก่อนพระพุทธองค์จะทรงเทศนา(เทสนา) ก่อนพระพุทธองค์จะประกาศธรรม พระพุทธองค์ทรงพุทธรำพึงว่า : “ธรรม ที่ตถาคตตรัสรู้แล้วนี้ ลึก ซึ้ง เห็นได้ยาก รู้ตามได้ยาก สงบ ประณีต มิใช่วิสัยแห่งตรรก คือ คิดเอาเองไม่ได้ หรือไม่ควรลงความเห็นด้วยการเดา...”
การที่ทรงพุทธรำพึงเพื่อประกาศว่า “คำสอนของพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์นั้นเป็นธรรมที่สุขุม คัมภีระ ลุ่มลึก ยากที่เวไนยสัตว์จะรู้ได้ด้วยตนเอง” การประกาศพระพุทธศาสนาเพื่อให้พุทธบริษัท๔(พุทธปริสา๔) คือ ภิกษุ(ภิกฺขุ) ภิษุณี(ภิกฺขุนี) อุบาสก(อุปาสก) อุบาสิกา(อุปาสิกา) ถึงพระพุทธศาสนาคือมี ศรัทธา(สัทธา) ที่มาจากสัทธาเจตสิก เป็นโสภณเจตสิก ทำงานกับกุศลจิต(กุสลจิตฺต)อย่างเดียว มีความหมายว่ากั้นบาป กั้นอกุศล(อกุสล) กันอกุสลไม่ให้เข้ามา ถ้าเราไม่ถึงพระพุทธเจ้า ทำให้เราขาดโอกาสที่จะสิกขาธรรมให้เข้าใจ พระพุทธเจ้าทรงมีพุทธรำพึงเพื่อประกาศว่า : “บริษัท๔(ปริสา ๔) ทั้งหลายถ้าท่านถึงสัทธาเมื่อไร ท่านจะถึงสติ” สัทธานี้ คือ พระพุทธเจ้า การที่เราจะสัทธาพระพุทธเจ้านั้น คือเราต้องฟังธรรมคำสอนของพระพุทธองค์เราต้องสิกขาธรรมของพระพุทธองค์ไปตาม ลำดับ เพื่อก่อให้เกิดผลในอนาคตภายหน้า
ในความหมายของพระพุทธรำพึงนี้ ผู้ที่จะรับฟังความคิดคำนึงในจิตของพระพุทธเจ้าได้คือ ท้าวสหัมปตีพรหม พระอรหันต์ชั้นอกนิฏฐกาสุทธาวาส ท่านได้ยินกระแสพุทธดำรัสจากพุทธรำพึงในจิต ณ ต้นอชปาลนิโครธ (ต้นไทร) และกระแสพุทธรำพึงนี้ไปถึงชั้นอกนิฏฐกาพรหม ชั้นสุทธาวาส ซึ่งท่านท้าวสหัมปตีพรหม ท่านมีหน้าที่จะต้องมาอาราธนา แม้พระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ก็จะมีลักษณะอย่างนี้ เป็นการประกาศพระพุทธศาสนา ซึ่งไม่ใช่การประกาศธรรมดา แต่เป็นการประกาศว่า : “ธรรม ที่พระพุทธเจ้าจะทรงแสดงต่อไปนี้ ไม่ใช่ของง่าย ธรรมที่พระพุทธเจ้าจะทรงประกาศต่อไปนี้ เป็นหลักธรรมที่นำพาเวไนยสัตว์ ไปสู่มัคค ผล นิพพาน พ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดใน๓๑ ภูมิ”
พระพุทธเจ้าทรงพุทธรำพึงและท้าวสหัมปตีพรหมทรงรับทราบ และทรงทูลอาราธนาธรรมว่า : “สัต วะทั้งหลายผู้มีกิเลสธุลีในนัยน์ตาน้อย (มีอกุศลจิตน้อย) ยังมีอยู่ในโลกนี้ ยังสามารถฟังธรรมเข้าใจ และสามารถบรรลุธรรมได้ ขอพระพุทธองค์ทรงโปรดอนุเคราะห์แสดงธรรม เพื่อโปรดเวไนยสัตว์ให้ออกจากสังสารวัฏฏะด้วยเถิด”
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพิจารณาเวไนยสัตว์เปรียบประดุจบัว ๔ เหล่า คือ
๑. อุคฆฏิตัญญู คือบุคคลที่อาจรู้ธรรมโดยเฉียบพลัน เพียงแต่ท่านยกหัวข้อธรรมขึ้นแสดง มีปัญญาเฉียบแหลม ฟังหัวข้อธรรมก็เข้าใจ เพียงได้รับธรรมก็เข้าใจ เปรียบเสมือนบัวที่พ้นน้ำ อันน้ำไม่ติดแล้ว เพียงได้รับแสงอาทิตย์ก็บานทันที ได้แก่ “ติเหตุกบุคคล(ติเหตุกปุคฺคล)” ผู้มีจิต ๑๓ คือ :
ติเหตุกบุคคล จิต ๑๓ : กามาวจรญาณสัมปยุตตมหากุสลจิต ๔
รูปาวจรมหากุสลจิต ๕
อรูปาวจรมหากุสลจิต ๔
ไม่มีอกุศลจิต(อกุสลจิตฺต) ๑๒ คือ โลภจิต๘ โทสจิต๒ โมหจิต๒ ขึ้นมากั้นธรรม บุคคลประเภทนี้ได้แก่ : พรหมผู้ได้ฌาน ผู้ได้สมาธิมีปัญญาตัดกิเลส เพราะมีสมาธิเป็นฐานของปัญญา พร้อมที่จะบรรลุธรรมโดยเฉียบพลัน และเป็นผู้มี กุสลเหตุ ๓ คือ :
๑. อโลภเหตุ
๒. อโทสเหตุ
๓. อโมหเหตุ (ปัญญาเจตสิก ตัดกิเลส)
หรือมี เหตุอีก ๓ คือ :
๑. พระวินัยปิฎก(วินยปิฏก) ๒๑,๐๐๐ พระธรรมขันธ์
๒. พระสุตตันตปิฎก(สุตฺตนฺตปิฏก) ๒๑,๐๐๐ พระธรรมขันธ์
๓. พระอภิธรรมปิฎก(อภิธมฺมปิฏก) ๔๒,๐๐๐ พระธรรมขันธ์
ได้แก่ บุคคลในสมัยพุทธกาล แม้เพียงฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าเพียงอรรถธรรมเดียวก็บรรลุธรรม เป็นบุคคลผู้เกิดมาด้วย “ญาณสัมปยุตมหาวิปากจิต”
๒. วิปจิตัญญู คือ บุคคลผู้อาจรู้ธรรมต่อเมื่อท่านอธิบายขยายความความหมายของหัวข้อนั้นๆ เปรียบเสมือนบัวปริ่มน้ำ พร้อมที่จะบานในวันต่อไป ได้แก่บุคคลผู้เป็น “ทวิเหตุกบุคคล(ทวิเหตุกปุคฺคล)” บุคคลผู้มีจิต ๑๔ คือ :
ทวิเหตุกบุคคล จิต ๑๔ : โลภมูลจิต ๘
โทสมูลจิต ๒
กามาวจรญาณวิปปยุตตมหากุสลจิ ๔
บุคคลผู้มีญาณวิปปยุตตจิต ๔ ยังมี :
กุสลเหตุ ๒ คือ อโลภเหตุ ๑ และ อโทสเหตุ ๑
อกุสลเหตุ ๒ คือ โลภเหตุ ๑ และ โทสเหตุ ๑
บุคคลประเภทนี้จะฟังธรรมพระพุทธเจ้าได้ แต่จะเข้าใจยาก จะบรรลุธรรมยาก
เพราะยังมีโลภเหตุ และโทสเหตุ จะเข้าใจธรรมต่อเมื่อมีการขยายข้อธรรม
ต้องสะสมภูมิธรรมไปอีกนับอเนกอนันตชาติ จะต้องใช้เวลาอีกเนิ่นนาน
บุคคลประเภทนี้ได้แก่ เทวดาตั้งแต่ชั้น ตาวตึงสา ยามา ตุสิตา นิมมานรตี ปรนิมมิตวสวัตตี ผู้ยังอยู่ในกามาวจรภูมิ เกิดมาด้วย “ญาณวิปปยุตมหาวิปากจิต”
๓. เนยยะ คือ บุคคลที่พอจะแนะนำได้ คือพอจะฝึกสอนอบรมให้เข้าใจธรรมได้ เมื่อได้รับการขยายอธิบายข้อธรรมให้กระจ่างมากยิ่งขึ้นกว่าวิปจิตัญญู เปรียบเสมือนบัวที่อยู่ใต้น้ำ พร้อมที่จะบานในวันต่อๆ ไปคือบุคคลที่เป็น “สุคติอเหตุกบุคคล(สุคติอเหตุกปุคฺคล)” ต้องใช้เวลาในการใคร่ครวญธรรม ส่วนมากเป็นคนที่ไม่มีโอกาสได้ฟังธรรม หรือมีโอกาสฟังธรรมแล้วแต่ไม่สนใจ และไม่รู้ธรรม และชอบคิดเอาเองไม่ฟังพระพุทธเจ้า ได้แก่คนในยุคนี้ บุคคลประเภทนี้เรียกว่า “สุคติอเหตุกบุคคล(สุคติอเหตุกปุคฺคล)” ไม่มีเหตุ ๖ มาทำงาน คือ :
กุสลเหตุ ๓ คือ อโลภเหตุ ๑ อโทสเหตุ ๑ อโมหเหตุ ๑
อกุสลเหตุ ๓ คือ โลภเหตุ ๑ โทสเหตุ ๑ โมหเหตุ ๑
ได้แก่ คนผู้มาเกิดด้วย อุเปกขาสันตีรณอเหตุกกุสลวิปากจิต มีจิตทำงาน ๑๖ คือ :
สุคติอเหตุกบุคคล จิต ๑๖ : โลภจิต ๘
โทสจิต ๒
โมหจิต ๒
กามาวจรญาณวิปปยุตตมหากุสลจิต ๔
บุคคล
ประเภทนี้ เป็นคนไม่มีเหตุผล เมื่อฟังพระพุทธเจ้าไม่เข้าใจ ไม่รู้เรื่อง
ต้องเริ่มต้นสะสมธรรมใหม่
เริ่มมีวินัย และทำตามวินัยของพระพุทธเจ้า ได้แก่ คน มนุษย์
และเทวดาชั้นจาตุมหาราชิกา
๔. ปทปรมะ คือบุคคลที่ไม่สามารถจะเข้าใจธรรม ไม่สามารถรู้ธรรม หมดโอกาสบรรลุธรรม เปรียบเสมือนบัวที่อยู่ในโคลนตม มีแต่จะเป็นอาหารของเต่า ปู ปลา ฯลฯ คือบุคคลผู้เป็น “ทุคติอเหตุกบุคคล(ทุคติอเหตุกปุคฺคล)” คือ บุคคลผู้มีจิต ๑๒ ทำงานอยู่เป็นประจำคือ :
๔. ปทปรมะ คือบุคคลที่ไม่สามารถจะเข้าใจธรรม ไม่สามารถรู้ธรรม หมดโอกาสบรรลุธรรม เปรียบเสมือนบัวที่อยู่ในโคลนตม มีแต่จะเป็นอาหารของเต่า ปู ปลา ฯลฯ คือบุคคลผู้เป็น “ทุคติอเหตุกบุคคล(ทุคติอเหตุกปุคฺคล)” คือ บุคคลผู้มีจิต ๑๒ ทำงานอยู่เป็นประจำคือ :
ทุคติอเหตุกบุคคล จิต ๑๒ : โลภมูลจิต ๘
โทสมูลจิต ๒
โมหมูลจิต ๒
บุคคล
ประเภทนี้มีอกุศลจิต(อกุสลจิตฺต) ๑๒
ทำงานพร้อมด้วยอกุศลเจตสิก(อกุสลเจตสิก) บุคคลประเภทนี้ได้แก่
อบายสัตว์(อปายสัตว์)ในอปายภูมิ ๔ คือ สัตวนรก เปรต อสุรกาย
และสัตว์เดรัจฉาน ผู้ไม่สามารถจะรู้ธรรมได้ หมดโอกาสบรรลุธรรม
มีแต่อกุสลเหตุมาทำงานคือ :
โลภเหตุ ๑ โทสเหตุ ๑ โมหเหตุ ๑
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเป็นพระสัพพัญญูพุทธเจ้า ทรงทราบความเป็นไปของสัตวะทั้งหลายด้วยความตรัสรู้ วิชชา ๓ คือ :
๑. ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ทรงทราบเรื่องราวในอดีตภพ (อตีตภว) ย้อนกลับไปถึงพันชาติ หมื่นชาติ แสนชาติ นับจะประมาณมิได้ ว่าทรงเกิดเป็นอะไร มีชื่อ โครตได้เสพสุข ทุกข์มาอย่างไร
๒. จุตูปปาตญาณ ทรงมีทิพพจักขุ ล่วงรู้ถึงกำเนิดหรือจุติ หรืออุปัตติของสัตวะทั้งหลาย รู้ถึงกรรม(กมฺม)
และบารมี(ปารมี)ที่สัตวะสั่งสมมาว่าจะบรรลุธรรมด้วยธรรมใด
และบารมี(ปารมี)ที่สัตวะสั่งสมมาว่าจะบรรลุธรรมด้วยธรรมใด
๓. อาสวักขยญาณ
ทรงตรัสรู้การทำอาสวะให้สิ้น บรรลุถึงพระสัมมาสัมโพธิญาณ เป็น
พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าและเพื่อประกาศให้โลกเห็นเป็นธรรม
บัญญัติ(ธมฺมปญฺญตฺติ)ว่า ธรรมของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้นเป็นธรรมที่ละเอียด
สุขุม คัมภีรภาพ ต้องฟังและใคร่ครวญตามธรรมของพระพุทธองค์เท่านั้น
จึงจะลึก ซึ้ง และสงบ ประณีตได้ ไม่ใช่มานั่งสงบของเราเอง
ถ้าจะสงบ ต้องสงบ โดยพุทธธรรม
ถ้าจะลึกซึ้ง ต้องลึกซึ้ง โดยพุทธธรรม
ถ้าจะปณีตะ ต้องปณีตะ โดยพุทธธรรม.
สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ
วิเสสลกฺขณมิตฺตา
ชมรมสิกขาธัมมะตามพระไตรปิฎก(ติปิฏกะ) ๘๔๐๐๐ พระธัมมขันธะ
..............................................................................................
วิเสสลกฺขณมิตฺตา
ชมรมสิกขาธัมมะตามพระไตรปิฎก(ติปิฏกะ) ๘๔๐๐๐ พระธัมมขันธะ
..............................................................................................
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น