วันจันทร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

๗. ถวายด้วยมือ คือ อย่างไร?...๘. อารมณ์ คือ อะไร?


คำถาม - คำตอบ (๗-๘)
(ตามธัมมคัมภีระ)


.  (คำถาม) : การทำทานมักมีผู้อุปาทานว่า ต้องถวายด้วยมือของตนเอง จึงจะได้บุญเต็มที่   “ถวายด้วยมือ คือ อย่างไร?

       
(คำตอบ) : ในพระธัมมวินัยที่กล่าวว่า การถวายทานด้วย หัตถิกสัมปชานทาน ที่มีความหมายทางโลกว่า การทำทานทุกอย่างต้องให้ด้วยมือ  ต้องถวายด้วยมือ การถวายด้วยมือ คือ อย่างไร? เมื่อไม่รู้ความหมายตามภาษาธัมมะ  ก็เข้าใจแต่ภาษาโลก เช่น การใส่บาตร เช่น เอาเงินใส่บาตรด้วยมือ  เอาข้าวสารใส่บาตรด้วยมือ เอายาเสพติดทั้งหลายใส่บาตรด้วยมือ  ทำสังฆทานตอนบ่าย  (โดยมีอาหารแห้งอยู่ด้วยด้วย การถวายด้วยมือ นึกว่าจะได้บุญ แต่ได้บาป เพราะไม่รู้พระธัมมวินัย คิดว่า ถ้าเราให้คนรับใช้ถวายทานแทนแล้ว เราจะได้บุญน้อยกว่า เราอังคาสอาหารทุกอย่างได้ด้วยมือ แล้วนึกว่าเราได้บุญ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงนำภาษามคธ อังคาสด้วยมือ มาใช้ เราอ่านพระวินัยแล้ว เข้าใจผิด เพราะเข้าใจไม่ลึกซึ้ง เข้าใจว่าทุกอย่างก่อนทำบุญทำทานต้องทำด้วยมือ ถ้าไม่ได้ถวายด้วยมือตนเองก็จะข้องใจสงสัยว่า จะได้บุญหรือไม่?

           
 เมื่อพูดถึงมือ  ต้องนึกถึง   วิญญัตติรูป   คือ การเคลื่อนไหว + รูป    ประกอบด้วย กายวิญญัตติรูป และ วจีวิญญัตติรูป

            วิญญัตติ  ตรงกับภาษาไทยว่า  เคลื่อนไหว อะไรเคลื่อนไหวพอเป็นวิญญัตติ ต้องนึกถึง จิตตะ และ เจตสิกะ มีการเคลื่อนไหวของจิตตะ และ เจตสิกะ เราต้องนึกถึง จิตตะ เจตสิก เพราะ จิตตะ เจตสิก สั่งให้รูปเคลื่อนไหว

            จิตตะ  คือ  จิตตะ ๑๒๑  

เจตสิก  คือ  เจตสิกะ ๕๒

            จิตตะ ๑๒๑  ประกอบด้วยกามาวจรจิตตะ ๕๔  รูปาวจรจิตตะ ๑๕  อรูปาวจรจิตตะ ๑๒  และโลกุตตรจิตตะ ๔๐

            กามาวจรจิตตะ ๕๔  ประกอบด้วยอกุสลจิตตะ ๑๒  อเหตุกจิตตะ ๑๘  และกามาวจรโสภณจิตตะ ๒๔

            รูปาวจรจิตตะ ๑๕  ประกอบด้วย :     รูปาวจรมหากุสลจิตตะ ๕  รูปาวจรมหาวิปากจิตตะ ๕  และรูปาวจรมหากิริยาจิตตะ ๕

            อรูปาวจรจิตตะ ๑๒  ประกอบด้วยอรูปาวจรมหากุสลจิตตะ ๔       อรูปาวจรมหาวิปากจิตตะ     และอรูปาวจรมหากิริยาจิตตะ ๔

            โลกุตตรจิตตะ ๔๐  ประกอบด้วย : มัคคจิตตะ ๒๐  และผลจิตตะ ๒๐

            เจตสิกะ ๕๒ ประกอบด้วย : อัญญสมานาเจตสิกะ ๑๓ อกุสลเจตสิกะ ๑๔   และโสภณเจตสิกะ ๒๕

            อัญญสมานาเจตสิกะ ๑๓  ประกอบด้วย : สัพพจิตตสาธารณเจตสิกะ ๗   และ ปกิณณกเจตสิกะ ๖

            อกุสลเจตสิกะ ๑๔  ประกอบด้วย : โมจตุกเจตสิกะ ๔  โลติกเจตสิกะ ๓   โทจตุกเจตสิกะ ๔    ถีทุกเจตสิกะ ๒   และวิจิกิจฉาเจตสิกะ ๑

            โสภณเจตสิกะ ๒๕ ประกอบด้วย :  โสภณสาธารณเจตสิกะ ๑๙ วิรตีเจตสิกะ ๓  อัปปมัญญาเจตสิกะ ๒   และปัญญินทริยเจตสิกะ ๑

           
 เรื่อง รูป ประกอบด้วย รูปสมุทเทส… รูปวิภาครูปสมุฏฐาน… รูปกลาป...  และรูปปวัตติกมะ  มีการทำงานของจิตตะ  เจตสิกะ 


คำว่า วิญญัตติ  ต้องทำงานตั้งแต่ เหตุ…  กิจจะ...  ทวาร…  อารมณ์... วัตถุ  ต้องรู้การทำงาน รู้รายละเอียดทุกอย่าง เขามีการทำงานกันภายในที่จิตตะ  เจตสิกะ  ก่อนจะไปทำงานกับรูปะ

            
 พูดถึงรูป  ต้องนึกถึง รูปะ ๒๘  ประกอบด้วย  :  มหาภูตรูปะ ๔  และอุปาทายรูปะ ๒๔

            มหาภูตรูปะ ๔ ประกอบด้วย : ปฐวีมหาภูตรูปะ  อาโปมหาภูตรูปะ    เตโชมหาภูตรูปะ    และวาโยมหาภูตรูป 

            อุปาทายรูปะ ๒๔  ประกอบด้วย : ปสาทรูปะ ๕  วิสยรูปะ ๔  ภาวรูปะ ๒  หทยรูปะ ๑  ชีวิตรูปะ ๑  อาหารรูปะ ๑  ปริจเฉทรูปะ ๑ วิญญัตติรูปะ ๒  วิการรูปะ ๓  และลักขณรูปะ ๔

            
 หลังจากมีการทำงานของ จิตตะ + เจตสิกะ + รูป  ออกมาแล้ว เรียกว่า ทานมัย  ในเรื่องของ ปุญญกิริยาวัตถุ  ฉะนั้นการถวายด้วยมือ ซึ่งจะต้องรู้รายละเอียดทั้งหมดดังกล่าวมา คือ มีการทำงานของ จิตตะ  เจตสิกะ  รูปะ  ออกมาเป็น ทานมัย ดังนั้นผู้ที่เข้าใจผิดว่า ต้องถวายทานด้วยมือของตนเอง(ยื่นแต่มือไปถวายอย่างเดียว ไม่ต้องขยับเคลื่อนเท้าไปด้วย) โดย ไม่รู้เรื่องของการถวายด้วยมือ ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ว่าคืออย่างไร?  ก็เป็นมิจฉาทิฏฐิ   แทนที่จะเป็น กุสลจิตตะ กลับเป็น อกุสลจิตตะ ทำงานแทน  นำไป อปายภูมิ ได้เช่นกัน.



สาธุ  สาธุ  สาธุ  อนุโมทามิ
***วิเสสลกฺขณมิตฺตา***
ชมรมสิกขาธัมมะตามพระไตรปิฎก(ติปิฏกะ) ๘๔๐๐๐ พระธัมมขันธะ
......................................................................................
. (คำถาม) : เรามักได้ยินคำกล่าวเสมอว่า อารมณ์ดี  อารมณ์ไม่ดี  ดังนั้นจึงเป็นที่สงสัยว่า  อารมณ์(อารมฺมณ) คือ อะไร?

      
 (คำตอบ) : “อารัมมณะ(อารมฺมณ)” ภาษาไทย แปลว่า อารมณ์  เครื่องยึดหน่วง  ความคิด  ความรู้สึกที่เปลี่ยนแปลงอยู่เรื่อยๆ  เช่น  อารมณ์ดี  อารมณ์ร้าย (ไม่ดีหรือนิสัยใจคอ เช่น เป็นคนมีอารมณ์เย็น เป็นคนมีอารมณ์ร้อน เป็นต้น  เรารู้เพียงเท่านี้  แต่ในภาษาธัมมะ  มีความหมายแตกต่างไปต่างหาก  อารมณ์ คือ สิ่งที่มายินดีของจิต  สิ่งที่เข้ามาแล้ว  จิตรับไว้ทั้งหมด  ทุกสิ่งที่ตาเห็น หูได้ยิน จมูกได้กลิ่น ลิ้นลิ้มรส กายสัมผัสถูกต้อง และใจ (จิตฺตนึกคิดประการต่างๆ  ไม่ว่าจะเป็นไปในทางกุสล หรือ อกุสล  ล้วนเป็นอารมณ์ทั้งสิ้น  เมื่ออารมณ์ไปใส่ในสิ่งไหน ก็เป็นสิ่งนั้น



อารมณ์ไปจับ รูป     เห็นได้ด้วย ตา (จักขุวิญญาณ) เรียก รูปารมณ์  หรือ รูปารัมมณะ 

อารมณ์ไปจับ เสียง  ได้ยินด้วยหู (โสตวิญญาณเรียก   สัททารมณ์  หรือ  สัททารัมมณะ 

อารมณ์ไปจับ กลิ่น  รับรู้ด้วยจมูก (ฆานวิญญาณเรียก  คันธารมณ์  หรือ  คันธารัมมณะ

อารมณ์ไปจับ รส    รับรู้ด้วยลิ้น (ชิวหาวิญญาณ) เรียก รสารมณ์  หรือ  รสารัมมณะ

อารมณ์ไปจับสัมผัส  รับรู้ด้วยกาย (กายวิญญาณ)เรียก โผฏฐัพพารมณ์หรือโผฏฐัพพารัมมณะ

อารมณ์ไปจับสิ่งที่รู้ด้วยจิต รับรู้ด้วยจิต (มโนวิญญาณเรียก  ธัมมารมณ์ หรือ ธัมมารัมมณะ 

           

รูปที่เห็นด้วยตา เช่น ปากกา   เราบอกว่าเป็นปากกา   ถ้าเรายังไม่บัญญัติชื่อว่าสิ่งนี้เป็น ปากกาสิ่งนี้ก็เป็นอารมณ์ ปากกาเป็นรูป เมื่อเห็นแล้วด้วย จักขุวิญญาณ เข้าไปเก็บในจิต ใส่คำว่ารูปเข้าไปที่ปากกา รูปนั้นเป็น อารมณ์  เรียกว่า รูปารมณ์

           

เสียงที่ได้ยินทางหู  เช่น เสียงที่พูด  เสียงดนตรี  เราใส่ชื่อเข้าไปว่า ดนตรี ตรงที่เป็นเสียงดนตรีคือ อารมณ์ เมื่อได้ยินเสียงแล้วด้วย โสตวิญญาณ ก็เข้าไปเก็บในจิต เสียงนั้นเป็นอารมณ์ เรียกว่า สัททารมณ์

           

กลิ่นที่ได้รับทางจมูก ไม่ว่าจะเป็น กลิ่นหอม กลิ่นเหม็น กลิ่นใดๆ ก็ตาม ฯลฯ  เรารับกลิ่นได้ด้วย ฆานวิญญาณ ตรงที่เป็นกลิ่นเป็น อารมณ์  เข้าไปเก็บในจิต  กลิ่นนั้นเป็นอารมณ์ เรียกว่า คันธารมณ์

           

รสที่ได้รับทางลิ้น ไม่ว่าจะเป็นรส เปรี้ยว หวาน มัน เค็ม ขม กลมกล่อม รสจืดใดๆ ก็ตาม  ที่ได้รับทางลิ้น ด้วย ชิวหาวิญญาณ ตรงที่เป็นรสเป็น อารมณ์  เก็บไว้ในจิต รสนั้นเป็นอารมณ์ เรียกว่า รสารมณ์

           

สัมผัสทางกาย  ไม่ว่าจะเป็น เย็น ร้อน อ่อน  แข็ง ตึง ไหว ไออุ่น ใดๆ ก็ตาม  รับสัมผัสทางกายด้วย กายวิญญาณ ตรงที่เป็นรับสัมผัสเป็น อารมณ์ เก็บไว้ในจิต สัมผัสนั้นเป็นอารมณ์ เรียกว่า โผฏฐัพพารมณ์

           

ความนึกคิดต่างๆ  ที่รับทางใจ  ที่ปรากฏเฉพาะใจ  เป็นไปในความอึดอัดขัดใจ  หมกมุ่นครุ่นคิดกังวลใจ กระทบนิดก็คิดมาก หงุดหงิด  ฟุ้งซ่านรำคาญใจ  น้อยใจ เสียใจ….. ฯลฯ  ที่รับทางใจด้วย มโนวิญญาณ  เป็นอารมณ์เรียกว่า ธัมมารมณ์


ธัมมารมณ์ ประกอบด้วย ปสาทรูป ๕ สุขุมรูป ๑๖ จิตต ๑๒๑  เจตสิก ๕๒ ปัญญัตติ ๑ นิพพาน ๑  เก็บไว้ในจิต ที่ไปเป็นอารมณ์  ล้วนเป็น ธัมมารมณ์
           

ที่บอกกันว่า  เก็บอารมณ์ ล้วนเป็น ธัมมารมณ์ อารมณ์มีไปจนถึงอารมณ์พระอรหันต์ ที่เขาบอกกันว่าไป เก็บอารมณ์ คือส่วนมากเข้าไปอยู่ในห้อง ๑ เดือน ๓ เดือน ๑ ปี ๓ ปี …..ฯลฯ  และมีการ  สอบอารมณ์  แล้วจะไปสอบอารมณ์พระอรหันต์ได้อย่างไร? เมื่อออกมาจากการเก็บอารมณ์แล้ว บางท่านเกิดโทสะ บางท่านทุ่มบาตรดังที่มีข่าวออกมา เรียกว่า ของขึ้นแล้ว ไม่ใช่ วิชชาขึ้น การเก็บอารมณ์อย่างนั้นโดยไม่รู้จักอารมณ์ ก็คือ เก็บอารมณ์จริงๆ  คือ เก็บ โลภะ ๘เก็บโทสะ ๒...เก็บ โมหะ ๒   ล้วนเป็นการเก็บเพื่อไปอปายภูมิ ๔ โดยแท้.




สาธุ  สาธุ  สาธุ  อนุโมทามิ

***วิเสสลกฺขณมิตฺตา***

ชมรมสิกขาธัมมะตามพระไตรปิฎก(ติปิฏกะ) ๘๔๐๐๐พระธัมมขันธะ

........................................................................................

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น