วันอาทิตย์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2557

พุทธบริษัท ๔(พุทธปริสา ๔) และหน้าที่ของพุทธบริษัท ๔

                            พุทธบริษัท ๔(พุทธปริสา ๔) และหน้าที่ของพุทธบริษัท ๔

พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงประกาศ พุทธบริษัท ๔
                พุทธบริษัท ๔  เกิดขึ้น ในสมัยที่พระยาปรนิมมิตวสวัตตีมาราธิราช ทูลอาราธนาพระผู้มีพระภาคเจ้าให้เสด็จปรินิพพาน ครั้งเสวยวิมุตติสุข ณ ต้นอชปาลนิโครธในสัปดาห์ที่ ๕ หลังตรัสรู้ว่า : “ข้า แต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าจงปรินิพพาน ขอพระสุคตจงปรินิพพานในบัดนี้เถิด บัดนี้เป็นเวลาปรินิพพานของพระผู้มีพระภาคเจ้า”
                พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า : “ดูก่อนมารผู้มีบาป (ผู้มีบาป ผู้ที่ยังไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้า) บริษัททั้ง ๔ คือ ภิกษุบริษัท(ภิกขุปริสา)  ภิกษุณีบริษัท(ภิกขุนีปริสา)  อุบาสกบริษัท(อุปาสกปริสา) อุบาสิกาบริษัท(อุปาสิกาปริสา) ผู้เป็นสาวกของตถาคต จักยังไม่ฉลาด ไม่ได้รับการแนะนำ ยังไม่แกล้วกล้า ไม่เป็นพหูสูต  ไม่ ทรงธรรม ไม่สิกขาธรรมสมควรแก่ธรรม ไม่ปฏิบัติชอบ ไม่ประพฤติตามธรรม เรียนกับอาจารย์ของตน จักบอก จักปัญญัตติ จักแต่งตั้ง จักเปิดเผย จักจำแนก จักทำให้ตื้น จักแสดงธรรมมีปาฏิหาริยะ (คำสอนที่เห็นผลได้จริง) ข่มขี่ปรับปวาทะ (คำโต้แย้งของลัทธิอื่น) ที่เกิดขึ้นให้เรียบร้อยโดยสหธรรม (ความเห็นตรงกัน) ไม่ได้ เพียงใด ดูก่อนมารผู้มีบาป ตถาคตจักยังไม่ปรินิพพานเพียงนั้น”
                พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประกาศให้ทราบว่า พระ พุทธศาสนาต้องประกอบด้วย พุทธบริษัท๔(พุทธปริสา๔ )คือ  ภิกษุบริษัท(ภิกขุปริสา )   ภิกษุณีบริษัท(ภิกขุนีปริสา )    อุบาสก บริษัท(อุปาสกปริสา)  และอุบาสิกาบริษัท(อุปาสิกาปริสา) จะขาดบริษัทใด บริษัทหนึ่ง มิได้

หน้าที่พุทธบริษัท๔(พุทธปริสา๔ )พึงกระทำ
๑.   พุทธบริษัท๔(พุทธปริสา ๔ ) ต้องเป็นผู้รู้  เข้าใจ  และสามารถประพฤติธรรมได้ถูกต้อง ตามพระพุทธธรรมคำสอน ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์(พระพุทธวจนะ,  พระไตรปิฎก)
๒.  พุทธบริษัท๔(พุทธปริสา ๔ ) ต้องสามารถ แนะนำ สั่งสอนผู้อื่นให้ประพฤติตามได้อย่างถูกต้อง    ตามพระธรรมวินัย ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์  (พระวินัย  พระสุตตันตะ พระอภิธรรม)
๓.  เมื่อ มีผู้กล่าว ติเตียน จ้วงจาบ แสดงคำสอน ผิด พลาด พุทธบริษัท๔(พุทธปริสา ๔ )ต้องสามารถ ชี้แจง แก้ไข ให้ถูกต้องตาม หลักธรรมของพระพุทธศาสนา (พระพุทธวจนะ)
                      จึงเป็นหน้าที่ของพุทธบริษัท๔(พุทธปริสา ๔) ที่จะต้องรักษาพระพุทธศาสนาไว้ให้ลูกหลานต่อไปภายหน้ายิ่งชีวิต
      พุทธปริสา๔  =  พุทธบริษัท ๔
                 ได้แก่ :         ๑. ภิกขุ (สามเณร)
                                     ๒. ภิกขุนี (สามเณรี  สิกขมานา)
                                    ๓. อุบาสก(อุปาสก)
                                    ๔. อุบาสิกา(อุปาสิกา)
                     
         การทูลอาราธนาปรินิพพานของพระยามาราธิราช เป็นเหตุให้สมเด็จพระสมณโคตมพุทธเจ้า ทรงตั้งพุทธบริษัท๔(พุทธปริสา๔) และกำหนดธรรม ๓ ประการ ซึ่งเป็นหน้าที่ของพุทธบริษัท๔(พุทธปริสา ๔) การจะเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องมีพุทธบริษัท๔(พุทธปริสา๔) รองรับเป็นพุทธสาวก ถ้าเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าไม่ต้องมีพุทธบริษัท๔(พุทธปริสา ๔)
                พระยามาราธิราช เป็นพระโพธิสัตต์ที่จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคตกาลภายหน้า ทรงพระนามว่า “พระธรรมสามีสัมมาสัมพุทธเจ้า” ซึ่งจะต้องทำหน้าที่ของพระพุทธเจ้าเช่นเดียวกัน ท่านจะต้องเรียนรู้กิจจะนี้ จึงได้มีการทูลอาราธนาให้พระผู้มีพระภาคเจ้าปรินิพพานอยู่เสมอ
                
            การที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงวางหลักไว้ว่า ศาสนาของพระพุทธองค์จะต้องมีพุทธบริษัท๔(พุทธ ปริสา ๔) คือ ภิกขุปริสา  ภิกขุนีปริสา  อุปาสกปริสา และอุปาสิกาปริสา ไม่ใช่มีเพียงบริษัท ๓ (ปริสา ๓) โดยขาดภิกษุณีบริษัท(ภิกขุนีปริสา) เพราะเข้าใจกันในปัจจุบันว่า ภิกษุณีบริษัท(ภิกขุนีปริสา)หมดสิ้นไปแล้ว แต่โดยที่พระพุทธองค์กำหนดไว้ว่าต้องมีพุทธบริษัท๔(พุทธปริสา๔) ถ้าขาดบริษัทใดบริษัทหนึ่ง เหลือเพียง บริษัท๓ จะต้องสืบต่อให้ครบบริษัท๔  ดังเช่นประเทศศรีลังกา ยามใดที่เหลือบริษัท๒ คือ อุปาสกบริษัท และอุปาสิกาบริษัท ประเทศศรีลังกาก็ขอภิกขุบริษัทจากประเทศไทย ประเทศไทยเป็นสยามวงศ์ ภิกขุลังกาได้รับสืบทอดเป็นสยามวงศ์ และประเทศไทยก็ได้รับภิกขุสืบทอดมาจากลังกาวงศ์ จนบัดนี้ประเทศศรีลังกามีพุทธบริษัท๔ ครบถ้วน แต่ประเทศไทยยังคงมีบริษัท๓ โดยไม่ยอมรับภิกขุนีบริษัทที่ไปบวชมาจากประเทศอื่น ซึ่งขณะนี้ก็เริ่มมีภิกขุนีบริษัทบ้างแล้ว แต่ยังไม่เป็นที่แพร่หลาย
                
       พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อตรัสรู้แล้วทรงฝากพุทธศาสนาไว้กับพุทธบริษัท๔(พุทธปริสา๔) ไม่ได้ฝากไว้กับบริษัทใดบริษัทหนึ่ง เมื่อเกิดความผิดพลาด พุทธบริษัท๔(พุทธปริสา๔) ต้องช่วยกันแก้ไขให้ถูกต้องตามพระธรรมวินัย และบริษัททั้ง  ๔ นี้จะเป็นเนื้อนาปุญญะ พร้อมนำธรรมไปสู่การสิ้นอาสวะ
                การจะสิ้นอาสวะนั้นไม่ใช่ของง่าย และการตรัสรู้ของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ต้องบำเพ็ญเพียรถึง ๒๐ อสงไขย กำไรแสนกัปป์ นั่นคือตั้งความปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าไว้ในใจ ๗ อสงไขย ประกาศพระวาจาว่าจะเป็นพระพุทธเจ้าอีก ๙ อสงไขย รวมเป็น ๑๖ อสงไขย หลังจากนั้นต้องรอคอยการพยากรณ์ (ยืนยัน) จากสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่ง
                พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประกาศสัจจธรรมคำสอนแล้ว ทรงมอบให้พุทธบริษัท๔(พุทธ ปริสา ๔) ก่อนที่พระพุทธเจ้าจะเสด็จปรินิพพานนั้น พระพุทธองค์ไม่ได้ทรงตั้งสาวกองค์ใดให้รับตำแหน่งเป็นพระศาสดาปกครองคณะสัง ฆะสืบต่อจากพระองค์  เมื่อพระพุทธองค์ปรินิพพานไปแล้ว
                พระบรมศาสดาตรัสบอกพระมหาอานนทเถระว่า : “ดู ก่อนอานนท์  ธรรมก็ดี  วินัยก็ดี ที่ตถาคตได้แสดงไว้ และปัญญัตติไว้ด้วยดี นั่นแหละจักเป็นพระศาสดาของพวกท่านสืบแทนตถาคต เมื่อตถาคตล่วงไปแล้ว” (จาก มหาปรินิพพานสุตตะ)
                ดังนั้น พระธรรมวินัย หรือ พระไตรปิฎ(ติปิฏก) ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ จึงเป็นศาสดาในพระพุทธศาสนานี้แทนองค์สมเด็จพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                 
            พุทธบริษัท๔(พุทธปริสา๔)ทั้งหลายจะต้องไปหาพระศาสดา คือ พระพุทธวจนะ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ที่เราเรียกว่า “พระไตรปิฎก” แม้เราจะท่องจำพระไตรปิฎก ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ เราทำปุญญกิริยาวัตถุเป็นประจำโดยไม่รู้หลักธรรม เรารักษาพระวินัยอย่างเคร่งครัด เรารู้จักพระสูตรอย่างถ่องแท้ เราก็ได้เพียง “อุเปกขาสันตีรณ อเหตุกกุสลวิปากจิต(อุเปกฺขาสนฺตีรณ อเหตุกกุสลวิปากจิตฺต)” เท่านั้น เป็นเพียง สุคติอเหตุกบุคคล ที่สะสมกุสลอันน้อยนิด ยังไม่เป็นมหากุสลจิต(มหากุสลจิตฺต)ที่จะสะสมเป็น “กามาวจรมหาวิปากจิตตะ(กามาวจรมหาวิปากจิตฺต)” เมื่อเรามาสิกขาธรรมคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้าในพระอภิธรรม ซึ่งเป็นเรื่องของเหตุ จึงจะเป็นกุสลแท้ ไปอยู่ในกามาวจรมหาวิปากจิต๘(กามาวจรมหาวิปากจิตฺต ๘)    เป็นทวิเหตุกบุคคล ที่จะพัฒนาต่อไป
                พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประกาศว่า ในศาสนาของพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ ต้องมีพุทธบริษัท๔(พุทธปริสา๔) และในพุทธบริษัท๔(พุทธ ปริสา๔ )นั้นจะต้องฟังธรรมของพระพุทธเจ้าอย่างเดียว  ถ้าฟังแล้วจะเข้าใจธรรม ไม่ใช่ไปฟังธรรมจากคนนอกลัทธิที่นำมาเผยแพร่กันเหมือนดอกเห็ด
               
หน้าที่ของพุทธบริษัท๔(พุทธปริสา ๔)         
๑.      ภิกษุ(ภิกขุ )           ต้องฟัง พระพุทธเจ้า
๒.     ภิกษุณี(ภิกขุนี )     ต้องฟัง พระพุทธเจ้า
๓.     อุบาสก(อุปาสก)     ต้องฟัง พระพุทธเจ้า
๔.     อุบาสิกา(อุปาสิกา )ต้องฟัง พระพุทธเจ้า
                ถ้าใครไม่ฟังพระพุทธเจ้า (คำสอนของพระพุทธเจ้า) ในพุทธบริษัท๔(พุทธปริสา๔) จะต้องไปชี้แจง ไปบอก ว่ากล่าวตักเตือน เพื่อช่วยให้เดินทางได้อย่างถูกต้อง พุทธบริษัท๔(พุทธปริสา ๔ )ต้องช่วยกันเอง ทุกท่านมีหน้าที่ในการฟังธรรมจนสามารถรู้และเข้าใจธรรม จนสามารถแนะนำสั่งสอนผู้อื่นได้
               
หน้าที่ของพุทธบริษัท๔(พุทธปริสา ๔) ต้องกระทำ  คือ  :
๑.   พุทธบริษัท๔(พุทธ ปริสา๔) ต้องเป็นผู้รู้  เข้าใจ  และสามารถประพฤติธรรมได้ถูกต้อง ตามพระพุทธธรรมคำสอน ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ (พระพุทธวจนะ พระไตรปิฎก)
หน้าที่ของพุทธบริษัท๔(พุทธ ปริสา ๔) ต้องเป็นผู้รู้ เข้าใจธรรมของพระพุทธเจ้า การศึกษาทางโลกจนจบปริญญาตรี ปริญญาโท ปริญญาเอก ฯลฯ มีความรู้ทางโลกมากมาย เช่น วิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ คณิตศาสตร์ อักษรศาสตร์ เกษตรศาสตร์ ฯลฯ ศาสตร์ทางโลกทั้งหมดเป็นเรื่องของทิฏฐิ  ผู้รู้อย่างนี้เป็นทิฏฐิ เราต้องมีความรู้และเข้าใจทางธรรมของพระพุทธเจ้าจึงจะเป็นญาณ มีความรู้ที่เป็นกุสล ที่จะพัฒนาจิตให้สูงไปตามลำดับ ความรู้ทางโลกเป็นแต่เรื่องของโลภะ โทสะโมหะ เป็นเรื่องของสัญญา ๓ คือ กามสัญญา โคจรสัญญา และมรณสัญญา เช่นเดียวกับสัตว์เดรัจฉานทั้งหลาย แต่มนุษย์สามารถรู้ธรรมสัญญาได้  ซึ่งสัตว์เดรัจฉานไม่สามารถมีได้
เรา เป็นผู้สิกขา (ศึกษา) พุทธธรรมคำสอน ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ต้องรู้และเข้าใจหลักธรรมด้วย ไม่ใช่จำแบบนกแก้ว นกขุนทอง  เราต้องสิกขาให้ถูกต้องตามพระพุทธวจนะ  ถูกต้อง ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า เราต้องสิกขาทั้งพระวินัย พระสูตรและพระอภิธรรม
                                                พระวินัย(วินย)             เป็นเรื่องของ  ผล
                                                พระสูตร(สุตฺตนฺต)      เป็นเรื่องของ  ผล
                                                พระอภิธรรม(อภิธมฺม)       เป็นเรื่องของ  เหตุ
                การเวียนว่ายตายเกิดเป็นผลที่มาจาก เหตุ มี จิต เจตสิก รูป การจะดับเหตุต้องรู้เรื่องเหตุ  เหตุคือพระอภิธรรมที่กล่าวถึงเรื่องของ จิต เจตสิก รูป  จึงจะถึงซึ่งพระนิพพาน  ถ้าเราได้มีโอกาสได้สิกขาธรรมแล้ว  เราจะสิกขาไปตามลำดับ  ถ้าเราไม่สิกขาธรรม  เราก็จะไม่รู้ และจะไม่รู้ตลอดไป สิ่งที่เราต้องรู้คือเรื่องของปรมัตถธรรม ที่ประกอบด้วยเรื่องของ จิต เจตสิก รูป  และ นิพพาน  ซึ่งเป็นเรื่องของชีวิตของเราเอง

๒.  พุทธบริษัท๔(พุทธปริสา ๔ ) ต้องสามารถแนะนำ  สั่งสอนผู้อื่นให้ประพฤติตามได้อย่างถูกต้อง ตามพระธรรมวินัย ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ (พระวินยะ พระสุตตันตะ พระอภิธัมมะ)
                พุทธบริษัท๔(พุทธ ปริสา๔ ) ต้องสามารถนำธรรมที่ได้สิกขามา  รู้ตามธรรมของพระพุทธเจ้าแล้ว เป็นธรรมที่ถูกต้อง เมื่อเข้าใจธรรมแล้ว สามารถนำไปแนะนำสั่งสอนผู้อื่น ให้รู้ตามธรรมนั้นได้ไปตามลำดับ เช่น
-          ไม่ใส่ในบาตร(ปตฺต) ด้วยวัตถุอนามาส เช่น เงิน ทอง ข้าวสาร อาหารแห้ง ฯลฯ
-          ไม่ถวายสังฆทานที่มีอาหาร หลังเที่ยงไปแล้ว
-          ไม่ถวายจีวร นอกจีวรกาล
-          ไม่ทำสังฆทานเวียน
-          ไม่ชวนภิกขุสนทนา ขณะท่านกำลังฉันภัตตาหาร
-          ไม่ถวายหมากพลู บุหรี่ ยาเสพติดทั้งหลาย
-          ไม่ถวายบัตรเครดิต
-          ไม่ถวายโทรศัพท์ที่ทำให้ท่านต้องอาบัติ(อาปตฺติ)
-          ไม่ถวายเครื่องบำรุงบำเรอความสุขทางโลกทั้งปวง
ฯลฯ
                พระอภิธรรม เป็นธรรมแห่งความตรัสรู้ เป็นธรรมที่จะรื้อสัตวะขนสัตวะ ออกจากการเวียนว่ายตายเกิด เมื่อพุทธบริษัท๔(พุทธ ปริสา๔) ได้สิกขารู้ตามธรรมแล้ว ต้องสามารถนำธรรมนี้ไปแนะนำสั่งสอนผู้อื่น เพื่อช่วยให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ไปด้วย ซึ่งเป็นจุดประสงค์หลักของพระพุทธศาสนา
                ธรรมของพระพุทธเจ้า เป็นธรรมที่สุขุม ลุ่มลึก คัมภีระ จำเป็นต้องใช้กาลเวลา พุทธบริษัท๔(พุทธปริสา๔) จะต้องทนฟัง และฟังทนไปจนกว่าจะรู้ธรรมนั้น
                       
         ๓.เมื่อ มีผู้กล่าว ติเตียน จ้วงจาบ แสดงคำสอน ผิด พลาด พุทธบริษัท๔(พุทธปริสา๔) ต้องสามารถชี้แจง แก้ไข ให้ถูกต้อง ตามหลักธรรมของพระพุทธศาสนา
                เมื่อมีผู้กล่าวจาบจ้วงพระธรรมวินัย ว่า :
-          อย่าเชื่อปริยัติ(ปริยตฺติ)
-          อย่าเชื่อพระไตรปิฎก(ติปิฏก)
-          พระไตรปิฎกมีเพียงเล่มเดียว นอกนั้นแต่งขึ้นมาใหม่
-          ใครจะจำพระไตรปิฎกได้มากมายอย่างนี้
-          บางคนบอกว่า ไม่เชื่อว่าพระมหาโพธิสัตว์ ขณะเมื่อประสูติกาลทรงย่างพระบาทได้ ๗ ก้าว
-          บางคนอ่านพระไตรปิฎกไม่เข้าใจ ก็จะบอกว่า พระอภิธรรมแต่งขึ้นมาภายหลัง ฯลฯ
                พุทธบริษัท๔(พุทธ ปริสา๔) ต้องช่วยกันชี้แจง แก้ไขข้อผิดพลาดทั้งหลาย อย่านิ่งดูดาย การจะแก้ไขได้ ต้องมีความรู้ในพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ต้องสิกขาให้รู้ในพระธรรมวินัยให้รู้กระจ่างชัด ต้องฟังธรรมของพระพุทธองค์ว่าจะแก้ไขได้อย่างไร ต้องรู้เหตุรู้ผล การจะรู้เหตุรู้ผล ต้องรู้เรื่องจิต เจตสิก  รูป  เพราะธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นธรรมคัมภีระ ลุ่มลึก และลึกซึ้ง
                ธรรมของพระพุทธเจ้า เรียกว่า “ปริยัติ”  หรือ “ปริยัตติ” คือ “ปริยัตติธรรม
                คำสอนของพระพุทธเจ้า  คือ  “พระธรรมวินัย”
                ปริยัติ(ปริยตฺติ)  คือ พระพุทธวจนะ ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ซึ่งเป็นเหตุ เราต้องฟังคำสอนของพระพุทธเจ้า แล้วจึงได้รับผลจากการฟังคำสอน คือ  ปฏิบัติ(ปฏิปตฺติ)  เป็น พระอริยบุคคล ๘ ประเภท   แล้วจึงถึงซึ่ง  “ปฏิเวธ(ปฏิเวธ)”  คือ  “พระนิพพาน(นิพฺพาน)”

ปริยัตติ   คือ   พระพุทธวจนะ ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์
                 ปฏิปัตติ   คือ   พระอริยบุคคล ๘  ประเภท
๑.     พระโสตาปัตติมัคคบุคคล   ๒.  พระโสตาปัตติผลบุคคล
๓.          พระสกทาคามิมัคคบุคคล ๔.  พระสกทาคามิผลบุคคล
๕.         พระอนาคามิมัคคบุคคล     ๖.  พระอนาคามิผลบุคคล
                                ๗.         พระอรหัตตมัคคบุคคล      ๘.  พระอรหัตตผลบุคคล
                ปฏิเวธ   คือ   พระนิพพาน

สาธุ   สาธุ   สาธุ   อนุโมทามิ
วิเสสลกฺขณมิตฺตา
ชมรมสิกขาธัมมะตามพระไตรปิฎก(ติปิฏก) ๘๔๐๐๐ พระธัมมขันธะ
..........................................................................................................

1 ความคิดเห็น:

  1. สาธุ สาธุ สาธุ นวุติอุปนิธิภัณฑ อนุโมทามิ ท่านวิเสสฯ

    ตอบลบ