วันอาทิตย์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2557

มนุษย์สับสนวุ่นวาย หาความสุขมิได้ เนื่องจากความคิด เป็นที่สงสัยว่า ความคิด มาจากไหน? เราคิดขึ้นมาเพราะเหตุอะไร?



มนุษย์สับสนวุ่นวาย หาความสุขมิได้ เนื่องจากความคิด  เป็นที่สงสัยว่า  ความคิด มาจากไหน?  เราคิดขึ้นมาเพราะเหตุอะไร?
     
  พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงสอนว่า   มนุษย์เราคิดขึ้นมาเพราะสาเหตุอะไรหรือความคิดนี้มาจากไหนปกติมนุษย์มีความคิด  แต่ไม่สามารถมองเห็นความคิดนั้นได้ เลยไม่รู้ว่าความคิดนั้นเกิดขึ้นมาได้อย่างไร?  เดี๋ยวก็คิดเรื่องนี้  เดี๋ยวก็คิดเรื่องโน้น  ความคิดเกิดขึ้นมาเรื่อยๆ แทบตลอดเวลา  เมื่อถึงวันเวลา ความคิดก็เกิดขึ้นมาโดยไม่รู้ต้นสายปลายเหตุว่าเกิดได้อย่างไร? และเราก็คิดไปตลอด  เรารู้แต่ว่า เรามีตาสำหรับมอง มีหูสำหรับไว้รับฟัง  มีจมูกไว้รับกลิ่น  มีลิ้นไว้รับรส  มีกายไว้รับสัมผัสต่างๆ  เย็น ร้อน อ่อน แข็ง และเราก็รู้ว่าความคิดฟุ้งขึ้นมาเรื่อยๆ 

             
ปุถุชนรู้แต่ภายนอก  ไม่สามารถรู้ภายใน และภายนอกสามารถแก้ไขได้  เช่น อากาศหนาว  ก็มีเครื่องทำความร้อน  อากาศร้อนก็มีพัดลม  มีเครื่องทำความเย็นมาแก้ไข  แต่ความคิดในจิตเราแก้ไขไม่ได้  ฝึกนั่งหลับตาว่าจะไม่คิดอะไร  ประเดี๋ยวเดียวก็คิดอีกแล้ว  สิ่งที่มีอยู่ในใจมีอยู่ เรียก จิตตะ(จิตฺต) ภาษาไทย เรียกว่า ใจ  ภาษาอังกฤษเรียก “mind”  ฯลฯ  เราจะสังเกตเห็นว่าเราจะไม่ค่อยคิดถึงสิ่งดีๆ   (กุสลเราจะคิดถึงสิ่งที่ไม่ดี (อกุสลทั้งสิ้น  ความจริงแล้วความคิดมีตัวห้ามได้  แต่เราห้ามไม่ได้  เราคิดตลอด จับความคิดเป็นตัวตนไม่ได้  นักวิทยาศาสตร์บอกว่า ความคิดอยู่ที่สมอง  แต่เห็นไหมว่า  เวลาเราพูดมีลมออกมาจากท้องมาส่งที่ปาก  พระพุทธเจ้าเรียก ลมอุทธังคมาวาตา  ลมพัดขึ้นเบื้องบน  ไม่ใช่ลมพัดจากสมองมาสู่ปาก  สิ่งที่พัดออกมาเป็น วจีวิญญัตติ  ออกมาเป็นคำพูดต่างๆ นานา  เมื่อเราจะพูดจิตตะ กับ เจตสิก ภายในทำงานกัน  ออกมาเป็น จิตตชรูป  ออกมาเป็นคำพูด แล้วลมอุทธังคมาวาตาก็ช้อนคำพูดนั้นพัดออกมาทางปาก  สมองเป็นกระบวนการของระบบปสาทที่เชื่อมโยงให้ติดต่อกัน  เช่น การที่ตาเห็นได้นั้น เป็นเพราะระบบปสาทสร้างมาให้เห็น  เรานึกว่าตาเห็น (ซึ่งส่งมาจากธัมมารมณ์ในชวนจิตตะ) แต่เป็นระบบของมหาภูตรูป  แล้วมีจิตตะเข้าไปรับรู้ตรงจักขุปสาท  ระบบปสาทของมหาภูตรูปเชื่อมทั้งตัว  แล้วแต่จะเชื่อมตรงไหน  เมื่อเรากระตุ้นตรงส่วนหนึ่งส่วนใด  หูอาจกระดิกได้  ตาอาจเห็นสีต่างๆ ได้  พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบ  การแปรสภาพถูกสร้างโดยกัมมะที่ทำมาจากอดีต  เช่น สร้างมาทางตา  การเห็นของตามี ๒ ทางคือ :
            
 .  เห็นแล้วเกิดกุสล     (อุเปกขาสหคตัง  จักขุวิญญาณัง  อสังขาริกัง  กามาวจร  อเหตุกกุสลวิปากจิตตัง)
            
 . เห็นแล้วเกิดอกุสล   (อุเปกขาสหคตัง  จักขุวิญญาณัง  อสังขาริกัง  กามาวจร  อกุสลวิปากจิตตัง)
            
 เพื่อหาต้นเค้าว่า ความคิดมาจากไหน?  ความคิดมาจาก  ตาเห็นรูป หูฟังเสียง   จมูกรับกลิ่น  ลิ้นรับรส  กายสัมผัสสิ่งต่างๆ   ตา  หู  จมูก  ลิ้น  กาย รับรู้ในปัจจุบัน ไม่มีอดีต  ไม่มีอนาคต   แต่อดีต ปัจจุบัน  อนาคตรวมอยู่ในจิตตะ  เรื่องเมื่อวาน หรือ เรื่องนานมาแล้ว  จิตตะนึกคิดออกได้หมด สิ่งที่ได้รับรู้ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ล้วนไปรวมกันที่จิตตะ  สิ่งที่มายึด มาสะสม  ดึงมาจากภายนอกเข้าภายใน  พระพุทธเจ้าเรียกสิ่งนั้นว่า เจตสิก  เจตสิกที่มาทำงานกับ จิตตะ มี เจตสิก ๕๒ แบ่งเป็น ๓ กลุ่ม คือ:
. อัญญสมานาเจตสิก ๑๓             เข้าได้ทั้ง กุสลจิตตะ และ อกุสลจิตตะ
. อกุสลเจตสิก ๑๔                        เข้าได้กับ อกุสลจิตตะอย่างเดียว
. โสภณเจตสิก ๒๕                       เข้าได้กับ กุสลจิตตะอย่างเดียว
ตาเห็นรูป  เช่น เห็นโต๊ะ  ไม่ใช่ตากระทบ  แต่เป็น เจตสิก ที่เป็นผัสสเจตสิก ที่อยู่กับจิตที่ตา  (จักขุวิญญาณ) กระทบก่อน  ดึงเข้าที่จิตตะ 


จิตตะ แปลว่า รู้  ทรงสภาพความรู้  รับ จำ  นึก คิด  มีหน้าที่ รับ จำ นึก คิด รู้ สามารถรู้  เราเป็นปุถุชน  การเห็นของเรามักเป็นทิฏฐิ  ไม่ใช่ ญาณ ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า  ตาเป็นของเก่าที่มีมาแต่อดีต  และมาเห็นปัจจุบัน  เห็นโต๊ะเป็นโต๊ะ  ไม่ได้เห็นตามคำสอนของพระพุทธเจ้าว่า โต๊ะเป็นมหาภูตรูป เป็น อวินิพโภครูป ๘  ประกอบด้วย ปฐวีมหาภูตรูป  อาโปมหาภูตรูป  เตโชมหาภูตรูป  วาโยมหาภูตรูป รูปวิสยรูป คันธวิสยรูป รสวิสยรูป และ อาหารรูป   สิ่งที่อยู่ที่ตาที่มอง คือ จักขุวิญญาณ  ประกอบด้วย  สัพพจิตตสาธารณเจตสิก ๗   คือ  :
            .  ผัสสเจตสิก   เป็นตัวนำขบวน  กระทบ คือ  เข้ามาที่จิตตะ
            . เวทนาเจตสิก  ไปรับ  (เสวยอารมณ์)  โต๊ะเป็น อารมณ์ดึงเข้าจิตตะ
            . สัญญาเจตสิก  จำได้ว่า เป็นโต๊ะ  ภาษาไทยเรียกว่า โต๊ะ  ใส่ในอารมณ์  ใส่ที่จิตตะบันทึก ว่า เป็นอะไร  เห็นแล้วจำได้ว่าเป็น โต๊ะ
            . เจตนาเจตสิก  เจตนาว่ามีกัมมะ มีการกระทำแล้วจากผัสสะไปจนถึงเจตนา  ไปกำหนดแล้วว่าเป็นโต๊ะ
            . เอกัคคตาเจตสิก  ระบุแน่นอน ยึดมั่น เห็นก็จำได้มั่นคง แล้วแต่จะยึดมากหรือน้อย  ว่าเป็น โต๊ะของเรา
            . ชีวิตเจตสิก  เข้าสู่ระบบปสาท ตาเห็นรูป จิตตะ กัมมะ เข้าเก็บไว้
            . มนสิการเจตสิก    มีความตั้งใจที่จะดู
            
 ตรงที่ เจตนาเจตสิก เจตนา คือ กัมมะ(กมฺม) ดังพระพุทธวจนะว่า เจตนาหํ  ภิกฺขเว กมฺม วทามิ  แปลเป็นภาษาโลกว่า ดูก่อนภิกขุทั้งหลาย ตถาคตกล่าวว่า เจตนา คือ กัมมะ”  ส่งไปที่กัมมะ จากจิตตชรูปส่งไปกัมมชรูป มีตัว เจตนา เจตสิกเป็นตัวส่งไปที่กัมมะ  เจตนาเจตสิกเชื่อมโยงกับกัมมะ  กัมมะจากจิตตะ เป็นกัมมชรูปที่บันทึกไว้  เราอ่านเป็นโต๊ะ  บันทึกเป็นรูปอยู่ในกัมม  ไม่ว่าจะเป็นโต๊ะ เก้าอี้ พระไตรปิฎก อากาศ จักรวาล โลก  ดวงดาว ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ ฯลฯ  จาก กัมมชรูป ส่งมาที่จิตตชรูป  ต้องมีตัวเชื่อมโยง คือ เจตนาเจตสิก มีในกัมมะ เข้าในกัมมะ  และเป็นกัมมะด้วย  เมื่อเป็นจิตตชรูป  จิตตะทำงาน สิ่งที่เรานึกคิดก็ส่งมาจากกัมมะนั่นเอง เช่นเดียวกันในเรื่องหูได้ยินเสียง จมูกได้รับกลิ่น  ลิ้นรับรส และกายรับสัมผัส ต่อไปที่เราฟุ้งซ่านอยู่ตลอด ก็มาจากกัมมะที่ทำมาอเนกอนันตชาติ กัมมะอยู่กับเราตลอดเวลา  กัมมะส่งไปวิปากให้บันทึกเพื่อสร้างรูปใหม่  รูปร่างหน้าตาจะเป็นอย่างไร  กัมมะ ที่สร้างรูป คือ กัมมะ ๒๕  ประกอบด้วย อกุสลจิตต๑๒  กามาวจรมหากุสลจิตตะ ๘  รูปาวจรมหากุสลจิตตะ ๕  ทำงานกันเป็นระบบ

             
การนึกคิดของเราจะมีออกมาเรื่อยๆ  เราไม่สามารถห้ามได้  เพราะล้วนแต่เป็นสิ่งที่มองไม่เห็น  การจะห้ามความคิดได้   ต้องนำธัมมะของพระพุทธองค์มาสิกขา  ต้องมีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้และมาชี้แนะ  นำคำสอนของพระพุทธเจ้าใส่ที่จิตตะ  ต้องเติมความรู้ถูกจากพุทธะเพียงอย่างเดียว มีแต่พระพุทธเจ้าเท่านั้นที่จะมาพัฒนาจิตตะของเราได้ โดยธัมมะของพระพุทธองค์ที่ทรงประทานไว้ให้ในพระไตรปิฎก จึงจะแก้ไขความคิดของปุถุชนได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่จะต้องสิกขาให้ลุ่มลึกต่อไป จึงจะพ้นจากอปายภูมินี้ได้.

สาธุ  สาธุ  สาธุ  อนุโมทามิ
***วิเสสลกฺขณมิตฺตา***
ชมรมสิกขาธัมมะตามพระไตรปิฎก(ติปิฏกะ) ๘๔,๐๐๐ พระธัมมขันธะ 
.............................................................................................................    

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น