“ดูก่อน ภิกษุ(ภิกฺขุ)ทั้งหลาย มหาสมุทรย่อมลึกลงไปตามลำดับ ลาดลงตามลำดับ ไม่โกรกชันเหมือนภูเขาขาด ฉันใด ธรรมวินัย(ธมฺมวินย)นี้ก็ ฉันนั้น มีการสิกขาไปตามลำดับ การปฏิปัตติ(ปฏิปตฺติ)ตามลำดับ การบรรลุธรรมตามลำดับ ลุ่มลึกลงตามลำดับ”
ความงามของพระพุทธวจนะ ความลาดลุ่มลึกแห่งพุทธธรรม คือความเป็น “คัมภีระ”
หลักธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีความลาดลุ่มลึก
เป็นอัศจรรย์ดุจห้วงมหาสมุทร เหมาะสมแก่สติปัญญาของชนทุกระดับชั้น
หลักธรรมในพระพุทธศาสนาจะมีความลึกซึ้ง
และลุ่มลึกเป็นอัศจรรย์เข้าไปสู่จิตของเวไนยชน จนกว่าจะถึงอริยมัคค อริยผล
จนกว่าจะถึงโลกุตตระ
จนกว่าจะถึงโลกุตตระ
เรื่องความอัศจรรย์ของมหาสมุทรนี้ องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ตรัสกับอสูรชื่อ “ปหาราทะ” ดังปรากฏใน “ปหาราทสุตตะ” ในอัฏฐกนิปาต อังคุตตรนิกายความว่า :
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ ควงไม้สะเดาที่ นเรฬุยักษ์สิงสถิตอยู่ ใกล้เมืองเวรัญชา ครั้งนั้น ท้าวปหาราทะ จอมอสูรได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วยืนอยู่ ณ ที่สมควร พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสถามท้าวปหาราทะจอมอสูรว่า :
พระผู้มีพระภาคเจ้า : ปหาราทะ พวกอสูรย่อมอภิรมย์ในมหาสมุทรบ้างหรือ?
ท้าวปหาราทะ : ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พวกอสูรย่อมอภิรมย์ในมหาสมุทร
พระผู้มีพระภาคเจ้า : ปหาราทะ ในมหาสมุทรมีธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยปรากฏสักเท่าไรที่พวกอสูรเห็น แล้วย่อมอภิรมย์
ท้าวปหาราทะ : ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ มี ๘ ประการ พุทธเจ้าข้า
พระผู้มีพระภาคเจ้า : ๘ ประการ อะไรบ้าง?
ท้าวปหาราทะ : ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ประการที่ ๑ มหาสมุทรลาดลุ่มลึก ลงไปตามลำดับ หาได้โกรกชันเหมือนเหวไม่
ประการที่ ๒ มหาสมุทรเต็มเปี่ยมอยู่เสมอ ไม่ล้นฝั่ง
ประการที่ ๓ มหาสมุทรไม่เกลื่อนด้วยซากศพ เพราะในมหาสมุทรคลื่นย่อมซัดเอาซากศพเข้าหาฝั่ง ให้ขึ้นบกทันที
ประการที่ ๔
แม่น้ำสายใหญ่ๆ บางสาย คือ แม่น้ำคงคา แม่น้ำยมุนา แม่น้ำอจิรวดี
แม่น้ำสรภู แม่น้ำมหึ แม่น้ำเหล่านั้นไหลไปถึงมหาสมุทรแล้ว
ย่อมละนามและโครตเดิมหมด
ประการที่ ๕ แม่น้ำทุกสายในโลก ย่อมไหลไปรวมยังมหาสมุทร และสายฝนจากอากาศตกลงสู่มหาสมุทร มหาสมุทรก็มิได้ปรากฎว่าพร่อง หรือเต็มเพราะน้ำนั้นๆ
ประการที่ ๖ มหาสมุทรมีรสเดียว คือ รสเค็ม
ประการที่ ๗
มหาสมุทรมีรัตนะมากมายหลายชนิด ในมหาสมุทรมีรัตนะเหล่านี้ คือ แก้วมุกดา
แก้วมณี แก้วไพฑูรย์ สังข์ สิลา แก้วประพาฬ เงิน ทอง ทับทิม มรกต
ประการที่ ๘
มหาสมุทรเป็นที่พำนักอาศัยของสิ่งมีชีวิตใหญ่ๆ และสิ่งมีชีวิตในมหาสมุทร
มีดังนี้ ปลาติมิ ปลาติมิงคละ ปลาติมิรมิงคละ พวกอสูร นาค คนธรรพ์
แม้ที่มีร่างกายประมาณ ๑๐๐ โยชน์ ๒๐๐ โยชน์ ๓๐๐ โยชน์ ๔๐๐ โยชน์ ๕๐๐
โยชน์ ก็มีอยู่
จากนั้น ท้าวปหาราทะ ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า : ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็ภิกษุ(ภิกฺขุ)ทั้งหลายย่อมอภิรมย์ในพระธรรมวินัยมีบ้างหรือ?
พระผู้มีพระภาคเจ้า : ปหาราทะ ภิกษุ(ภิกฺขุ)ทั้งหลายย่อมอภิรมย์ในพระธรรมวินัยนี้
ท้าวปหาราทะ : ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ในพระธรรมวินัยนี้ มีธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยปรากฏสักเท่าไรที่ภิกขุทั้งหลายเห็น แล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่
พระผู้มีพระภาคเจ้า : มีอยู่ ๘ ประการ ปหาราทะ ๘ ประการ เป็นไฉน?
๑.ปหาราทะ มหาสมุทรลาด ลุ่มลึก ลงไปตามลำดับ ไม่โกรกชันเหมือนเหวฉันใด
ในพระธรรมวินัยนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน มีการศึกษา(สิกฺขา)ไปตามลำดับ
มีการกระทำไปตามลำดับ มีการปฏิปัตติ(ผลที่ปรากฏ)ไปตามลำดับ
มิใช่จะมีการบรรลุอรหัตตผลโดยตรง
ข้อนี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยปรากฏ ประการที่ ๑ ในพระธรรมวินัยนี้ ที่ภิกขุทั้งหลายเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่
๒.ปหาราทะ มหาสมุทรเต็มเปี่ยมอยู่เสมอ ไม่ล้นฝั่งฉันใด สาวกทั้งหลายของตถาคตก็ฉันนั้นเหมือนกัน ไม่ล่วงสิกขาบทที่ตถาคตปัญญัตติไว้ แม้เพราะเหตุแห่งชีวิต ข้อนี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยปรากฏ ประการที่ ๒ ในพระธรรมวินัยนี้ ที่ภิกขุทั้งหลายเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่
๓.ปห ๓. ปหาราทะ มหาสมุทรไม่เกลื่อนด้วยซากศพ เพราะในมหาสมุทรคลื่นย่อมซัดเอาซากศพเข้าหาฝั่ง ให้ขึ้นบกฉันใด ปหาราทะ ฉันนั้นก็เหมือนกัน บุคคลผู้ทุศีล(ทุสีล) มีบาปธรรม(ปาปธมฺม) มีสมจาระไม่สะอาด น่ารังเกียจ ปกปิดกรรม(กมฺม)ชั่ว มิใช่สมณะ แต่มีปฏิญาณว่าเป็นสมณะ มิใช้ผู้ประพฤติพรหมจรรย์ แต่มีปฏิญาณว่าประพฤติพรหมจรรย์ เน่าใน ชุ่มด้วยราคะ เป็นเพียงดังหยากเยื่อ สงฆ์(สงฺฆ)ย่อมไม่อยู่ร่วมกับบุคคลนั้น ประชุมกันยกวัตรเธอเสียแล้วทันที แม้เขาจะนั่งอยู่ท่ามกลางภิกษุสงฆ์(ภิกฺขุสงฺฆ)ก็จริง ถึงกระนั้น เขาก็ชื่อว่าห่างไกลจากสงฆ์ สงฆ์ห่างไกลจากเขา ข้อนี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยปรากฏ ประการที่ ๓ ในพระธรรมวินัยนี้ ที่ภิกขุทั้งหลายเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่
๔.ปหาราทะ แม่น้ำสายใหญ่ๆ บางสาย คือ แม่น้ำคงคา แม่น้ำยมุนา แม่น้ำอจิรวดี แม่น้ำสรภู แม่น้ำมหึ แม่น้ำเหล่านั้นไหลไปถึงมหาสมุทรแล้ว ย่อมละนามและโครตเดิมหมด ถึงความนับว่ามหาสมุทรนั้นเองฉันใด ปหาราทะ ฉันนั้นก็เหมือนกัน วรรณะ ๔ เหล่านี้คือกษัตริย์ (ขตฺติย) พราหมณ์ (พฺราหฺมณ) แพศย์(เวส) ศูทร ออกบวช(ปัพพัชชา ) เป็นบรรพชิต(ปพฺพชิต)ในพระธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้ว ย่อมละนามและโครตเดิมเสีย ถึงความนับว่าเป็น
สมณศากยบุตรทั้งนั้น ข้อนี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยปรากฏประการที่ ๔ ในพระธรรม
วินัยนี้ ที่ภิกขุทั้งหลายเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่
๕.ปหาราทะ แม่น้ำทุกสายในโลก ย่อมไหลไปรวมยังมหาสมุทร และสายฝนจากอากาศตกลงสู่มหาสมุทร มหาสมุทรก็มิได้ปรากฎว่าพร่อง หรือเต็มเพราะน้ำนั้นๆฉันใด ปหาราทะฉันนั้นก็เหมือนกัน ถึงแม้ภิกขุเป็นอันมากจะปรินิพพานะด้วยอนุปาทิเสสนิพพานะธาตุ นิพพานธาตุก็มิได้ปรากฏว่าพร่องหรือเต็มด้วยภิกขุนั้น ข้อนี้เป็นธัมมะที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยปรากฏ ประการที่ ๕ ในพระธัมมวินยะนี้ ที่ภิกขุทั้งหลายเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่
๖.ปหาราทะ มหาสมุทรมีรสเดียว คือ รสเค็มฉันใด ปหาราทะฉันนั้นก็เหมือนกัน พระธรรมวินัยมีรสเดียว คือ วิมุตตรส ข้อนี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยปรากฎ ประการที่ ๖ ในพระธรรมวินัยนี้ ที่ภิกขุทั้งหลายเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่
๗.ปหาราทะ มหาสมุทรมีรัตนมากมายหลายชนิด ในมหาสมุทรมีรัตนะเหล่านี้ คือ แก้วมุกดา แก้วมณี แก้วไพฑูรย์ สังข์ สิลา แก้วประพาฬ เงิน ทอง ทับทิม มรกต ฉันใด ปหาราทะ ฉันนั้นก็เหมือนกัน พระธรรมวินัยนี้มีรัตนะมากมายหลายชนิด รัตนะในพระธรรมวินัยมีดังนี้ คือ สติปัฏฐาน(สติปฏฺฐาน)๔ สัมมัปปธาน(สมฺมปฺปธาน)๔ อิทธิปาท(อิทฺธิปาท)๔ อินทรีย์(อินฺทริย)๕ พละ(พล)๕ โพชฌงค์(โพชฌงฺค)๗ อริยมัคค(อริยมคฺค)มีองค์ ๘ ข้อนี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยปรากฏ ประการที่ ๗ ในพระธรรมวินัยนี้ ที่ภิกขุทั้งหลายเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่
๘. ปหาราทะ มหาสมุทรเป็นที่พำนักอาศัยของสิ่งมีชีวิตใหญ่ๆ และสิ่งมีชีวิตในมหาสมุทร มีดังนี้ ปลาติมิ ปลาติมิงคละ ปลาติมิรมิงคละ พวกอสูร นาค คนธรรพ์ แม้ที่มีร่างกายประมาณ ๑๐๐ โยชน์ ๒๐๐ โยชน์ ๓๐๐ โยชน์ ๔๐๐ โยชน์ ๕๐๐ โยชน์ ก็มีอยู่ ฉันใด ฉันนั้นก็เหมือนกัน พระธรรมวินัยนี้ก็เป็นที่พำนักอาศัยของสิ่งมีชีวิตใหญ่ๆ สิ่งมีชีวิตในพระธรรมวินัยนี้ มีดังนี้ คือ :
โสตาปัตติมัคคะ ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อกระทำให้แจ้งซึ่ง โสตาปัตติผละ
สกทาคามิมัคคะ ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อกระทำให้แจ้งซึ่ง สกทาคามิผละ
อนาคามิมัคคะ ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อกระทำให้แจ้งซึ่ง อนาคามิผละ
อรหัตตมัคคะ ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อกระทำให้แจ้งซึ่ง อรหัตตผละ
ข้อนี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยปรากฏ ประการที่ ๘ ในพระธรรมวินัยนี้ ที่ภิกขุทั้งหลายเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่
พระ
ผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสถึงความอัศจรรย์ของมหาสมุทร
เปรียบความลุ่มลึกของมหาสมุทร กับที่สุดของพระธรรมวินัย
คือได้เป็นอริยบุคคล ๘ มีพระอรหันต์เป็นที่สุด
ธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงชี้ อย่าเข้าใจว่า มหาสมุทรคือ มหาสมุทร มหาสมุทร คือ พระพุทธเจ้า เวลาพระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมเทศนา(ธมฺมเทสนา) เป็นไปด้วยความสุขุม คัมภีระ ลุ่มลึก เข้าไปในจิตของเรา
มหาสมุทรย่อมลึกลงไปตามลำดับ เรามองมหาสมุทร คือ ธรรมของพระพุทธเจ้าที่ทรงเทสนาสั่งสอน ทุกท่านที่สดับธรรมมีกุสลเดิมมาตั้งแต่อดีต จะมีความลุ่มลึกในธรรมไปตามลำดับ ดังบุคคล ๑๒ ประเภท คือ :
๑. ทุคติอเหตุกบุคคล(ทุคติอเหตุกปุคฺคล) ได้แก่ อปายภูมิ ๔ : สัตว์นรก เปรต อสุรกาย และสัตว์เดรัจฉาน
๒. สุคติอเหตุกบุคคล(สุคติอเหตุกปุคฺคล ) ได้แก่ คน มนุษย์ และเทวดาชั้นจาตุมหาราชิกา
๓. ทวิเหตุกบุคคล(ทวิเหตุกปุคฺคล ) ได้แก่ เทวดาตั้งแต่ชั้นตาวติงสา ยามา ตุสิตา นิมมานรตี ปรนิมมิตวสวัตตี
๔. ติเหตุกบุคคล(ติเหตุกปุคฺคล) ได้แก่ พรหมผู้ได้ฌาน ผู้ได้สมาธิ
๕. โสตาปัตติมัคคบุคคล(โสตาปตฺติมคฺคปุคฺคล)
๖. โสตาปัตติผลบุคคล(โสตาปตฺติผลปุคฺคล)
๗. สกทาคามิมัคคบุคคล(สกทาคามิมคฺคปุคฺคล)
๘. สกทาคามิผลบุคคล(สกทาคามิผลปุคฺคล)
๙. อนาคามิมัคคบุคคล(อนาคามิมคฺคปุคฺคล)
๑๐. อนาคามิผลบุคคล(อนาคามิผลปุคฺคล)
๑๑. อรหัตตมัคคบุคคล(อรหตฺตมคฺคปุคฺคล)
๑๒. อรหัตตผลบุคคล(อรหตฺตผลปุคฺคล)
“ลาดลงตามลำดับ” คือ หลักธรรมจะต้องมีเบื้องต้น ท่ามกลาง และที่สุด ในหลักธรรมนั้นจะต้องมองว่า นี่คือ พระพุทธวจนะที่ว่า ทางที่ลาดไปตามลำดับ คือ ทางที่พระพุทธเจ้าทรงสอน จะค่อยๆ ลุ่มลึกไปตามลำดับ คือค่อยๆ ลาดไปทีละนิดๆ เราต้องรู้ตั้งแต่เริ่มต้นคือ อนุบาล(อนุปาล) เหมือนทางโลกเริ่มเรียนตั้งแต่ อนุบาล ประถม มัธยม อุดมศึกษา บัณฑิตศึกษา มหาบัณฑิต ดุษฎีบัณฑิต เช่นเดียวกันในทางธรรม ก็ต้องเริ่มตั้งแต่พื้นฐานคือ เรื่องของจิต(จิตฺต) เจตสิก(เจตสิก) และรูป(รูป)
“ไม่โกรกชันเหมือนภูเขาขาด” คำว่า “โกรกชัน” คือทางที่เต็มไปด้วยโลภะ โทสะ โมหะ ถ้าบุคคลยังมีความโกรกชันเหมือนภูเขาขาด คือเต็มไปด้วยโลภะ โทสะ โมหะ ก็จะรับธรรมไม่ได้ ภูเขาที่โกรกชันก็จะไม่มีอะไรติดค้างอยู่ ธรรมของพระพุทธเจ้าไปถึงบุคคลที่โกรกชันก็จะไม่มีธรรมติดอยู่ ไม่มีที่ตรึกระลึกนึกถึงธรรม บุคคลที่ฟังธรรมจะเป็นผู้โกรกชันหรือเปล่า เราก็จะรู้ได้ด้วยตัวเองว่า เราจะเชื่อฟังธรรมหรือไม่?
“ธรรมวินัยนี้ก็ฉันนั้น” หลัก
ธรรมของพระพุทธเจ้าก็เช่นกัน มีการศึกษา(สิกฺขา) ไปตามลำดับ
การนำธรรมขั้นสูงมากระทำ เช่น การเพ่งกสิน การทำมหาสติปัฏฐาน การเพ่งรูปนาม
เรียกว่า ไม่เป็นไปตามลำดับ พระพุทธองค์ตรัสว่าต้องมีการสิกขาไปตามลำดับ
มีการปฏิปัตติ(ได้รับผล)ไปตามลำดับ บรรลุธรรมไปตามลำดับ ไม่มีการข้ามขั้น
การนำธรรมขั้นสูง ชั้นยอดมากระทำโดยไม่รู้พื้นฐาน จะทำให้เราพบภัยพิบัติ(วิปตฺติ)
คือ ทางจิต เราไม่รู้ว่าจะไปทางไหน จะมีอุปสรรค ถ้าเราค่อยๆ
สิกขาไปตามลำดับ รู้ไปตามลำดับ เราก็จะไม่มีอุปสรรค จะราบเรียบไปเรื่อยๆ
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า : “ดูกรภิกขุทั้งหลาย มหาสมุทรย่อมลึกลงไปตามลำดับ” คำว่า “ภิกษุ (ภิกฺขุ)” หมายรวมถึง ภิกษู และภิกษุณี ถ้าเราสิกขาไปตามลำดับ เราก็จะไม่มีปัญหา ธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นของลุ่มลึก ต้องฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าอย่างเดียว การจะได้ฌานก็ได้จากคำสอนของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ไปนั่งเอาเอง
สรุป คือ พุทธดำรัสของพระบรมศาสดา ชี้ ว่า การจะเข้าถึงหลักธรรมนั้นจะต้องพากเพียรพยายาม ไม่ใช่ในชาตินี้ชาติเดียว พระอริยบุคคล ท่านก็บำเพ็ญเพียรมาแล้วนับอเนกอนันตชาติ กว่าท่านจะประสบผลสำเร็จ เรามาอ่านพบตอนที่ท่านสำเร็จแล้ว เราก็นึกว่าธรรมเป็นของง่าย แต่เราไม่ใช่พระอริยเจ้าที่ท่านสั่งสมบารมีธรรมมาแล้วจากอดีต ดังนั้น การสิกขาธรรมของเรานั้นต้องสิกขาตามขั้นตอนไปตามลำดับ ต้องรู้จักจิต เจตสิก รูป จึงจะถึงซึ่งพระนิพพาน ต้องรู้จัก อกุสล กุสล จนกระทั่งไปสู่ฌาน และโลกุตตระ พระพุทธเจ้าทรงชี้ให้เห็นว่า ธรรมนั้นมีความลุ่มลึก พุทธบริษัท ๔ (พุทธปริสา ๔) คือ ภิกขุ ภิกขุนี อุปาสก อุปาสิกา อย่าได้ท้อถอย การสิกขาธรรมจะลุ่มลึกไปตามลำดับจนกว่าจะได้รับผล.
สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ
วิเสสลกฺขณมิตฺตา
ชมรมสิกขาธัมมะตามพระไตรปิฎก(ติปิฏกะ) ๘๔๐๐๐ พระธัมมขันธะ
.............................................................................................................................
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น