ความเข้าใจ เรื่อง
พระพุทธศาสนาเบื้องต้น
ก่อนจะศึกษาพระไตรปิฎก เราต้องเข้าใจก่อนว่า “พระพุทธศาสนา คือ อะไร?”
พระพุทธศาสนา เป็น ศาสนา (ไม่ใช่ลัทธิ) ที่มีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดา มีพระธรรมที่เกิดจากความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า เป็นหลักธรรมคำสอน มีพระอริยสงฆ์สาวก เป็นผู้ประพฤติปฏิบัติสืบทอดพระพุทธธรรมคำสอน ดำรงรักษาไว้ซึ่งพุทธอริยธรรมวินัย และมีพุทธบริษัท ผู้นับถือพุทธศาสนา ศึกษา(สิกขา)ประพฤติตนตามพุทธธรรมสืบต่อจากพระสงฆ์ เพื่อดำรงรักษาไว้ซึ่งพระพุทธศาสนาให้ตั้งมั่นเป็นที่พึ่งของชาวโลก
หลักธรรมสำคัญ คือ พระพุทธศาสนาสอนว่า การเกิด (ชาติ) การแก่ (ชรา) การเจ็บ การตาย (มรณะ) เป็น ทุกข์ เป็น กฏของธรรมชาติ ซึ่งเป็นเรื่องของ ผล เราจะหนีออกจากกฏธรรมชาตินี้ได้อย่างไร เราเวียนว่ายตายเกิดอยู่กับกฏของธรรมชาติ อยู่กับผล มาตลอดทุกภพทุกชาติ พระผู้มีพระภาคเจ้าสมัยเมื่อเป็นพระโพธิสัตว์ ก็อยู่กับผลซึ่งเป็นกฏธรรมชาติ เมื่อพระองค์มาตรัสรู้ใน วันเพ็ญ ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ ทรงค้นพบ สัจธรรม(สจฺจธมฺม) ซึ่งเป็น เหตุ นำออกจากกฏธรรมชาติ ออกจากการเวียนว่ายตายเกิดนั้น ทรงค้นพบเรื่องของ เหตุ เหตุทำให้ผลปรากฏ เมื่อ ดับเหตุ ก็ไม่ปรากฏผล ผล คือ มีรูป เมื่อดับผลดับเหตุ คือ ดับรูปดับนาม ก็ไม่มีการเวียนว่ายในสังสารวัฏฏะ ๓๑ ภูมิ ให้เป็น ทุกข์ อีกต่อไป
ทุกข์ ไม่ใช่แปลว่า ความทุกข์กาย ทุกข์ใจ แต่ทุกข์ของพระพุทธเจ้า มีความหมายว่า :
ทุกข์ ๑๖๐ : รูป ๒๘
โลกียจิตฺต ๘๑
เจตสิก ๕๑ (เว้น โลภเจตสิก ๑)
สังสารวัฏฏะ ๓๑ ภูมิ : อบายภูมิ ๔ : สัตว์เดรัจฉาน สัตว์นรก เปรต อสุรกาย
มนุษย์ ( มนุสฺส) ๑
เทวดา (เทวตา) ๖
พรหม ๑๖
อรูปพรหม ๔
เหตุ คือ พระอภิธรรม(อภิธมฺม) อันประกอบด้วยธรรม ๔ ประการ คือ :
๑. จิต ( จิตฺต )
๒. เจตสิก (เจตสิก)
๓. รูป (รูป )
๔. นิพพาน (นิพฺพาน)
เมื่อดับ จิต เจตสิก รูป จึงจะถึงซึ่ง นิพพาน
เย ธมฺมา เหตุปฺปภวา เตสํ เหต ตถาคโต
เตสญฺจ โย นิโรโธ จ เอวํ วาที มหาสมโณ
มีความหมายว่า : ธรรมใดเกิดแต่เหตุ พระตถาคตทรงแสดงเหตุ และความดับแห่งเหตุนั้น พระมหาสมณะทรงมีปกติตรัสอย่างนี้
ธรรม แบ่งเป็น ๒ ประการ
๑.ปัญญัตติธรรม (ปญฺตฺติธมฺม)
๒.ปรมัตถธรรม (ปรมตฺถธมฺม)
พระพุทธวจนะ หรือ พระธรรมคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ที่พระพุทธองค์ทรงยืม ภาษามคธ ซึ่งเป็น ภาษาโลก ที่ชาวเมืองกปิลพัสดุ์ใช้อยู่ขณะนั้นมาใช้ แล้วทรงปัญญัตติขึ้นมา เรียกว่า ภาษาธรรม หรือ ภาษาพุทธะ สามารถแยกออกเป็น ปัญญัตติธรรม และ ปรมัตถธรรม ดังนี้ :
๑. ปัญญัตติธรรม (ปญฺตฺติธมฺม)
ปัญญัตติธรรม เป็น พระพุทธวจนะ ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ เป็นภาษาที่พระพุทธเจ้าตรัส แต่ละอัตถธรรมเป็น ปัญญัตติธรรม แบ่งเป็น :
๑.๑ อัตถปัญญัตติธรรม เป็นข้อธรรมของพระพุทธเจ้า อยู่ที่มหากิริยาจิตฺต ของพุทธะ
๑.๒ สัททปัญญัตติธรรม เป็นข้อธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงเปล่ง ทรงประกาศพระสุรเสียงออกมา เป็นเสียงเรียกศัพท์ธรรม เพื่อให้ทราบว่ากำลังกล่าวถึงอัตถปัญญัตติธรรมใด เช่น เรียกชื่อ จิต เจตสิก รูป โลภะ โทสะ อายตนะ สัมปยุตต มหาภูตรูป ฯลฯ ผู้ฟังที่ได้สิกขาพระธรรมคำสอน ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าก็พอจะเข้าใจว่ากำลังพูดถึงอะไร? อย่างไร? แม้ว่าจะยังไม่เห็น ยังไม่เข้าใจปัญญัตติธรรมในระดับที่ลึกซึ้งก็ตาม เมื่อได้ยินได้ฟังก็สามารถนึกถึงความหยาบ จนถึงความละเอียดของคำปัญญัตติธรรมนั้นๆ ตามภูมิธรรมแห่งตนๆ ได้
ธัมมปัญญัตติ เป็นปัญญัตติที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงปัญญัตติขึ้น หรือเป็นพระพุทธวจนะที่พระพุทธองค์ทรงยืมภาษาโลก เช่น ภาษามคธ มาเพื่อใช้ในการแสดงธรรม อธิบายธรรม ให้เวไนยสัตวะทั้งหลายสดับฟังแล้วสามารถตรองตาม เห็นตามความเป็นจริง ตั้งแต่หยาบจนถึงความละเอียดที่เป็นปรมัตถธรรม แล้วสามารถบรรลุธรรมได้ จึงเรียกอีกชื่อว่า ปัญญัตติธรรม เช่น จิตฺต เจตสิก รูป กุสล อกุสล ปฐวีมหาภูตรูป อาโปมหาภูตรูป เกสา อิตฺถินฺนรูป โสมนัส รูปารมฺมณ เป็นต้น ฯลฯ
ตัวอย่างเช่น คำว่า “ดิน” ที่เป็นโลกปัญญัตติ หมายถึง สิ่งที่มีลักษณะแข็งร่วน ก้อนเล็กๆ ทั้งที่ละเอียดและหยาบ มีสีหลากหลาย มองเห็นด้วยตาเปล่าได้ เมื่อพูดถึงดิน จะนึกถึง แผ่นดิน พื้นดิน ดินทั่วๆ ไป ซึ่งจัดว่า ยังเป็นคำหยาบเป็นของหยาบๆ ส่วนคำว่า “ดิน” ในภาษาพุทธะ หรือ ธัมมปัญญัตติ คือ “ปฐวีมหาภูตรูป” เป็นการประชุมรวมกันของธาตุต่างๆ ตั้งแต่ธาตุที่หยาบๆ จนถึงธาตุที่ละเอียด มีลักษณะแข้นแข็ง เป็นทั้งรูปที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า และรูปที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า
ธัมมปัญญัตติของพระพุทธองค์จะไม่ทรงปัญญัตติว่า “ดิน” แต่ทรงปัญญัตติว่า “ปฐวีมหาภูตรูป” เป็น รูป ซึ่งเป็น ปรมัตถธรรม ประกอบด้วยมหาภูตรูป ๔ ได้แก่ ปฐวีมหาภูตรูป อาโปมหาภูตรูป เตโชมหาภูตรูป และวาโยมหาภูตรูป
ดิน เป็น อวินิพโภครูป(อวินิพฺโภครูป) ๘ ประกอบด้วย :
ปฐวีมหาภูตรูป ๑
อาโปมหาภูตรูป ๑
เตโชมหาภูตรูป ๑
วาโยมหาภูตรูป ๑
รูปวิสยรูป ๑
คันธวิสยรูป (คนฺธวิสยรูป) ๑
รสวิสยรูป ๑
อาหารรูป ๑
เราไม่สามารถมองเห็น อวินิพโภครูป และ อุปาทยรูป ๒๔ ด้วยตาเปล่า ต้องได้ฌานเท่านั้นจึงจะมองเห็นได้ ส่วนรูปที่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าเป็น สสัมภาระ เมื่อพระพุทธองค์ทรงกล่าวว่า เทวดา (เทวตา) เปรต (เปต) มนุษย์(มนุสฺส) ดอกบัว น้ำฝน ไฟป่า ล้วนประกอบด้วย ปฐวีมหาภูตรูป หรือ ธาตุดิน ผู้ฟังธรรมสามารถบรรลุธรรมได้เพราะเข้าใจแล้วว่า “ดิน” คืออะไร ในรูป มี จิต และ เจตสิก อาศัยอยู่
ปัญญัติธรรม (ปญฺตฺติธมฺม) ของพระพุทธเจ้า เป็นธรรมที่ใกล้กับ พระนิพพาน ไม่มีสามัญญลักขณะ และ ไม่มีวิเสสลักขณะ ไม่ก่อภพ ไม่ก่อชาติ
๒. ปรมัตถธรรม (ปรมตฺถธมฺม)
ปรมัตถธรรม เป็นธรรมที่มีเนื้อความไม่วิปริตผันแปร เป็น ธรรมที่แสดงถึงกฎของธรรมชาติ ที่เป็นความจริงแท้แน่นอน เป็นสภาวธรรมที่เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ไม่ว่าพระพุทธเจ้าจะอุบัติขึ้นหรือไม่ก็ตาม ปรมัตถธรรมเหล่านี้ก็คงมีอยู่ พระพุทธองค์เป็นผู้ทรงค้นพบกฏของธรรมชาตินี้ แล้วนำมาสั่งสอนให้เวไนยสัตวะได้รับรู้รับทราบ และเข้าใจตามความเป็นจริง ซึ่งความจริงที่เป็นสภาวธรรมนี้มี องค์ประกอบ ๔ ประการ คือ :
๑. จิต(จิตฺต) ๑๒๑
๒. เจตสิก ๕๒
๓. รูป ๒๘
๔. นิพพาน ๑
ผู้ใดได้สิกขาจนเข้าใจอย่างถ่องแท้ ลึกซึ้ง และประณีตในหลักปรมัตถธรรมแล้ว ผู้นั้นย่อมเข้าสู่แนวทางของความเป็นพระอริยบุคคล(อริยปุคฺคล) ไปตามลำดับตั้งแต่ พระโสตาปันนะ(โสตาปนฺน) พระสกทาคามี(สกทาคามี) พระอนาคามี(อนาคามี) ตลอดจนถึง พระอรหันตะ(อรหนฺต) โดยเที่ยงแท้แน่นอน
ปรมัตถธรรม ประกอบด้วย ลักษณะ(ลกฺขณ) ๒ ประการ คือ :
๒.๑ สามัญญลักขณะ(สามญฺลกฺขณ) เป็นลักษณะทั่วๆ ไป ที่ต้องเป็นไปตามธรรมดา ตามสภาวะธรรม มี ๓ ประการ จึงเรียกว่า “ไตรลักษณ์” หรือ “ติลักขณะ(ติลกฺขณ)” คือ
๒.๑.๑ อนิจจลักขณะ(อนิจฺจลกฺขณ) คือ ลักษณะที่เป็นของไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน มีสภาวะที่แย้งต่อความเที่ยงอยู่ในตัว มีลักษณะของ อุปาทะ ฐิติ ภังคะ ตลอดเวลา
๒.๑.๒ ทุกขลักขณะ (ทุกขลกฺขณ) คือ ลักษณะที่ทนอยู่ได้ยาก มีการเกิดขึ้นและการสลายบีบคั้นอยู่ตลอดเวลา คงอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ จำต้องเสื่อมสลายหายสูญไป มีสภาวะที่แย้งต่อความสุข มีลักษณะของ อุปาทะ ฐิติ ภังคะ ตลอดเวลา
๒.๑.๓ อนัตตลักขณะ (อนตฺตลกฺขณ) เป็นลักษณะที่ว่างเปล่าจากความเป็นสัตว์ บุคคล ตัวตน เราเขา หรือสมมุติเป็นต่างๆ ไม่ใช่ตัวใช่ตน บังคับบัญชาไม่ได้ เป็นสภาวธรรมที่เป็นไปตามเหตุปัจจัย มีลักษณะของ อุปาทะ ฐิติ ภังคะ ตลอดเวลา
จิตฺต เจตสิก รูป มีสามัญญลักขณะครบ ทั้ง ๓ ประการ คือ :
อนิจจลักขณะ ทุกขลักขณะ และ อนัตตลักขณะ
ส่วน นิพพาน มี สามัญญลักขณะ เพียงประการเดียว คือ อนัตตลักขณะ
นิพพาน จึงเป็น อนัตตา (ถ้านิพพานเป็นอัตตา แสดงว่ายังมีการทำงานของ จิตฺต เจตสิก เพื่อสร้าง รูป จะต้องก่อภพชาติ เพื่ออยู่ในวัฏฏสงสาร ต่อไป ซึ่งแย้งต่อคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยสิ้นเชิง)
๒.๒ วิเสสลักขณะ(วิเสสลกฺขณ) เป็นลักษณะพิเศษประจำตัว พิเศษจำเพาะของปรมัตถธรรมนั้น ๆ ประกอบด้วยลักษณะ ๔ ประการ เรียกว่า “ลักขณาทิจตุกกะ” ได้แก่ :
๒.๒.๑ ลักขณะ (ลกฺขณ) หรือภาษาโลกเรียก ลักษณะ คือ คุณภาพ หรือเครื่องแสดง หรือ สภาพโดยเฉพาะที่มีประจำของธรรมนั้นๆ ซึ่งจะถูกชี้ขาดด้วยกาลเวลา
๒.๒.๒ รส คือ กิจการงาน หรือ หน้าที่ ที่ธรรมนั้นๆ พึงกระทำตามลักษณะของตน เข้ากันได้ หรือเข้ากันไม่ได้ แบ่งเป็น ๒ ประการ คือ กิจจรส กับ สัมปัตติรส
๒.๒.๓ ปัจจุปัฏฐาน (ปจฺจุปฏฺาน) เป็นการทำงานของปรมัตถธรรม ที่ผ่านขั้นตอนของรส และเข้ากันได้มาแล้ว
๒.๒.๔ ปทัฏฐาน (ปทฏฺาน) เป็นผลที่ได้จากการทำงานของขั้นปัจจุปัฏฐาน ซึ่งต้องมีคุณภาพตรงตามลักขณะ เป็นฐานเพื่อการทำงานของสภาวะธรรมขั้นต่อไป
จิตฺต เจตสิก รูป มีวิเสสลักขณะ หรือ ลักขณาทิจตุกกะ ครบบริบูรณ์ทั้ง ๔ ประการ คือ ลักขณะ รส ปัจจุปัฏฐาน และ ปทัฏฐาน แต่ นิพพาน มีลักขณาทิจตุกกะ เพียง ๓ ประการ เท่านั้น คือมี ลักขณะ รส ปัจจุปัฏฐาน โดย ไม่มีปทัฏฐาน เพราะ นิพพาน เป็นธรรมที่พ้นจากเหตุปัจจัยทั้งปวง จึงไม่มีฐานเพื่อการก่อเกิดภพชาติ อีกต่อไป
ในพระพุทธศาสนา สอนว่า ความทุกข์ ไม่ได้เกิดจากมีสิ่งดลบันดาล แต่เกิดแต่เหตุและปัจจัยมาประชุมพร้อมกัน โดยมีรากเหง้ามาจากความไม่รู้ คือ อวิชชา(อวิชฺชา) ทำให้มีกระบวนการต่อเนื่องเชื่อมโยงไม่ขาดตอน เป็นปฏิจจสมุปบาท (ปฏิจฺจสมุปฺปาท) เป็นวัฏฏะ ทำให้เราเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏฏะอันยาวนาน
อวิชชา เป็นปัจจัยให้เกิด สังขาร
สังขาร เป็นปัจจัยให้เกิด วิญญาณ
วิญญาณ เป็นปัจจัยให้เกิด นามรูป
นามรูป เป็นปัจจัยให้เกิด สฬายตนะ
สฬายตนะ เป็นปัจจัยให้เกิด ผัสสะ
ผัสสะ เป็นปัจจัยให้เกิด เวทนา
เวทนา เป็นปัจจัยให้เกิด ตัณหา
ตัณหา เป็นปัจจัยให้เกิด อุปาทาน
อุปาทาน เป็นปัจจัยให้เกิด ภพ
ภพ เป็นปัจจัยให้เกิด ชาติ
ชาติ เป็นปัจจัยให้เกิด ชรา มรณะ
โสก ปริเทว ทุกข โทมนัส อุปายาส
ธรรมของพระผู้มีพระภาคเจ้าจะเข้าไปกำกับ อธรรม ที่อยู่ในจิตฺตเรา มีแต่ธรรมของพระพุทธเจ้าเท่านั้นที่จะช่วยเราได้ จนในที่สุดเราจะทวนกระแสกิเลส เป็นวิวัฏฏะ คือ :
เมื่อ อวิชชา ดับ สังขาร จึง ดับ
เพราะ สังขาร ดับ วิญญาณ จึง ดับ
เพราะ วิญญาณ ดับ นามรูป จึง ดับ
เพราะ นามรูป ดับ สฬายตนะ จึง ดับ
เพราะ สฬายตนะ ดับ ผัสสะ จึง ดับ
เพราะ ผัสสะ ดับ เวทนา จึง ดับ
เพราะ เวทนา ดับ ตัณหา จึง ดับ
เพราะ ตัณหา ดับ อุปาทาน จึง ดับ
เพราะ อุปาทาน ดับ ภพ จึง ดับ
เพราะ ภพ ดับ ชาติ จึง ดับ
เพราะ ชาติ ดับ ชรา มรณะ โสก ปริเทว ทุกข โทมนัส อุปายาส จึง ดับ
ภายหลังตรัสรู้ ในสัปดาห์ที่ ๔ ขณะเมื่อทรงพิจารณาพระอภิธรรม ณ รัตนฆรเจติยะ ใบบรรดาปกรณ์ทั้ง ๗ แม้เมื่อทรงพิจารณาตั้งแต่ ธัมมสังคณี พระวิภังค์ พระธาตุกถา พระปุคคลปัญญัตติ พระกถาวัตถุ และพระยมก มาตามลำดับ พระรัสมีทั้งหลายก็มิได้แผ่ซ่านออกไปจากพระสรีระ แต่เมื่อก้าวลงสู่ มหาปัฏฐาน เริ่มพิจารณา เหตุปัจจโย อารัมมณปัจจโยเป็นต้น พระสัพพัญญุตญาณโดยความเป็นอันเดียวกันของพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้กำลังพิจารณาสมันตปัฏฐาน ๒๔ ประการ...... พลันฉัพพรรณรังสี ๖ ประการก็กระจายแผ่ซ่านออกมาจากพระสรีระของพระพุทธองค์เป็นอัศจรรย์
พระฉัพพรรณรังสี คือ พระรัสมี ๖ ประการ คือ :
๑. นีล สีเขียวเหมือนดอกอัญชัน เปล่งออกมาจาก พระเกสา พระมัสสุ และสีเขียวจากพระเนตรทั้งสอง
๒. ปีต สีเหลือง เปล่งซ่านออกจากพระฉวีวรรณ และสีเหลืองแห่งพระเนตรทั้งสอง
๓. โลหิต สีแดง เหมือนตะวันอ่อน เปล่งออกมาจาก พระมังสะ พระโลหิต และสีแดงแห่งพระเนตรทั้งสอง
๔. โอทาต สีขาวเหมือนแผ่นเงิน เปล่งซ่านออกมาจากพระอัฐิทั้งหลาย จากพระทนต์ทั้งหลาย และสีขาวแห่งพระเนตรทั้งสอง
๕. มัญเชฏฐ สีหงสบาท เหมือนดอกหงอนไก่
๖. ประภัสสร สีเลื่อมพราย เหมือนแก้วผลึก
พระรัสมีสีหงสบาท และ ประภัสสร เปล่งซ่านออกจากพระสรีระนั้นๆ
พระฉัพพรรณรังสีเหล่านั้น จับมหาปฐพีอันหนา ๒๔๐,๐๐๐ โยชน์ ได้เป็นเหมือนก้อนทองคำที่ขจัดมลทินแล้ว พระรัสมีเจาะทะลุแผ่นดินลงไปจับน้ำในภายใต้ไว้ น้ำซึ่งรองแผ่นดินหนาถึง ๔๘๐,๐๐๐ โยชน์ ให้เป็นเหมือนทองคำ ที่ไหลคว้างออกจากเบ้าทอง พระรัสมีเจาะน้ำลงไปจับลมที่หนา ๙๖๐,๐๐๐ โยชน์ ใด้เป็นเหมือนแท่งทองคำที่ยกขึ้นแล้ว แล่นไปสู่อัชชฏากาสภายใต้
ส่วนเบื้องบน พระรัสมีพุ่งขึ้นไปจับชั้นจาตุมหาราชิกา เจาะแทงตลอดสู่ชั้นตาวติงสา ยามา ตุสิตา นิมมานรตี ปรนิมมิตวสวัตตี และพรหมโลก ๙ ชั้น แล้วขึ้นไปสู่ เวหัปผลา ไปสู่ปัญจสุทธาวาส และจับอรูปทั้ง ๔ แล้วไปสู่อัชชฏากาส
โดยส่วนเบื้องขวางทั้งหลาย พระรัสมีแล่นไปสู่โลกธาตุทั้งหลายอันหาประมาณมิได้
ในสถานที่ทั้งหลายที่มีประมาณเท่านี้ ไม่มีรัสมีพระจันทร์ในพระจันทร์ ไม่มีรัสมีพระอาทิตย์ในพระอาทิตย์ ไม่มีรัสมีดวงดาวในดวงดาวทั้งหลาย ไม่มีรัสมีของเทวดาทั้งหลายในที่ทั้งปวง คือ อุทยาน วิมาน ต้นกัลปพฤกษ์ ที่สรีระทั้งหลาย ที่อาภรณ์ทั้งหลาย แม้มหาพรหมผู้สามารถแผ่แสงสว่างไปสู่โลกธาตุ ติสหัสสี และ มหาสหัสสี เป็นเหมือนหิ่งห้อย สถานที่ประมาณดังกล่าวถูกปกคลุมไปด้วยพระรัสมีของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อพระพุทธองค์ทรงพิจารณาธรรมอันละเอียด สุขุม คัมภีระ พระโลหิตก็ผ่องใส วัตถุรูปก็ผ่องใส พระฉวีวรรณก็ผ่องใส วรรณธาตุมีจิตเป็นสมุฏฐาน ตั้งอยู่ ไม่หวั่นไหวในบริเวณประมาณ ๘๐ ศอกโดยรอบ (พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี และอรรถกถา อัฏฐสาลินี น. ๓๔)
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพิจารณาธรรมตลอด ๗ วัน เป็นการเทสนาด้วยพระหฤทัย มีธรรมเกิดขึ้นนับจะประมาณมิได้ แม้ในพรรษาที่ ๗ พระพุทธองค์ทรงประทับเหนือพระแท่นปัณฑุกัมพลสิลาอาสน์ ณ ควงไม้ปาริชาต ตาวติงสาเทวโลก ท่ามกลางเหล่าเทพ หมื่นจักรวาล เพื่อทรงโปรดพระพุทธมารดา(สันตุสิตเทพบุตร) ให้เป็นพระโสดาบัน(โสตาปนฺน) แม้ทรงกล่าวธรรมโดยย่อๆ ก็ยัง นับจะประมาณมิได้
พระพุทธศาสนา คือ คำสั่งสอนของ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธองค์ทรงสร้างพระปารมีมา ๒๐ อสงไขย กำไรแสนกัปป์ เป็นพระพุทธเจ้าแบบปัญญาธิกะ เพื่อตรัสรู้ธรรม(ธมฺม) ที่จะมารื้อสัตว์ ขนสัตว์ ออกจากสังสารวัฏฏะ
เรานับถือพระพุทธศาสนา คือ เรานับถือคำสอนของพระพุทธเจ้า ในสมัยพุทธกาล ผู้ที่ต้องการฟังคำสอนของพระพุทธองค์ จึงมาเป็น สาวก ของพระพุทธองค์
สาวก แปลว่า ผู้ฟัง
สาวก คือ ผู้ฟังคำสอนของพระพุทธเจ้า ศึกษา(สิกฺขา)คำสอนของพระพุทธเจ้า และ ประพฤติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็น ปริยัตติ เพื่อเข้าถึง ปฏิปัตติ และ ปฏิเวธ ซึ่งมาจาก สัทธรรม(สทฺธมฺม)๑๐ คือ :
ปริยัตติสัทธรรม(ปริยตฺติสทฺธมฺม) ๑ คือ พระพุทธวจนะ ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์(ธมฺมขนฺธ)
ปฏิปัตติสัทธรรม(ปฏิปตฺติสทฺธมฺม) ๘ คือ ความเข้าถึงความเป็น พระอริยบุคคล(อริยปุคฺคล) ๘ ตั้งแต่ :
๑. โสตาปัตติมัคคบุคคล ๒. โสตาปัตติผลบุคคล
๓. สกทาคามิมัคคบุคคล ๔. สกทาคามิผลบุคคล
๕. อนาคามิมัคคบุคคล ๖. อนาคามิผลบุคคล
๗. อรหัตตมัคคบุคคล ๘. อรหัตตผลบุคคล
ปฏิเวธสัทธรรม(ปฏิเวธสทฺธมฺม) ๑ คือ พระนิพพาน :
๑. สอุปาทิเสสนิพพาน ยังมีขันธ์ ๕ ดำรงอยู่
๒. อนุปาทิเสสนิพพาน ดับขันธ์ ๕ ดับรูป ดับนาม
การเข้าถึงพระพุทธศาสนา คือ การฟังคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็น ปริยัตติ สิกขา และ ประพฤติตาม จนเข้าถึง ปฏิปัตติ เป็นพระอริยบุคคล ถึงพุทธธรรม ตามคำสอนของพระพุทธเจ้าเท่านั้น จนกว่าจะเข้าสู่ ปฏิเวธ คือ พระนิพพาน
เมื่อเราฟังคำสอนของพระพุทธเจ้า คือ เราฟังพระพุทธเจ้า เราเป็นสาวกของพระพุทธเจ้า ถ้าเราไปฟังคำสอนของคนนอกลัทธิ คนที่สอนไม่ถูกต้องตามธรรมของพระพุทธองค์ ก็แสดงว่า เราไม่ได้นับถือพระพุทธเจ้า โดยเฉพาะพระภิกขุที่ครองจีวร แสดงว่าเราไม่ได้นับถือพระพุทธศาสนา เราเป็นคนนอกพระพุทธศาสนา ถ้าเรานับถือพระพุทธศาสนา เราต้องการฟังเพียงคำสอนของพระพุทธเจ้าเท่านั้น เราไม่เอาคำสอนของคนอื่น
ในสมัยพุทธกาล สมัยเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ สาวกทั้งหลายจะไปเข้าเฝ้าเพื่อฟังคำสอนของพระพุทธองค์ แม้จะต้องเดินทางมาจากที่ไกลแสนไกล เพื่อจะได้ซักถาม ทูลถามปัญหาต่างๆ ให้เกิดความกระจ่างแจ้ง ต่อมาเมื่อพระพุทธองค์จะทรงเสด็จดับขันธปรินิพพาน พระพุทธองค์มิได้ทรงแต่งตั้งพระภิกขุสาวกองค์ใดให้เป็นศาสดาแทนพระองค์ แต่พระพุทธองค์ได้ตรัส กับ พระมหาอานนทเถระ ว่า :
โย โว อานนฺท มยา ธมฺโม จ วินโย จ เทสิโต ปญฺตฺโต โส โว มมจฺจเยน สตฺถา
(ที. ม. ๑๐/๑๔๑/๑๗๘) มีความหมายภาษาไทย ว่า :
ดูกรอานนท์ ธรรมแลวินัยใด ที่ตถาคตได้แสดงแล้ว และบัญญัติ(ปญฺตฺติ)แล้ว แก่เธอทั้งหลาย ธรรมและวินัยนั้น จักเป็นศาสดาของเธอทั้งหลาย ในกาลล่วงไปแห่งตถาคต
พระพุทธเจ้าทรงฝากพระธรรมวินัย ไว้เป็นศาสดาแทนพระองค์ เราเคารพพระพุทธเจ้า เราต้องรักษาพระธรรมวินัย การที่ได้สังคายนาไว้ คือ การรักษาพระพุทธวจนะ คือการรักษาพระศาสดาของเรา นั่นก็คือ การรักษาพระพุทธเจ้า นั่นเอง
พระพุทธศาสนา เป็น ศาสนาแบบอเทวนิยม เชื่อในความสามารถของมนุษย์ ว่ามนุษย์ทุกคนสามารถพัฒนา จิต (จิตฺต) ด้วยความเพียรไปสู่ความหลุดพ้น คือ พระนิพพาน ได้ พระพุทธศาสนาสอนให้มนุษย์กำหนดชีวิตของตนด้วยผลการกระทำของตนเอง ไม่ได้เกิดจากการอ้อนวอน หรือดลบันดาล ของพระเจ้า หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์นอกกาย คือ ให้พึ่งตนเอง คือ : อตฺตาหิ อตฺโนนาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน เพื่อพาตนออกจากกองทุกข์ ด้วยปัญญาความดับทุกข์ แต่เรามิใช่วิสัยพุทธะ ที่จะมีปัญญาความรู้ที่จะดับทุกข์ได้เอง เราทั้งหลายเกิดมาภายหลังพุทธปรินิพพานไปแล้ว เราต้องดำเนินตามวิถีทางที่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ ได้ประทานพุทธธรรมคำสอนไว้แทนพระองค์ ซึ่งขณะนี้ครบ มหาพุทธชยันตี ๒๖๐๐ พระวัสสา ภายหลังตรัสรู้ เรามีหน้าที่ต้องสิกขาหาความรู้แจ้งตามพุทธธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ เท่านั้น.
สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ
วิเสสลกฺขณมิตฺตา
วิเสสลกฺขณมิตฺตา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น