วันอาทิตย์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2557

๑๖. พระธัมมทูต คืออะไร?.....๑๗ พระภิกขุจัด “งานวันเกิด” สมควรหรือไม่?



 คำถาม - คำตอบ (๑๖ - ๑๗)
(ตามธัมมคัมภีระ)


๑๖.    (คำถาม)    พระธัมมทูต คืออะไร?
         (คำตอบ)   พระธัมมทูตจริงๆ เป็น “พุทธประเพณี” มีมาในสมัยพุทธกาล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงส่งพระอรหันตสาวก ๖๐ รูป ไปประกาศธัมมะ ไปประกาศพระศาสนาโดยตรัสว่า “ดูกร ภิกขุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงเที่ยวจาริกไป เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ชนหมู่มาก เพื่ออนุเคราะห์โลก เพื่อความสุขแก่เทวดา และมนุษย์ทั้งหลาย เธอทั้งหลายอย่าไปทางเดียวกันสองรูป พวกเธอจงแสดงธัมมะ งามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด จงประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอัตถะ พร้อมทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์ บริบูรณ์สิ้นเชิง แม้ตถาคตก็จักไปยังอุรุเวลาเสนานิคม เพื่อแสดงธัมมะ”
           
 ต่อมาในสมัยของ พระเจ้าอโศกมหาราช โดย พระโมคคัลลีบุตรติสสเถระ ทรงทราบโดยอนาคตังสญาณว่า ภายภาคหน้าพระพุทธศาสนาจะไม่รุ่งเรืองในชมพูทวีป แต่จะไปรุ่งเรืองตั้งมั่นในประเทศแว่นแคว้นอื่นๆ  พระเถระจึงขอพระบรมราชานุภาพของ พระเจ้าอโศกมหาราช อุปถัมภ์จัดส่งคณะสมณทูต ๙ สาย ไปประกาศธัมมะ ได้แก่ :
๑.   คณะพระมัชฌันติกเถระ ไปยังแคว้นกัสมีระ และคันธาระ ปัจจุบันได้แก่ ดินแดนแถบตะวันตกเฉียงเหนือของอินเดีย ตลอดจนเข้าไปถึงบางส่วนของอาฟกานิสถาน
๒. คณะพระมหาเทวเถระ ไปยังแคว้นมหิสสกมณฑล ปัจจุบันได้แก่ แคว้นไมเซอร์ และดินแดนแถบลุ่มแม่น้ำโคธาวารี ซึ่งอยู่ทางภาคใต้ของอินเดีย
๓.  คณะพระรักขิตเถระ ไปยังวนวาสีประเทศ ปัจจุบันได้แก่  แคว้นกนราเหนือ ทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ของอินเดีย ในครั้งนั้นมีวัตรทางพระพุทธศาสนาเกิดขึ้นถึง ๕๐๐ อาราม
๔.  คณะพระธัมมรักขิตเถระ ท่านเป็นฝรั่งชาติกรีก ดูเหมือนจะเป็นฝรั่งต่างชาติคนแรกที่อุปสมบทในพระพุทธศาสนา     ได้ไปเผยแผ่ธัมมยังอปรันตชนบท มีผู้สันนิษฐานว่า จะเป็นแถบชายทะเลเหนือของเมืองบอมเบย์ ในปัจจุบัน
๕. คณะพระมหาธัมมรักขิตเถระ ไปยังมารัฏฐะ ปัจจุบันได้แก่ ดินแดนแถบตะวันออกเฉียงเหนือ ห่างจากเมืองบอมเบย์
๖.   คณะพระมหารักขิตเถระ ไปยังประเทศโยนก ปัจจุบันได้แก่ แว่นแคว้นของฝรั่งชาติกรีก ในทวีปเอเชียตอนกลาง เหนือประเทศอิหร่านต่อไปจนถึงเตอรกีสถาน
๗. คณะพระมัชฌิมเถระ พระกัสสปโคตเถระ พระมูลกเทวเถระ พระทุนทภิสสเถระ และพระเทวเถระ ไปยังหิมวันตะ ปัจจุบันได้แก่ ดินแดนแถบเทือกเขาหิมาลัย
๘.  คณะพระโสณเถระ และ พระอุตตรเถระ ไปยังแคว้นสุวรรณภูมิ ตอนลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาภาคใต้ของประเทศไทย
๙.   คณะพระมหินทเถระ พระอุตติยเถระ พระสัมพลเถระ พระอิฏฏิยเถระ พระภัททสาลเถระ สุมนสามเณร และภัณฑกอุปาสก ไปยังเกาะตัมพปัณณิทวีป (เกาะลังกา) ในระยะนั้นมี พระเจ้าเทวานัมปิยติสสะ เป็นกษัตริย์ปกครองแผ่นดินอยู่ พระมหินทเถระทรงชักจูงให้พระเจ้าเทวานัมปิยติสสะทรงเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง พระพุทธศาสนาในศรีลังกาจึงตั้งมั่นสืบมาจนบัดนี้
            
จะสังเกตว่าในสมัยพุทธกาลหรือระยะต้นๆ หลังพุทธกาล คณะธัมมทูต ล้วนเป็นพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ ทรงอภิญญาฤทธิ์เป็นส่วนมาก จดจำพระธัมมะของพระผู้มีพระภาคเจ้าทั้ง ๘๔,๐๐๐ พระธัมมขันธะ  การแสดงธัมมะ จึงไม่มีผิดเพี้ยนแม้แต่ศัพท์ธัมมะเดียว เพราะมี “ปาละ” รักษาไว้ในจิตตะ รักษาพุทธธัมมะอยู่ในจิตตะ ไม่เหมือนปัจจุบันนี้ ซึ่งหาผู้จดจำธัมมะได้ยากมาก จะมีอยู่บ้างที่ประเทศพม่าซึ่งยังมีจำนวนน้อยนัก ในสมัยกาลก่อนนั้นจึงเป็น  “พระธัมมทูต” โดยแท้จริง.

สาธุ  สาธุ  สาธุ  อนุโมทามิ
***วิเสสลกฺขณมิตฺตา***
ชมรมสิกขาธัมมะตามพระไตรปิฎก(ติปิฏกะ) ๘๔๐๐๐ พระธัมมขันธะ
............................................................................................................
๑๗. (คำถาม)    พระภิกขุจัด “งานวันเกิด” สมควรหรือไม่?
       (คำตอบ)   พระภิกขุจัด “งานวันเกิด” ไม่ได้ เพราะพระภิกขุขาดจากความเป็น “ฆราวาส” แล้ว งานวันเกิดเป็นเรื่องของฆราวาส ซึ่งฆราวาสยังมีพ่อแม่ ที่ให้กำเนิดคลอดตนออกมา ซึ่งงานวันเกิดของฆราวาสแท้จริงแล้วเป็นวันที่แม่เจ็บท้องแทบเป็นแทบตายที่จะคลอดให้กำเนิดบุตรออกมา ควรที่จะ “จัดงานวันแม่” แทนที่จะจัดงานให้ตนเอง แล้วไป “กราบแทบเท้าแม่สำนึกในพระคุณที่ได้อุ้มท้องให้กำเนิด และเลี้ยงดูมาจนเติบใหญ่” รวมทั้งจัด “งานวันพ่อ” ให้แก่บิดาด้วย
            
 พระภิกขุมีเกิด ๒ ครั้ง คือ :
๑.   เกิดเป็นฆราวาส เกิดจากบิดามารดา
๒. เกิดในพระพุทธศาสนา วันที่ได้ปัพพัชชาเป็นสามเณร และอุปสัมปทาเป็นพระภิกขุ นั่นแหละคือ “เกิดแล้วในพระพุทธศาสนา” วันที่ได้รับสวดญัตติจตุตถกัมมะในพระอุโปสถนั่นแหละ คือ เกิดแล้วในพระพุทธศาสนา ขาดตอนจากความเป็นฆราวาสแล้ว ถ้าภิกขุยัง “จัดงานวันเกิด” อยู่อีก เท่ากับว่าไปเป็นฆราวาสใหม่ เป็นการประกาศตนว่า “วันนี้ฉันเป็นฆราวาส” และอาจจะเป็นไปตลอดชีวิต บวชมา ๑๐ พรรษา อยู่ดีๆ มาประกาศว่า วันนี้ขอกลับเป็นฆราวาสอีก! แล้วจะจัดไปทำไม?
             
ฉะนั้น พระภิกขุไม่มีหน้าที่จัด “งานวันเกิด” สิ่งที่ควรทำคือ เจริญธัมมะถวายพระผู้มีพระภาคเจ้าในวันที่ได้เกิดแล้วในพระพุทธศาสนา เจริญธัมมะพระวินัย ๒๑,๐๐๐ พระธัมมขันธะ  เจริญพระสูตร ๒๑,๐๐๐ พระธัมมขันธะ และ เจริญพระอภิธัมมะ ๔๒,๐๐๐ พระธัมมขันธะ  จนจบทั้งเล่ม
                 
ภิกขุเกิดมาแล้วยังไม่รู้จักว่า “เกิดคืออะไร?” ยังจะจัดงานวันเกิดกันให้วุ่นไปหมด นี่แหละเพราะไม่สิกขาธัมมะของพระพุทธเจ้า “เกิด คือ ชาติ” เพียงให้เห็นง่ายๆ มี ๒ ประการ คือ :
                          ชาติ  : ๑.  นามชาติ
                                     ๒. รูปชาติ
            นามชาติ    :    อุปาทนามชาติ   ฐิตินามชาติ   ภังคนามชาติ
            รูปชาติ      :    อุปาทรูปชาติ   ฐิติรูปชาติ   ภังครูปชาติ
            แล้วจะมีวันเกิดที่ตรงไหน? ตรงไหนบอกว่ามีวันเกิด? ไม่มีเลย  มีแต่ อุปาทะ (เกิดขึ้น) ฐิติ (ตั้งอยู่) ภังคะ (ดับไป หรือ เก็บไป) จนกว่าจะเก็บแบบไหน เพื่อไปสร้างเป็น กัมมชรูป! เวียนว่ายในสังสารวัฏฏ ๓๑ ภูมิอีกต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด.


สาธุ  สาธุ  สาธุ  อนุโมทามิ
***วิเสสลกฺขณมิตฺตา***
ชมรมสิกขาธัมมะตามพระไตรปิฎก(ติปิฏกะ) ๘๔๐๐๐ พระธัมมขันธะ
.............................................................................................................

                         

๑๓. เทพเทวามีสสัมภาระ ที่เป็น ตับ ไต ใส้ ไหม?..๑๔. “พระพุทธศาสนาเกิดจากความกลัว ใช่หรือไม่?”... ๑๕. ถ้าเรามองเห็น “ดอกบัว” ควรพิจารณาอย่างไร?



 คำถาม - คำตอบ (๑๓ - ๑๕)
 (ตามธัมมคัมภีระ)

 ๑๓.   (คำถาม)  เทพเทวามีสสัมภาระ ที่เป็น ตับ ไต ใส้ หัวใจ ฯลฯ ไหม?
         (คำตอบ)   เทพเทวามีรูป ๒๘ เหมือนมนุษย์ คือมี มหาภูตรูป ๔         อุปาทายรูป ๒๔ แต่เทวดามีสสัมภาระเพียงแค่เนื้อหนัง รูปร่างกาย ท่านจะมีส่วนที่เป็นประโยชน์ซึ่งเรียกว่า “กายปสาท” พระพุทธเจ้าไม่ได้บอกว่ากายปสาทจะต้องมีมันสมองในกะโหลกศีรษะ มีลำไส้ เอ็นเล็ก เอ็นใหญ่ เลือด หัวใจ ตับ ไต ไส้ พุง น้ำดี น้ำเสลด ฯลฯ         พระพุทธองค์ตรัสว่ามีกายปสาทเท่านั้นเป็นศูนย์รวมของเทวดา ส่วนมนุษย์จะมีอะไรเพิ่มเติมให้ครบรูป ๒๘ เขาก็จะสร้างเพิ่มขึ้นในส่วนละเอียดนั้นๆ
            
 เทพเทวามีรูปที่เป็นปฐวีมหาภูตรูปปรมัตถธัมม อาโป เตโช วาโย ก็เช่นเดียวกัน มีรูปที่ละเอียดกว่ากายมนุษย์ ต้องกินอาหารเหมือนมนุษย์ แต่อาหารที่กินเข้าไปไม่ต้องมีการย่อยเป็นของหยาบเหมือนมนุษย์ ที่จะต้องมีการขับถ่ายออกมาเป็นอุจจาระ ปัสสาวะ อาหารของเทวดาเป็นอาหารพิเศษเป็น โอชะ สุทธาโภชนาอันวิจิตร เป็นของละเอียดเกินสายตาของปุถุชนธรรมดาจะมองเห็นได้ จึงไม่มีของหยาบปรากฏให้เห็น กายของเทวดาจึงไม่จำเป็นต้องมีอวัยวะครบเหมือนมนุษย์ แต่ท่านมีศูนย์รวมของรูปเรียก กายปสาท นั่นเอง

 สาธุ  สาธุ  สาธุ  อนุโมทามิ

***วิเสสลกฺขณมิตฺตา***
ชมรมสิกขาธัมมะตามพระไตรปิฎก(ติปิฏกะ) ๘๔๐๐๐ พระธัมมขันธะ
.............................................................................................................
๑๔.   (คำถาม)        การบอกว่า “พระพุทธศาสนาเกิดจากความกลัว ใช่หรือไม่?”
      (คำตอบ)        การถามเช่นนั้นเป็นความเข้าใจผิด การที่มี “พุทธะ” เกิดขึ้นในโลก ตั้งแต่ปรารถนาพุทธภูมิมาไม่ได้เกิดจากความกลัว เพราะความกลัวเป็น “โทสะ” มีโทสะแล้วจะมาเป็น “พระโพธิสัตต์” ได้อย่างไร? เพราะโทสะพาไปอปายภูมิไปเป็นสัตว์นรก
    
ถามว่า : เมื่อพระพุทธศาสนาไม่ได้เกิดจากความกลัวแล้ว การปรารถนาพุทธภูมิเกิดจากอะไร?
            เราสิกขาธัมมะ เรื่อง จิตตะ เจตสิกะ รูปะ การที่พระมหาโพธิสัตต์ปรารถนาพุทธภูมิเกิดจาก “ญาณสัมปยุตตจิตตะ” มาจาก มหากุสลจิตตะ มีการทำงานกับ “เจตสิกะ” ได้แก่ อัปปมัญญาเจตสิก  ของพระโพธิสัตต์  คือ  “กรุณาเจตสิกของพระโพธิสัตต์   และ   มุทิตาเจตสิกของพระโพธิสัตต์”       ซึ่งไม่ทำงานกับโทสจิตตะ
             
มหากุสลจิตตะนี้ทำงานจึงมีความปรารถนาจะเป็น “พุทธะ” เพื่อรื้อสัตว์ขนสัตว์ออกจากสังสารวัฏฏะ ถ้ามีความกลัวแล้วจะปรารถนาทำไม? เพราะการปรารถนาเป็นพระโพธิสัตต์ จะต้องไปเรียนรู้หมดทุกเรื่อง ไปในที่ทุกแห่ง ไม่ว่าจะเป็นอรูปพรหม พรหม เทวดา มนุษย์ และอบายภูมิ ๔ ได้แก่ สัตว์นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน จะต้องลงนรกไปเป็นสัตว์เหล่านั้นเป็นเวลานานแสนนาน เพื่อเรียนรู้แล้ว จึงจะนำมาสอนได้
            
 การที่พระมหาโพธิสัตต์ก่อนออกมหาภิเนษกรมณ์ ทรงเห็นเทวทูตทั้ง ๔ ได้แก่ คนแก่  คนเจ็บ  คนตาย และสมณะ (เห็นคนเกิดภายหลัง เมื่อพระราชกุมารราหุลประสูติกาล) แสดงว่าได้เวลาแล้วที่ กรุณาเจตสิก และ มุทิตาเจตสิก จะทำงานกับ มหากุสลจิตตะ๘
      
 ต่อจากนี้ไป การที่จะเป็นพระโพธิสัตต์ที่จะตรัสรู้ก็จะเริ่มส่งกระแสบังเกิดขึ้น   ที่จะดำเนินต่อไปจนกว่าจะตรัสรู้เป็น “พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า”.

สาธุ  สาธุ  สาธุ  อนุโมทามิ
***วิเสสลกฺขณมิตฺตา***
ชมรมสิกขาธัมมะตามพระไตรปิฎก(ติปิฏกะ) ๘๔๐๐๐ พระธัมมขันธะ
.............................................................................................................

 ๑๕.   (คำถาม)        ถ้าเรามองเห็น “ดอกบัว” ควรพิจารณาอย่างไร?
        (คำตอบ)         การเห็นดอกบัว      เป็นการเห็นของจักขุวิญญาณที่อยู่ในอเหตุกจิตต ๒  จิตต(เมื่อสิกขาให้ลุ่มลึก จะเห็นจากธัมมารมณ์ ในชวนจิตต) มองได้ ๒ แบบ  คือ  :

๑.   การเห็นดอกบัวให้เป็นกุสล  คือ เห็นดอกบัวด้วยจิต... อุเปกขาสหคตัง จักขุวิญญาณัง อสังขาริกัง กามาวจร อเหตุกกุสลวิปากจิตตัง เป็น จักขุวิญญาณฝ่ายอเหตุกกุสลวิปาก เป็นการเห็นดอกบัวให้เป็นกุสลคือ ต้องเห็นดอกบัวแล้วนำมาพิจารณาสภาวธัมมะ โดยโยนิโสมนสิการ ซึ่งเป็นการพิจารณาโดยองค์คุณของพระโสดาบัน(โสตาปนฺน) เช่น เห็นดอกบัวนี้ว่า สวยงาม น่านำไปบูชาคุณพระพุทธเจ้า คุณพระธัมมเจ้า  คุณพระสังฆเจ้า หรือมองดอกบัวว่าเป็น อวินิพโภครูป เป็นเพียงธาตุที่เป็น มหาภูตรูป ๔ ที่มีการประชุมธาตุรวมกัน มีทั้ง รูปวิสยรูป... คันธวิสยรูป... รสวิสยรูป... และอาหารรูป ที่มีกฏของปรมัตถธัมมะ ประชุมกันโดยการทำงานของลักขณาทิจตุกกะ(วิเสสลักขณะ)ที่ทำให้เกิดการเสื่อมสลายของสภาวธัมมะอยู่ในสามัญญลักขณะ มีอนิจจลักขณะ... ทุกขลักขณะ... และอนัตตลักขณะ เกิดไตรลักษณ์(ติลักขณะ)  อนิจจัง...  ทุกขัง...  อนัตตา

๒. การเห็นดอกบัวให้เป็นอกุสล คือ มองดอกบัวด้วยจิต... อุเปกขาสหคตัง จักขุวิญญาณัง อสังขาริกัง กามาวจร อกุสลวิปากจิตตัง เห็นดอกบัวว่าเป็นดอกบัว จะเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้เพราะเป็น อุเปกขา จักขุวิญญาณ ที่เป็น อสังขาริกัง แน่นอนแล้วว่าเป็นดอกบัว เปลี่ยนแปลงเป็นดอกไม้อย่างอื่นไม่ได้ เป็นการเห็นของจิตตะที่เป็นโลภะอยู่ในกามวจรว่า ดอกบัวต้องมีลักษณะอย่างนี้ มีสีสวยงาม สีชมพู ขาว เหลือง ม่วง มีกลิ่นหอมอย่างดอกอุบลทั้งหลาย เป็นที่ชื่นตาชื่นใจ เกิดความชื่นชมยินดีเป็นโลภะ
            
 เราเห็น “ดอกบัว” เกิดจากการทำงานของ “ผัสสเจตสิก” จักขุวิญญาณทำงาน กับ สัพพจิตตสาธารณเจตสิก ๗ ประกอบด้วย ผัสสเจตสิก...  เวทนาเจตสิก...  สัญญาเจตสิก...  เจตนาเจตสิก ... เอกัคคตาเจตสิก...  ชีวิตเจตสิก... และมนสิการเจตสิก ผัสสเจตสิกมาทำงานกับโลภจิตต(อกุสลจิตตะ) เพียงตากระทบเรารู้ทันทีว่า “ดอกบัว” ฉะนั้นจะเห็นเป็นโลภะ เรามองทุกสิ่งทุกอย่างเกิดจากผัสสเจตสิกตัวแรก จิตตะกับเจตสิก ทำงานกันเป็น “สังขาร” มาทำงานที่ “ผัสสะ” ก่อน ไม่ว่าจะเป็น กุสลจิตตะ หรือ อกุสลจิตตะ ถ้าตาเห็นดอกบัวเรานึกถึงดอกบัวเฉยๆ     แสดงว่าตานั้นเป็นอกุสล เป็น       “อุเปกขา จักขุวิญญาณอกุสลวิปากจิตตัง” เป็นอเหตุกอกุสลจิตตะทำงาน จากอเหตุกจิตตะส่งต่อไป เป็นโลภะในชวนจิตตะ ไปเก็บที่     ตทาลัมพนะ แล้วส่งไปใน “อุเปกขาสหคตัง สันตีรณจิตตัง อสังขาริกัง กามาวจร อกุสลวิปากจิตตัง” ซึ่งเป็นจิตตะ สำหรับรับผลจาก โลภะ โทสะ โมหะ สำหรับไปปฏิสนธิในอปายภูมิ
             
ถ้าเราเห็นคำว่า “ธัมมจักกัปปวัตตนสุตตะ” เรารู้ทันทีว่า “พระพุทธวจนะ” ที่เรารู้ว่าเป็นพระพุทธวจนะ เพราะมีสัญญาอยู่ในจิตตะของเราแล้ว เมื่อตาเห็น ผัสสเจตสิก ทำงานกับ มหากุสลจิตตะที่ ๑ “โสมนัสสสหคตัง ญาณสัมปยุตตัง อสังขาริกัง กามาวจร มหากุสลจิตตัง” และ “โสมนัสสหคตัง ญาณวิปปยุตตัง อสังขาริกัง กามาวจร มหากุสลจิตตัง” ที่มีอยู่ในจิตตะ แล้วแต่ว่าผัสสะที่มองเห็นนั้นเป็นอะไร?
           
 เราเห็นดอกบัวครั้งแรกเป็นผัสสเจตสิก รู้ว่าเป็นดอกบัว สัญญาเจตสิกทำงานกับโลภจิตตะ แต่เมื่อใดเราน้อมจิตตะไปสู่กระแสธัมมะจึงเป็นญาณะ แต่เวลาเราเห็นเราไม่รู้  เราชินแล้ว (อสังขาริกัง) มองจนชินแล้ว เราไม่รู้นึกว่าเป็นกุสล แต่จริงๆแล้ว จิตตะเราจัดสรรลงไปแล้วโดยเราไม่รู้ เห็นอะไรก็ลงเก็บหมดในภวังคจิตตะ ปกติเราลืมตาขึ้นมาก็เห็น แม้ไม่ลืมตาขึ้นมาก็เห็นในจิตตะ ไม่มีเว้นเลย แม้หลับตาไม่มองก็ยังได้ยินทางหูอีก และหูก็มีทั้งกุสลและอกุสลเช่นเดียวกัน  ถ้าไม่สิกขาธัมมะ แล้วเราจะรอดไหม?.


สาธุ  สาธุ  สาธุ  อนุโมทามิ
***วิเสสลกฺขณมิตฺตา***
ชมรมสิกขาธัมมะตามพระไตรปิฎก(ติปิฏกะ) ๘๔๐๐๐ พระธัมมขันธะ
............................................................................................................

๑๑. “กรรม(กมฺม) ในความหมายของพุทธะ คือ อย่างไร?”...๑๒. คนเราพูดได้อย่างไร? และออกเสียงมาจากไหน?



 คำถาม - คำตอบ (๑๑ - ๑๒)

๑๑. คำถาม : “ตามเวรตามกรรม” เป็นคำพูดติดปากชาวบ้าน
  “กรรม(กมฺม) ในความหมายของพุทธะ คือ อย่างไร?”
              
 คำตอบ : “กรรม หรือ กัมมะ”  ตามที่เข้าใจกันมา มักจะนึกถึง กรรมเก่า กรรมเวร เวรกรรม ตามเวรตามกรรม ปล่อยไปตามยถากรรม ฯลฯ อะไรก็กรรมทั้งสิ้น
             
กรรม หรือ กัมม ในความหมายของพระพุทธองค์ ถ้าพูดถึง กัมมะ ต้องนึกถึง “กัมมปัจจุบัน” กัมมนี้ ประกอบด้วย  จิตตะ ๒๙ คือ : อกุสลจิตตะ ๑๒   กามาวจรมหากุสลจิตตะ ๘   รูปาวจรมหากุสลจิตตะ ๕   อรูปาวจรมหากุสลจิตตะ ๔   รวมเป็น จิตตะ ๒๙
            
 คำตอบเกี่ยวกับกัมมปัจจุบัน จะนึกถึง เจตนา คือ กัมมะ ดัง พระพุทธวจนะ ว่า “เจตนา หํ ภิกฺขเว กมฺมํ วทามิ” ตรงกับภาษาโลกว่า “ภิกขุทั้งหลาย ตถาคตกล่าว เจตนา ว่าเป็น กัมมะ” กัมมปัจจุบัน คือ จิตตะ ๒๙  กัมมปัจจุบัน คือ  กัมมภพ
            
 กัมมภพ (กรรมภพ) คือ กัมมะ ที่เกิดในปัจจุบันของภพนั้นๆ หมายความว่า เราเวียนว่ายมาอยู่ในภพไหน ก็ทำกัมมะนั้นๆ เช่น กัมมปัจจุบันในภพนั้นๆ เราเกิดเป็นสัตว์อะไร? ในช่วงที่เราเกิด เรียก กัมมภพ ก็คือ มี กัมมะ ๒๙
            
 เราเกิดชาติไหน กัมมปัจจุบัน ที่ทำจะส่งผลไปสู่อนาคต เรียก “วิปาก” หรือ “วิบาก” กัมมปัจจุบัน เพราะกัมมะทำโดยปัจจุบันที่ภพปัจจุบัน คือทำที่ “ชวนจิตตะ” นั่นเอง ที่ชวนจิตตะนี้ไม่มีวิปาก หลังจากทำแล้วจึงเรียกว่า “วิปาก” ทำแล้วเรียก “ตทาลัมพนะ  ภวังคะ  จุติ หรือ ปวัตติกาล”
            
 ในช่วงที่เป็น ชวนจิตตะ ๘๗ ในจิตตะ ๘๗ ที่ทำนั้นเป็น กัมมะ ๒๕ ถ้าทำแล้วก่อเกิดรูป เป็นกัมมชรูป ถ้าเป็น กัมมะที่มีอรูปด้วย จะเป็น กัมมะ ๒๙
            กัมมะที่ชวนจิตตะ ๘๗  คือ :   อกุสลจิตตะ ๑๒   กามาวจรมหากุสลจิตตะ ๘   กามาวจรมหากิริยาจิตตะ ๘   หสิตุปปาทจิตตะ ๑   รูปาวจรมหากุสลจิตตะ ๕      รูปาวจรมหากิริยาจิตตะ ๕    อรูปาวจรมหากุสลจิตตะ ๔   อรูปาวจรมหากิริยาจิตตะ ๔   และโลกุตตรจิตตะ ๔๐
            
 ตรงชวนจิตตะนี้จะบอกได้เลยว่ามีภูมิจิตตะ ตั้งแต่พระโสดาบัน(โสตาปนฺน) จนถึงพระอรหันต์บังเกิดขึ้น เพราะในชวนจิตตะจะมี หสิตุปปาทจิตตะ ซึ่งเป็นอารมณ์ของพระอรหันต์อยู่ในชวนจิตตะ
            กรรมเวรที่เราทำมาเรียก “วิปาก” จะไม่เรียก “กัมมะ” กัมมะก่อให้เกิดผล กัมมะที่เราทำไม่ว่าจะเป็นโลภะ โทสะ โมหะ หรือ ญาณะ เป็นเหตุแล้วส่งผลไปที่วิปาก นี่เป็นผล ได้แก่ กรรม(กมฺม) ๑๒ ซึ่งเรียกว่า “กัมมจตุกะ” แบ่งเป็น ๔ ตามนัยแห่งพระสุตตันตะ คือ  :
๑.     ชนกาทิกิจจ         กิจการงานของกัมมะ ๔
๒.   ปากทาน               ลำดับการให้ผลของกัมมะ ๔
๓.   ปากกาล                กำหนดเวลาให้ผลของกัมมะ ๔
๔.   ปากฐาน               ฐานที่ให้เกิดผลของกัมมะ ๔

      ชนกาทิกิจจ ๔
      ปากทาน ๔
      ปากกาล ๔
๑.    ชนกกัมม
๒.  อุปถัมภกกัมม
๓.   อุปปีฬกกัมม
๔.   อุปฆาตกัมม
๑.    ครุกัมม
๒.  อาสันนกัมม
๓.   อาจิณณกัมม
๔.   กฏัตตากัมม
๑.     ทิฏฐธัมมเวทนียกัมม
๒.   อุปปัชชเวทนียกัมม
๓.    อปราปริยเวทนียกัมม
๔.    อโหสิกัมม







            ส่วนปากฐาน ๔ เป็นที่ตั้งแห่งวิปากจิตตะ อันเกิดจากกุสลกัมมะ    และอกุสลกัมมะ เป็นการแสดงตามนัยแห่งพระอภิธัมมะ ซึ่งมีรายละเอียดที่ต้องสิกขาต่อไป ในที่ตั้งแห่งกัมมะ อันเกิดจาก : อกุสลกัมมะ ๑... กามาวจรกุสลกัมมะ ๑...  รูปาวจรกุสลกัมมะ ๑...   และอรูปาวจรกุสลกัมมะ ๑  ผลแห่งกัมมะ ทำให้ทุกชีวิตจะมีความแตกต่างกัน มีความสุข ความทุกข์ แตกต่างกันไปตามกัมมะที่ทำมา เพราะการทำงานของกัมมะในอดีต จะส่งผลไปในอนาคต ตาม อดีตเป็นเหตุ... ปัจจุบันเป็นผล ...ปัจจุบันเป็นเหตุ... อนาคตเป็นผล [กุศล (ภาษาสันสกฤต)  กุสล (ภาษามคธ)].


สาธุ  สาธุ  สาธุ  อนุโมทามิ
***วิเสสลกฺขณมิฺตตา***
ชมรมสิกขาธัมมะตามพระไตรปิฎก(ติปิฏกะ) ๘๔๐๐๐ พระธัมมขันธะ
 ..............................................................................................................

๑๒.  (คำถาม)        คนเราพูดได้อย่างไร? และออกเสียงมาจากไหน?
       (คำตอบ)        คนพูดได้ เกิดจากการทำงานของ จิตตะและเจตสิก เป็นจิตตชรูป เมื่อพูดออกมาจะมีลมดันออกมาจากปาก จิตตะทำงานกับเจตสิกเป็นคำพูด คำพูดนั้นถ้ามาจากญาณสัมปยุตตจิตตะ การพูดนั้นก็จะเป็นกุสลมาจากคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า เป็น สัมมาวาจา มีสัญญาเจตสิกฝ่ายกุสลเช่น มีสัญญาเจตสิกว่า “สสัมภาระ” พอเห็น สัญญาที่เคยจำได้ มีตัว “ส” มี “ส” มีตัว....ถึง  “ ะ” เมื่อจิตตะมองเป็นรูปขึ้นมาก็จะมีการรวมตัวของพยัญชนะที่เห็น ออกมาเป็น “สสัมภาระ” เป็นรูปออกมา และจิตตะก็มีสัญญาของเสียงว่า “สสัมภาระ” รูปลอยตัวขึ้นมา ก็มีลม  “อุทธังคมาวาตา” จะดันช้อนคำพูดและเสียงนั้นขึ้นมา ให้ออกมาทางเบื้องบน คือ ปาก  เราก็พูดได้ออกเสียงว่า “สสัมภาระ” ถ้าเราจะพูดคำว่า สสัมภาระเป็นภาษาอังกฤษ จิตตะและเจตสิก จะไปหาว่ามีการบันทึกไว้ว่าอะไร? อยู่ที่ไหน? จิตตะจึงไปหาเจตสิก โดยเจตสิกวิ่งไปหาจิตตะ ทำงานกันด้วยวิเสสลักขณะ หาว่าสสัมภาระที่ตรงกับภาษาอังกฤษนั้น เขียนว่าอย่างไร? ก็จะมีการค้นหาแต่หาไม่พบ ก็จะไม่ออกมาเป็นรูปภาษาอังกฤษ ลมอุทธังคมาวาตาก็ไม่ช้อนเสียงออกมา แต่ถ้ารู้คำภาษาอังกฤษเช่นคำว่า “water” ก็จะออกรูปมาเป็น “water” เพราะจิตตะรู้ว่ามีการบันทึกไว้ และเจตสิกก็ปรุงเป็นเสียง ก็จะออกมาเป็นเสียงว่า “water” ลมอุทธังคมาวาตา ก็จะช้อนเสียงคำว่า water ขึ้นมาแล้วดันเสียงนั้นออกมาจากปากเป็นคำพูด สำหรับคนที่เป็นใบ้ พูดไม่ได้ จะมีลมออกอย่างเดียวเพราะไม่สามารถทำให้จิตตะกับเจตสิกทำงาน แล้วออกมาเป็นเสียงพูดหรือคำพูดได้.

สาธุ  สาธุ  สาธุ  อนุโมทามิ
***วิเสสลกฺขณมิฺตตา***
ชมรมสิกขาธัมมะตามพระไตรปิฎก(ติปิฏกะ) ๘๔๐๐๐ พระธัมมขันธะ
............................................................................................................