พระวินัยเบื้องต้น อันสำคัญยิ่ง
ของ สมณศากยบุตร
ในสมัยพุทธกาล สมเด็จพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง พระธรรมวินัย(ธมฺมวินย) ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์(ธมฺมขนฺธ) ซึ่งแบ่งออกเป็น ๒ คือ :
๑.พระวินัย ๒๑,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ เป็นกรอบ หรือ กฏเกณฑ์ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงกำหนด สำหรับบุคคลที่จะบรรลุธรรม หรือ ไม่บรรลุธรรม ว่ามีลักษณะอย่างไร จะมีการควบคุมความประพฤติอย่างไร และแต่ละท่านจะได้รับผลอย่างไร พร้อมยกตัวอย่างบุคคลที่เป็นเหตุให้พระพุทธองค์ทรงบัญญัติพระวินัย ในสมัยพุทธกาลจึงเป็นเรื่องของผล หรือ บุคคลาธิฏฐาน พระพุทธศาสนาจะตั้งอยู่ได้นานหรือไม่ อยู่ที่พระวินัย พระวินัยเป็นอายุของพระพุทธศาสนา
ในการสังคายนาพระไตรปิฎกทุกครั้ง ไม่ปรากฏว่าพระอรหันต์ท่านใดตัดพระวินัย เพราะพระวินัยที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้ว แม้จะทรงพุทธานุญาตให้ตัดได้บางส่วน แต่ไม่มีผู้ใดกล้าตัด เพราะทุกอัตถธรรม คือ ความเป็นพระอรหันต์ ถ้าพุทธบริษัทไม่มีวินัย ไม่สนใจสิกขาพระวินัย พระพุทธศาสนาก็จะตั้งอยู่ได้ไม่นาน จะถูกนำไปใช้เป็นเครื่องมือในการทำเดรัจฉานกถา หรือ เพื่อเลี้ยงชีพด้วยเดรัจฉานวิชา และชาวพุทธก็ไม่รู้ว่านั่นเป็นเดรัจฉานวิชา จะหลงเชื่อ และถูกหลอกให้หลงเข้าไปอยู่ในวังวน และกลายเป็นสนับสนุนเดียรถีย์ อลัชชี เพราะไม่รู้อย่างแท้จริงว่า พระพุทธเจ้าทรงสอนว่าอย่างไร พระพุทธองค์ทรงวางกฏเกณฑ์ไว้อย่างไร อะไรทำได้ อะไรทำไม่ได้
๒.พระธรรม ๖๓,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ แบ่งเป็น ๒ คือ :
๑) พระสุตตันตปิฎก(สุตฺตนฺตปิฏก) ๒๑,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ เป็นเรื่องที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเทสนาถึงบุคคล ต่างๆ ที่มีวินัย และไม่มีวินัย อันเป็นผล เป็นบุคคลาธิฏฐาน ทรงยกตัวอย่างให้เห็นว่า บุคคลมีวินัย และไม่มีวินัย ไม่เหมือนกันอย่างไร มีผลทำให้การฟังธรรมของแต่ละท่าน รู้ และ เข้าใจไม่เหมือนกัน ผู้ที่รู้ และ เข้าใจธรรมจะต้องอยู่ในกรอบวินัยของพระพุทธเจ้าอย่างไร เมื่อพระพุทธองค์ทรงเทสนาธรรม ก็จักทรงแสดงให้ตรงกับวินัยของบุคคลนั้นๆ เพื่อให้ท่านรู้ เข้าใจ และบรรลุธรรมในที่สุด บุคคลในพระสูตร(สุตฺตนฺต)เป็นบุคคลตัวอย่าง สำหรับเตือนบุคคลในยุคหลังว่า จะอยู่ในวินัยหรือไม่ จะได้รับผลอย่างไร ถ้าอยู่ในวินัย หรือ ไม่อยู่ในวินัย
การนำ พระวินัยปิฎก หรือ พระสุตตันตปิฎก ซึ่งเป็นผล หรือ วิปาก มาสอน หรือ อธิบาย มีอันตรายมาก เพราะไม่ได้บอกเหตุ ความเป็นไปเป็นมาของบุคคลต่างๆ สำหรับบุคคลในสมัยพุทธกาลที่พระพุทธองค์ทรงยกมาเป็นตัวอย่าง ท่านมีความเข้าใจธรรมแจ่มแจ้ง เมื่อได้ฟังธรรมแล้วจะบรรลุธรรม นับจะประมาณมิได้ เพราะท่านได้ สะสมธรรมคำสอนที่เป็นเหตุ คือ อภิธรรม (อภิธมฺม) มาพร้อมแล้ว เพียงแต่มาสดับธรรมเพิ่มเพียงเล็กน้อย ก็เข้าใจธรรมแจ่มแจ้ง
ส่วนบุคคลในยุคนี้ บรรลุธรรมยากมาก เพราะทุกคนไม่รู้ เหตุ คือ อภิธรรม หรือ อภิธัมมะ
๒) พระอภิธรรมปิฎก(อภิธมฺมปิฏก) ๔๒,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ เป็นเรื่องที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเทสนาข้อธรรมล้วนๆ ประกอบด้วย :
๑. ปัญญัติธรรม (ปญฺตฺติธมฺม)
๒. ปรมัตถธรรม(ปรมตฺถธมฺม)
พระอภิธรรมปิฎก เป็นเรื่องเกี่ยวกับเหตุ หรือเป็นธัมมาธิฏฐาน พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเทสนาธรรมเกี่ยวกับความเป็นไปเป็นมาของเวไนยสัตว์ทั้ง ๓๑ ภูมิ (อบายภูมิ ๔ มนุษย์ ๑ เทวดา ๖ พรหม ๑๖ และ อรูปพรหม ๔) เหตุที่ต้องเวียนว่ายอยู่ในสังสารวัฏฏะอันยาวนาน ตามปรากฏตัวอย่างบุคคลใน พระวินัย และ พระสูตร ต้องอาศัยพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้นที่จะถึงซึ่ง พระอภิธรรม(อภิธมฺม) หยุดการเวียนว่ายในวัฏฏะ ดับภพ ดับชาติ คือ นิพพาน
พระอภิธรรม แบ่งเป็น ๒ คือ :
๑. ปัญญัตติธรรม(ปญฺตฺติธมฺม) คือ องค์ธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสออกมาจากพระโอษฐ์ เพื่อสื่อให้ผู้ฟังรู้ และ เข้าใจข้อธรรมนั้นๆ พระพุทธองค์ทรงยืมภาษาโลกมาใช้เทสนาธรรม ปัญญัตติเป็นธรรมที่หลุดพ้นจากวัฏฏะ เป็นธรรมที่เข้าสู่นิพพาน เมื่อได้สดับ ปัญญัตติธรรมจะมาเก็บไว้ที่ธัมมารมณ์ (ธมฺมารมฺมณ) ภายในชวนจิต ซึ่งประกอบด้วย :
ปสาทรูปธัมมารมณ์ ๕ สุขุมรูปธัมมารมณ์ ๑๖
จิต ๑๒๑ เจตสิก ๕๒
จิต ๑๒๑ เจตสิก ๕๒
ปัญญัตติ ๑ นิพพาน ๑
ปัญญัตติธรรมไม่มีสภาวะของ สามัญลักขณะ และวิเสสลักขณะ เป็นธรรมที่ใกล้บรรลุนิพพาน แบ่งออกเป็น ๒ คือ :
๑) อัตถปัญญัตติ (อตฺถปญฺตฺติ) เป็นเนื้อธรรมล้วน ทุกอัตถธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติ คือ ความเป็นพระอรหันต์ เช่น นิพพาน จิต เจตสิก รูป กิเลส อายตนะ ฯลฯ
๒) สัททปัญญัตติ (สทฺทปญฺตฺติ) เป็นเสียงธรรมที่มีพลานุภาพ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเปล่งพระธรรมเทสนาเมื่อใด เมื่อนั้นผู้ได้สดับธรรม ได้รู้ธรรม เข้าใจธรรม และบรรลุธรรมตามภูมิธรรมที่ได้สะสมมา เช่น ทรงเทสนาว่า จิต เจตสิก รูป กิเลส อายตนะ ฯลฯ ผู้ที่เคยสะสมอัตถธรรมมาดีแล้ว ในธัมมารมณ์ ที่อยู่ภายในชวนจิต เมื่อได้ยินเสียงสัททธรรม สามารถไตร่ตรองตาม เข้า และ บรรลุธรรม ได้ตามลำดับ
๒. ปรมัตถธรรม (ปรมตฺถธมฺม) คือ องค์ธรรมที่พระพุทธเจ้า ทรงตรัส เหตุ และความดับแห่งเหตุนั้น เป็นเนื้อธรรมไม่ผันแปร เป็นธรรมที่แสดงเหตุปัจจัย ของความเป็นไปของกฏธรรมชาติ และเหตุปัจจัยของความหลุดพ้นจากกฏธรรมชาติ ได้แก่ :
๑) จิต ๑๒๑
๒) เจตสิก ๕๒
๓) รูป ๒๘
๔ ) นิพพาน ๑
แต่ละองค์ธรรมอยู่ในธัมมารมณ์ ภายในชวนจิต ที่อาศัยอยู่ในหทยรูป ซึ่งเป็นทั้งรูป และ นาม ประกอบด้วย :
๑) สามัญลักษณะ (สามญฺลกฺขณ)
๒) วิเสสลักษณะ (วิเสสลกฺขณ)
เมื่อผู้สิกขาธรรมได้รู้ และ เข้าใจ อย่างถ่องแท้ ลึกซึ้ง คัมภีระ ก็สามารถดับรูป ดับนาม หรือ ดับภพ ดับชาติ ได้ในที่สุด
สามัญลักขณะ คือ คุณสมบัติขององค์ธรรมที่แปรเปลี่ยน เป็นไปตามสภาวะตามปกติ เกิด อุปาทะ ฐิติ ภังคะ ตลอดเวลา ประกอบด้วย ๓ ลักษณะ เรียก ไตรลักษณ์(ติลกฺขณ) คือ :
- อนิจจลักขณะ มีลักษณะไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน แปรเปลี่ยนตลอดเวลา
- ทุกขลักขณะ มีลักษณะการเกิด และการสลาย บีบคั้นตลอดเวลา คงสภาพเดิมไม่ได้นาน
- อนัตตลักขณะ มีลักษณะว่างเปล่า ไม่มีตัวตน ม่มีรูป ไม่มีนาม ไม่มีการสืบต่อวัฏฏะ
จิต เจตสิก รูป มี ๓ ลักษณะ ยกเว้น นิพพาน มีแต่ อนัตตลักขณะ เพราะ ดับรูป ดับนาม ไม่ก่อภพชาติอีกต่อไป
วิเสสลักขณะ คือ คุณสมบัติ หรือ คุณลักษณะพิเศษขององค์ธรรม ที่เชื่อมโยงการทำงานร่วมกันระหว่าง จิตปรมัตถะ เจตสิกปรมัตถะ และรูปปรมัตถะ ประกอบด้วยลักษณะ ๔ ประการ :
- ลักขณะ คือ คุณลักษณะโดยเฉพาะขององค์ธรรมนั้นๆ ซึ่งถูกชี้ขาดด้วยกาลเวลา
- รสะ คือ กิจการงาน หรือ หน้าที่ขององค์ธรรมพึงกระทำตามลักษณะของตน เข้ากันได้ หรือ เข้ากันไม่ได้ กับองค์ธรรมอื่นๆ มี ๒ หน้าที่ คือ กิจรสะ กับ สัมปัตติรสะ
- ปัจจุปัฏฐาน คือ ผลจากการทำงานในรสะ ก่อให้เกิดการหลุดพ้น หรือ การเชื่อมต่อ กับ องค์ธรรมอื่นต่อไป
- ปทัฏฐาน คือ ผลปัจจัยจากการทำงานตามหน้าที่ ตามคุณลักษณะ ของแต่ละองค์ธรรม อันเป็นบาทฐาน หรือ เหตุปัจจัย ให้เกิดการทำงานขององค์ธรรมอื่นต่อไป
สรรพสิ่งทั้งหลายมีลักษณะ ๔ ยกเว้น โลกุตตรมัคคะ ไม่มีปทัฏฐาน เพื่อเป็นเหตุปัจจัยให้สืบต่อภพ ชาติอีกต่อไป
ธรรมของพระผู้มีพระภาคเจ้า มีความลึกซึ้ง คัมภีระ คือ ความลึกซึ้งในธรรม ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ มีความลึกซึ้งปรากฏชัดอยู่ ๓ ประการ คือ :
๑. ความลึกซึ้งใน พระวินัยปิฎก (วินยปิฏก)
๒. ความลึกซึ้งใน พระสุตตันตปิฎก (สุตฺตนฺตปิฏก)
๓. ความลึกซึ้งใน พระอภิธรรมปิฎก (อภิธมฺมปิฏก)
พระวินัยปิฎก มีธรรม ๒๑,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ความลึกซึ้งในพระวินัยปิฎก ต้องดูที่คัมภีระ พระวินัยปิฎกมี ๕ คัมภีระ :
๑. อาทิกัมมิกคัมภีระ
๒. ปาจิตตียคัมภีระ
๓. มหาวัคคคัมภีระ
๔. จุลวัคคคัมภีระ
๕. ปริวารคัมภีระ
หรือ ๑ . มหาวิภังคคัมภีระ (ภิกขุวิภังคคัมภีระ)
๒ . ภิกขุนีวิภังคคัมภีระ
๓. มหาวัคคคัมภีระ
๔. จุลวัคคคัมภีระ
๕. ปริวารคัมภีระ
ความลึกซึ้งของพระวินัยปิฎก (วินยปิฏก) บ่งบอกถึงบุคคลที่จะมาบรรลุธรรม เป็นอริยบุคคล ท่านมีวินยปิฏกมาอย่างไร ซึ่งเป็นผลมาจากเหตุ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงเรื่องเหตุ ที่ทำให้เกิดกระบวนการทำงาน มีความเป็นมาอย่างไร ทั้ง พระสูตร และพระวินัยเป็นผล ส่วนพระอภิธรรม เป็นเหตุ พูดถึงพระวินยปิฏก ต้องนึกถึง ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ผู้ที่เคยทำมาแต่อดีต ส่งผลให้บรรลุธรรมในชาตินี้ คัมภีระจึงบ่งบอกถึงความลึกซึ้งที่เคยสะสมมาอเนกอนันตชาติ
พระวินัย คือ เรื่องของ สีล พระวินัยบ่งบอกถึงบุคคลที่จะมาเป็น พระพุทธเจ้าก็ดี พระอัครสาวกก็ดี พระอสีติมหาสาวกก็ดี ฯลฯ หรือ การบำเพ็ญแบบพระโพธิสัตว์ หรือ พระปัจเจกพุทธเจ้า มาจากพระวินัย
พระวินัย เกิดจาก ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ เรียก อาณาเทสนา เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเทสนาในขอบเขตของพระวินัย คือ อาณาเทสนา ที่บุคคลนั้นได้สะสมมา ได้วางตนในขอบเขตของพระวินัยมาแล้ว ทำให้ท่านฟังธรรมได้ และบรรลุธรรมได้
มนุษย์ทุกคนในโลกนี้มาจากสีล สีลเป็นวิปาก เป็นผล ทำให้เป็นมนุษย์ เทวดา พรหม สีลเป็นวิปากอยู่ในพระสุตตันตะ และพระวินัย เพราะจะมีบุคคลอยู่ในพระสุตตันตะ และพระวินัย ส่วนพระอภิธรรม(อภิธมฺม)จะบอกเรื่องเหตุ ว่าเราเกิดมามีสีลเพราะอะไร เราเกิดเป็นมนุษย์(มนุสฺส)เพราะมีสีลครบถ้วนบริบูรณ์มาแต่อดีต เรารับสีลมาตั้งแต่เด็กจนโต ว่า ปาณาติปาตา เวรมณี รู้ความหมายแต่พียงว่า ห้ามฆ่าสัตว์ เรารู้เพียงแค่นี้ แล้วจะ บรรลุธรรมได้ไหม? กลายเป็น มิจฉาทิฏฐิ! ถ้าเราไม่มี สิกขาปทังสมาทิยามิ ไม่ได้สิกขาคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่ว่าทำอย่างไรไม่ให้เราตกอบายภูมิ ผู้ไม่สิกขาคำสอนของพระพุทธเจ้า แสดงว่าไม่นำธรรมของพระพุทธเจ้ามาสิกขา
ชาวพุทธที่เกิดมาพบพระพุทธศาสนา จะต่อด้วย สิกขาปทังสมาทิยามิ เพราะเกิดมาเป็นมนุษย์แล้วต้องพบพระพุทธศาสนา ต้องพบพระพุทธเจ้า พบพระธรรม พบพระสงฆ์ ต้องสิกขาธรรม ถ้าไม่สิกขาธรรม เราจะไม่ถึงธรรม ไม่มี สิกขา ๓ คือ สีลสิกขา จิตตสิกขา และปัญญาสิกขา แล้วจะถึง มัคคะ ผละ นิพพานะ ได้อย่างไร สิกขา คือ ตัวย่อของ สีล (สีลสิกขา) สมาธิ (จิตตสิกขา) ปัญญา (ปัญญาสิกขา)
พระวินัย คือ สีล
สีล คือ เวรมณี (งดเว้น)
เวรมณี คือ วิรตี ๓
วิรตี ๓ เป็นธรรมอยู่ในเบื้องต้นของสีล และ วิรตี ๓ เป็นธรรมเบื้องต้นของมัคคะ ในอริยมัคคะ ๘ ที่มี สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ
วิรตี ๓ คือ : ๑. สัมมาวาจาเจตสิก
๒. สัมมากัมมันตเจตสิก
๓. สัมมาอาชีวเจตสิก
วิรตี ๓ เป็น โสภณเจตสิก ที่ทำงานกับ กุสลจิตฺต อย่างเดียว
สัมมา มาจาก สัมมาสัมพุทธเจ้า เกิดจาก ความตรัสรู้ที่จะรื้อสัตว์ ขนสัตว์ ออกจากสังสารวัฏฏะ
สัมมา คือ : ๑. ปุพเพนิวาสานุสสติญาณสัมมาสัมพุทธเจ้า
๒. จุตูปปาตญาณสัมมาสัมพุทธเจ้า
๓. อาสวักขยญาณสัมมาสัมพุทธเจ้า
วิรตี ๓ ที่เป็น สัมมาวาจาเจตสิก การเทสนาธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงมอบมรดกล้ำค่าไว้ให้แก่พุทธบริษัททั้งหลาย เพื่อที่พุทธบริษัททั้งหลายจะมี สัมมาของพระพุทธเจ้า เข้าไปไว้ในจิต(จิตฺต) สัมมาวาจา คือ พุทธธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นพระพุทธวจนะทุกอัตถธรรม
กายทุจริต (กายอกุสลกัมมปถ) ๓ คือ ปาณาติบาต อทินนาทาน และกาเมสุมิจฉาจาร ปราบโดย สัมมากัมมันตวิรตีพุทธวจนะ
วจีทุจริต (วจีอกุสลกัมมปถ) ๔ คือ มุสาวาท ปิสุณวาท ผรุสวาท และสัมผัปปลาป ปราบโดย สัมมาวาจาวิรตีพุทธวจนะ
สัมมาอาชีววิรตีพุทธวจนะ จะคุม สัมมาวาจาวิรตี และสัมมากัมมันตวิรตี
มโนทุจริต (มโนอกุสลกัมมปถ) ๓ คือ อภิชฌา พยาปาท และมิจฉาทิฏฐิ : อภิชฌา ปราบโดย พระอรหัตตมัคคะ
พยาปาท ปราบโดย พระอนาคามิมัคคะ
มิจฉาทิฏฐิ ปราบโดย พระโสตาปัตติมัคคะ
เมื่อฟังธรรมแล้ว ด้วยอานุภาพธรรม(ธมฺม)ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็จะเปลี่ยน มิจฉาทิฏฐิ เป็น สัมมาทิฏฐิ ฉะนั้น วิรตี ๓ คือ สัมมาวาจาเจตสิก สัมมากัมมันตเจตสิก และสัมมาอาชีวเจตสิก จะมาช่วยปราบ มิจฉาทิฏฐิ เพื่อไม่ให้ตก อปายภูมิ ๔
เวลาจะเป็น อริยมัคคะ มีองค์ ๘ จะเริ่มที่ สัมมาทิฏฐิ ก่อน เพื่อไปช่วยปราบ มิจฉาทิฏฐิ
มิจฉาทิฏฐิ คือ ความเป็นอยู่ในชีวิตประจำวันของเราทางโลกทั้งหมด ถ้าไม่รู้ธรรมของพระพุทธเจ้า ถ้าไม่มี พระสัมมาสัมพุทธเจ้า อุบัติขึ้นมาช่วยเวไนยสัตว์ทั้งหลายล้วนตกมหาตาปนนรกมหานรกขุม ๗ ทั้งสิ้น
การจะฟังธรรม และ สิกขาธรรมคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า ต้องมีพระวินัย ในการสังคายนาครั้งแรก ณ ถ้ำสัตตบรรณคูหา กรุงราชคฤห์ แคว้นมคธ จึงต้องยกพระวินัยขึ้นมาเป็นหลัก และบอกว่าถ้าพระพุทธศาสนาจะเสื่อม จะเสื่อมที่พระวินัยก่อน ไม่ใช่พระวินัยเสื่อม แต่เพราะคนไม่รักษาพระวินัย ไม่สนใจแม้แต่การสิกขาคำสอน ของพระพุทธเจ้า พระวินัย จึงเป็น อายุของพระพุทธศาสนา
เพื่อเป็นการสืบทอดและจรรโลงอายุพระพุทธศาสนา ให้ยืนยาว ตามกำลังความสามารถ เราท่านทั้งหลายจึงต้องช่วยกันสิกขาทำความรู้ในเรื่องของพระวินัย โดยเฉพาะ พระภิกขุ พระภิกขุนี สามเณร สามเณรี สิกขมานา ซึ่งเป็นธรรมทายาท (ธมฺมทายาท) ต้องรักษาพระธรรมวินัยให้ถ่องแท้ และฆราวาสก็จำเป็นต้องรู้ในเรื่องของพระวินัย เพื่อจะได้ประพฤติต่อ เพศบรรพชิต ได้ถูกต้องด้วย พุทธบริษัท ๔ ล้วนมีหน้าที่รักษาพระธรรมวินัยทุกท่าน
พระภิกขุสงฆ์มีบุญมาแต่อดีต ได้บวชในพระพุทธศาสนา เป็นสมณศากยบุตร ทำหน้าที่ธำรงรักษาพระพุทธศาสนา จะต้องทำให้ชนที่ยังไม่เลื่อมใส เกิดความเลื่อมใส และทำให้ชนที่เลื่อมใสแล้ว เกิดความเลื่อมใสยิ่งขึ้น...........การจะทำเช่นนั้นได้ ภิกขุสงฆ์ ต้อง รักษาพระวินัยซึ่งควบคุมความประพฤติทางกาย และ วาจา ซึ่งปรากฏให้เห็นภายนอก แต่ก็มาจากจิต(จิตฺต) ซึ่งอยู่ภายใน ซึ่งในเรื่องของปรมัตถธรรม(ปรมตฺถธมฺม)แล้ว กาย วจี จิต ล้วนเป็นเรื่องภายใน พระวินัยจึงเป็นตัวควบคุมความประพฤติ ของ พุทธบริษัท ๔ โดยเฉพาะ ภิกขุ ภิกขุนี สามเณร สามเณรี สิกขมานา ให้เป็นที่ชื่นชมของชนโดยทั่วไป
พระวินัย เป็น อายุของพระพุทธศาสนา ตราบใด ที่ยังมีผู้รักษาพระวินัย ตราบนั้น พระพุทธศาสนายังคงดำรงอยู่ได้
ในพรรษาแรกๆ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง โอวาทปาฏิโมกข์ เพื่อเป็นแนวทางความประพฤติของภิกขุทั้งหลาย เพราะยังไม่มีผู้ประพฤติผิดรุนแรง เนื่องจากส่วนมากเป็น อริยบุคคล ต่อเมื่อเกิดความเสียหายขึ้นในหมู่สงฆ์ พระพุทธองค์ทรงบัญญัติ สิกขาบท ประเภทลหุกาบัติ เช่น นิสสัคคียปาจิตตีย์ ปาจิตตีย์ ปาฏิเทสนียะ ทุกกฏ ทุพภาสิต ซึ่งสามารถแก้ได้ด้วย การปลงอาบัติ ต่อมาเมื่อมีผู้เข้ามาบวชมากขึ้น จึงมีผู้ทำผิดพระวินัยมากขึ้น เมื่อพรรษาที่๒๐ จึงทรงเริ่มบัญญัติ สิกขาบท ประเภทครุกาบัติ เช่น ปาราชิก สังฆาทิเสส ภิกขุทุกท่านที่ทำผิดพระวินัยเพื่อให้พระพุทธองค์ทรงบัญญัติสิกขาบท ล้วนเป็นผู้ที่อาสามาสร้างพระวินัยไว้ในพระพุทธศาสนา เป็น ต้นบัญญัติ เป็น ภิกขุอาทิกัมมิกะ ไม่ต้องอาบัติ
พุทธบริษัทในสมัยพุทธกาล เช่น : พระอัญญาโกณฑัญญเถระ พระมหาสารีบุตรเถระ พระมหาโมคคัลลานเถระ พระมหาอานนทเถระ พระสิริมหามายา พระอสีติมหาสาวก ฯลฯ ท่านเหล่านี้ล้วนมาเป็นบุคคลตัวอย่าง ทุกท่านอยู่ในวินัยมาแต่อดีต สะสมมานานจนถึงวันเวลาที่จะบรรลุธรรม ท่านได้เกิดในสมัยพุทธกาล ได้ฟังธรรมจากพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้ฟังในสมัยพุทธกาลล้วนเป็นติเหตุกบุคคล อุดมด้วยปัญญา เพราะไม่มีอกุสลเหตุ คือ โลภเหตุ โทสเหตุ โมหเหตุ มีแต่กุสลเหตุ คือ อโลภเหตุ อโทสเหตุ อโมหเหตุ ไม่ต้องมีการอธิบายธรรมมาก ท่านก็สามารถบรรลุธรรมได้ เฉียบพลัน แม้ได้ฟังเพียงอัตถธรรมเดียว
พระวินัยวางแบบอย่างไว้ให้เรา ถ้าเราอยากเป็นอย่างท่านทั้งหลาย ก็ดำเนินตามพระวินัย และต้องสะสมไปอีกอเนกอนันตชาติ เมื่อภูมิธรรมถึงพร้อมบริบูรณ์ สมบูรณ์แล้ว ก็จะได้มาบรรลุธรรม ในอนาคต ถ้าไม่ทำตามวินัย คือ อยู่นอกวินัย ท่านก็หมดโอกาสที่จะบรรลุธรรม คนที่เกิดมาทีหลัง ต้องยึดตามพระวินัย เดินตามบุคคลาธิฏฐาน เพราะพระวินัย และ พระสูตรเป็นเรื่องของพระอริยบุคคล เพื่อมาเป็นตัวอย่างในพระไตรปิฎก
พระวินัย เป็น พุทธบัญญัติ (พุทฺธปญฺตฺติ) แบ่งเป็น ๒ ส่วน คือ :
๑. อาทิพรหมจริยกาสิกขา หมายถึง หลักการสิกขาอบรมในฝ่ายบทบัญญัติ ข้อประพฤติอันเป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ ที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้เป็นพุทธอาณา เพื่อป้องกันความประพฤติเสียหาย และวางโทษแก่ภิกขุผู้ล่วงละเมิด โดยปรับอาบัติหนักบ้าง เบาบ้าง
พระภิกขุสวดทุกกึ่งเดือน เรียก ภิกขุปาฏิโมกข์ (ภิกฺขุปาฏิโมกฺข)
สำหรับภิกขุนี เรียก ภิกขุนีปาฏิโมกข์ (ภิกฺขุนีปาฏิโมกฺข)
๒. อภิสมาจาริกาสิกขา หมายถึง การสิกขาอบรมในฝ่ายขนบธรรมเนียมเกี่ยวกับมารยาท และ ความเป็นอยู่ที่ดีงามสำหรับเพื่อให้พระภิกขุมีคุณค่า มีความดีงาม เป็นที่น่าเลื่อมใสยิ่งขี้น ที่เรียกว่า สิกขาบทนอกพระปาฏิโมกข์
พระวินัยทั้ง อาทิพรหมจริยกาสิกขา และ อภิสมาจาริกาสิกขา ล้วนเป็นพุทธวินัย อริยวินัย ที่จะนำผู้ประพฤติปฏิบัติ เข้าสู่ มัคคะ ผละ นิพพานะ ทั้งสิ้น ในปลายพุทธกาล ก่อนที่พระผู้มีพระภาคเจ้าจะเสด็จดับขันธปรินิพพาน พระพุทธองค์มิได้ทรงตั้งภิกขุใดให้เป็นศาสดาแทนพระองค์ แต่ทรงตั้ง พระธรรมวินัย (ธมฺมวินย) ไว้เป็น ศาสดาแทนพระองค์
ดังคำตรัสกับพระมหาอานนทเถระว่า :
โย โว อานนฺท มยา ธมฺโม จ วินโย จ เทสิโต ปญฺตฺโต โส โว มมจฺจเยน สตฺถา.
ดูก่อนอานนท์(อานนฺท) ธรรม(ธมฺม) และ วินัย(วินย)ใด ที่ตถาคตแสดงแล้ว บัญญัติ(ปญฺตฺติ)แล้ว แก่ เธอทั้งหลาย
ธรรม และ วินัยนั้น จะเป็นศาสดาของเธอทั้งหลาย โดยกาลล่วงไป แห่ง ตถาคต
พระวินัยควรรู้ในเบื้องต้น
พระวินัย ไม่ว่าจะเป็น อาบัติเบา หรือ อาบัติหนัก ล้วนสำคัญยิ่งทุกประการ
๑. ภิกขุ กราบพระรัตนตรัย ๓ ครั้ง
การกราบพระรัตนตรัย ๓ ครั้ง โดยกล่าวว่า :
นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส(กราบครั้งที่ ๑)
นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส(กราบครั้งที่ ๒)
นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส(กราบครั้งที่ ๓)
การกราบครั้งที่ ๑ หมายถึง การกราบสมเด็จพระปัญญาธิกสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งสร้างพระปารมีโดยระลึกในใจทุกครั้งที่สร้างกุสลว่าจะเป็นพระพุทธเจ้า เป็นเวลา ๗ อสงไขย ทุกครั้งที่สร้างกุสลจะประกาศด้วยพระวาจาว่าปรารถนาพุทธภูมิ ๙ อสงไขย ครบแล้วเรียก อนิยตโพธิสัตต์ เมื่อได้รับพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่ง เป็น นิยตโพธิสัตต์ ต้องบำเพ็ญปารมีอีก ๔ อสงไขย กำไรแสนกัป รวมเป็น ๒๐ อสงไขย กำไรแสนกัป
การกราบครั้งที่ ๒ หมายถึง การกราบสมเด็จพระสัทธาธิกสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งสร้างพระปารมีโดยระลึกในใจทุกครั้งที่สร้างกุสลว่าจะเป็นพระพุทธเจ้า เป็นเวลา ๑๔ อสงไขย ทุกครั้งที่สร้างกุสลจะประกาศด้วยพระวาจาว่าปรารถนาพุทธภูมิ ๑๘ อสงไขย ครบแล้วเรียก อนิยตโพธิสัตต์ เมื่อได้รับพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่ง เป็น นิยตโพธิสัตต์ ต้องบำเพ็ญปารมีอีก ๘ อสงไขย กำไรแสนกัป รวมเป็น ๔๐ อสงไขย กำไรแสนกัป
การกราบครั้งที่ ๓ หมายถึง การกราบสมเด็จพระวิริยาธิกสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งสร้างพระปารมีโดยระลึกในใจทุกครั้งที่สร้างกุสลว่าจะเป็นพระพุทธเจ้า เป็นเวลา ๒๘ อสงไขย ทุกครั้งที่สร้างกุสลจะประกาศด้วยพระวาจาว่าปรารถนาพุทธภูมิ ๓๖ อสงไขย ครบแล้วเรียก อนิยตโพธิสัตต์ เมื่อได้รับพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่ง เป็น นิยตโพธิสัตต์ ต้องบำเพ็ญปารมีอีก ๑๖ อสงไขย กำไรแสนกัป รวมเป็น ๘๐ อสงไขย กำไรแสนกัป
๒. ภิกขุ ต้องนอบน้อมพระพุทธเจ้า
ภายในจิต(จิตฺต)ต้องนอบน้อมถึงพระพุทธเจ้า ภิกขุทั้งหลายจะได้ทาน จะได้ ปัจจัย ๔ คือ จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ คิลานเภสัช เพราะพระปารมีของพระพุทธองค์ ๒๖๐๐ มหาพุทธชยันตี นับจากวันตรัสรู้ ได้เป็นที่พึ่งพาอาศัยจนปัจจุบันนี้
เมื่อใดได้ยิน หันทะมะยัง พุทธัสสะ... นอบน้อมพระพุทธเจ้า พระภิกขุต้องยกมือประนมนอบน้อม ระลึกถึงพระคุณอันยิ่งของพระพุทธองค์
อัปปมาโน พุทโธ อัปปมาโน ธัมโม อัปปมาโน สังโฆ ระลึกถึงพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ระลึกถึงพระธรรม อันเกิดจากความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ระลึกถึงพระอริยสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ เราจึงจะได้บุญมาก
๓. การประนมมือเคารพพระรัตนตรัย
ต้องยกมือประนมครบ ๑๐ นิ้ว วางนิ้วให้จบกันอย่างเรียบร้อย ดูงดงาม ไม่ใช่ประนมมือเพียง ๘ นิ้ว (พับนิ้วหัวแม่มือเสีย ๒ นิ้ว) หรือ วางนิ้วเหลื่อมไม่บรรจบกัน ทำเหมือนไม่ตั้งใจเคารพ
๔. ภิกขุ ต้องมีผ้าไตรจีวร ครบ ๓ ผืน
ผ้าไตรจีวร(ติจีวร) เป็น ธงชัยของพระอรหันต์ เป็นสัญญลักษณ์ของความเป็น สมณเพศ ผู้ได้สวมธงชัยของพระอรหันต์ ถ้าได้สิกขาธรรมของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว จะไม่บรรลุธรรม หามีไม่
ภิกขุไปไหน ต้องมี ผ้า ๓ ผืน จึงจะเป็น พระภิกขุ คือ :
๑. สังฆาฏิ (ผ้าพาดบ่า)
๒.จีวร (อุตตราสงค์)
๓. สบง(อันตรวาสก)
ถ้าภิกขุ ไปไหนด้วย ผ้าเพียง ๒ ผืน ไม่มีผ้าสังฆาฏิ แสดงว่าวันนั้น ท่านเป็น สามเณร
๕. ภิกขุ นุ่งห่มจีวร ต้องเป็นปริมณฑล
การนุ่งห่มเป็นปริมณฑล คือ เบื้องล่างปิดเข่า เบื้องบนปิดสะดือ ไม่ห้อยไปข้างหน้าข้างหลัง ห่มทำมุมทั้งสองให้เสมอกัน ไม่ใช่ห่มแบบรุ่มร่าม ไม่เรียบร้อย
๖. ภิกขุ ไปไหนต้องนำบาตรไปด้วย
ภิกขุมีหน้าที่โปรดสัตว์ อันเป็น พุทธประเพณี ในยามเช้าพระผู้มีพระภาคเจ้าจะภิกขาจารโปรดเวไนยสัตว์ในคามนิคม บางครั้งเสด็จพระองค์เดียว บางครั้งมีหมู่ภิกขุสงฆ์ตามเสด็จ พระพุทธองค์จะทรงไตรจีวร และทรงถือบาตร การที่ภิกขุไปไหนมีบาตรไปด้วย ท่านจะไม่ขาดจากภัตตาหาร เพราะท่านสามารถบิณฑบาตได้ทุกวัน
๗. ภิกขุ ต้องมีผ้านิสีทนะ(ผ้ารองนั่ง)
ภิกขุอยู่โดยปราศจากผ้านิสีทนะเกิน ๔ เดือนไม่ได้
ภิกขุไปที่ไหน ถ้าไม่มีผ้ารองนั่ง คือ ผ้านิสีทนะ ไปด้วย ไปที่ไหนก็ผิดพระวินัย พระวินัยบัญญัติไม่ให้ภิกขุนั่งเสมอกับฆราวาส ภันเตนั่งภาวนาถ้าไม่มีผ้ารองนั่ง ก็ไม่ได้ผล พระวินัยคุมไว้หมด ต้องทำตามพระวินัย ภิกขุนั่งรถเมล์ต้องมีผ้ารองนั่ง ถ้าไม่มีก็ผิดพระวินัย คนให้บริการฟรีก็ได้บุญน้อย ภิกขุจำจิต ๑๒๑ เจตสิก ๕๒ รูป ๒๘ คนให้บริการก็จะได้บุญมากขึ้น
ถ้ามีผ้ารองนั่ง ภิกขุนั่งลงเป็นบุญ บุญจับทันทีถ้าถูกพระธรรมวินัย ภิกขุต้องศึกษา(สิกฺขา)ธรรมของพระพุทธเจ้า และอย่านึกว่าอ่านแล้วจะรู้ได้เอง ธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นธรรมคัมภีระ(ธมฺมคมฺภีร) ต้องอาศัยกัลยาณมิตรผู้รู้ช่วยชี้แนะ ซึ่งหาได้ยากมากในยุคนี้
๘. ภิกขุ ต้องตื่นทำวัตรให้มีกุสล แล้วนั่งเจริญธรรม
ภิกขุเจริญธรรมให้มีธรรมในจิต(จิตฺต) ต้องตื่นตี ๓ ต้องตื่นมาทำวัตร พระอริยเจ้าไปไหนจะเข้านิโรธ เข้าสมาบัติก่อน พระภิกขุถ้าไม่มีธรรมอะไรเลยในจิต เราไปทำบุญด้วย ๑๐ – ๒๐ ล้านบาทก็สูญเปล่า ถ้าเรายังไปบอกว่าเป็นพระดี เราจะได้เดียรถีย์กลับมา การที่เรารู้ข้อธรรม และกำจัดเสี้ยนหนามพระศาสนา เราจะได้บุญมาก ในสมัยก่อนพระมหากษัตริย์จับมาเฆี่ยนทั้งตระกูลเพราะบวชแบบอธรรม บวชแล้วไม่สิกขาธรรม เป็นการทำลายพระพุทธศาสนา
๙. ภิกขุ ต้องเจริญธรรมตลอดเวลา
ธรรม(ธมฺม)ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นธรรมที่เกิดจากการตรัสรู้ พาเวไนยสัตว์ออกจากสังสารวัฏฏะ ภิกขุไม่มีโอกาสฟุ้งซ่าน ต้องเจริญธรรมไปเรื่อย ภายในจิต(จิตฺต)ต้องมีธรรมของพระพุทธเจ้าตลอดเวลา ไม่เว้นว่างจากธรรม ถ้าไม่เจริญธรรม ก็ใคร่ครวญธรรม ไม่ว่าจะเป็น พระวินัย พระสูตร หรือ พระอภิธรรม จิต(จิตฺต)จะเป็นกุสลตลอดเวลา จิต(จิตฺต)จะพัฒนาไปเป็น ญาณสัมปยุตตจิต เพื่อพัฒนาไปสู่ ฌาน สมาธิ มัคค ผล และพระนิพพาน
ปัจจัย ๔ ไม่ว่า จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ คิลานเภสัช มีเจ้าภาพถวาย ด้วยหวังบุญจากภิกขุผู้เป็นธัมมทายาท เสนาสนะที่ภิกขุใช้สอยมีเจ้าภาพถวาย ถ้าเราเอาแต่จำวัด เจ้าภาพจะไม่ได้บุญ เจ้าภาพทำไว้เพื่อให้เจริญพระวินัย พระวินัยหย่อนยานไม่เจริญธรรมไม่ได้ เจ้าของทานหวังในบุญ ที่ได้ถวายทานไว้ในเขตบปุญญของพระพุทธศาสนา ภิกขุมีธรรมอยู่ในจิต(จิตฺต) เจ้าของทานจะได้บุญมาก มีอานิสงส์มาก
๑๐. ภิกขุ ควรจำพระไตรปิฏก
พระภิกขุในพระพุทธศาสนา พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงวางกฎเกณฑ์ให้มีข้าวฉันโดยไม่ต้องทำงานแบบฆราวาส ภิกขุต้องทำตนให้สมควรแก่ท่านที่สุด ควรจำพระไตรปิฎก จำธรรมที่มีในพระไตรปิฎก ถ้าภาวนาอะไรที่ผิด ที่ไม่มีในพระไตรปิฎก ตรวจดูแล้วไม่มีอะไรเป็นธรรมในจิต(จิตฺต) มีแต่สิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่เคยสอน พระธรรมวินัยตรวจดูว่ามีอะไรในจิต(จิตฺต)บ้าง มันอ้างว้างว่างเปล่า หากุสลไม่เจอเลย แล้วจะเป็นที่พึ่งของฆราวาสได้อย่างไร! เมืองไทยอาภัพ! จะหาภิกขุจดจำพระไตรปิฎกซึ่งเป็นศาสดาแทนองค์พระผู้มีพระภาคเจ้า หาไม่ได้สักรูปเดียว ไม่เหมือนประเทศพม่า โชคดีมหาศาล! มีภิกขุจำพระไตรปิฎกได้ถึง ๑๒ รูป
๑๑. ภิกขุ ต้องสิกขาธรรม ไม่ใช่สนใจวิชาทางโลก
ภิกขุอุปสมบทแล้ว ไม่ต้องประกอบอาชีพในการทำมาหากินใดๆเหมือนอย่างฆราวาส ฆราวาสหวังบุญจากภิกขุ ภิกขุมีเวลา มีหน้าที่สิกขาธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อให้จิตพัฒนาไปสู่ ฌาน มัคคะ ผละ นิพพานะ แล้วนำธรรมนั้นมาสั่งสอนฆราวาส เพื่อให้ฆราวาสบรรลุธรรมตามไปด้วย ไม่ใช่สนใจศึกษาวิชาทางโลก เพื่อไว้ประกอบอาชีพเมื่อลาสิกขาบท
๑๒. ภิกขุ ต้องปลงอาบัติทุกวัน
เพื่อเป็นการป้องกันความผิดที่เป็น อาบัติเบา(ลหุกาบัติ) ทั้งรู้ตัว และไม่รู้ตัว พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมีพระมหากรุณาธิคุณเป็นอย่างยิ่งกับภิกขุสาวกของพระพุทธองค์ ทรงประทาน การปลงอาบัติ(อาปตฺติ) แก่พุทธสาวก เพื่อปลดเปลื้องความผิดที่เป็น ลหุกาบัติ ได้แก่ ถุลลัจจัย ปาจิตตีย์ ปาฏิเทสนียะ ทุกกฏ และทุพภาสิต ยกเว้น ครุกาบัติ ซึ่งเป็นอาบัติหนัก ได้แก่ ปาราชิก และ สังฆาทิเสส เป็นการลงโทษทางวินัยสถานหนัก
อาบัติปาราชิก ต้องขาดจากการเป็นภิกขุ ไม่สามารถกลับมาอุปสมบทได้อีก อาบัติสังฆาทิเสส เป็นอาบัติหนักรองจากปาราชิก ต้องอาศัยสงฆ์ทุกขั้นตอน คือ ต้องขอ ปริวาสกรรม ขอ มานัต และต้องใช้ภิกขุจำนวน ๒๐ รูปในการ อัพภาน เพื่อกลับเข้าหมู่
การปลงอาบัติ เพื่อจะได้กลับเป็น ปกตัตตภิกขุ (ภิกขุปกติ) อานิสงส์ของการปลงอาบัติมีผลานุภาพมากทำให้เกิดความเบากาย เบาจิตฺต เหมาะแก่การประพฤติธรรม
๑๓. การภิกขาจาร เป็น พุทธประเพณี กิจในปุเรภัต ถึงเวลาภิกขาจาร พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงครองไตรจีวร ถือบาตร บางครั้งเสด็จพระองค์เดียว บางครั้งแวดล้อมไปด้วยภิกขุสงฆ์ เสด็จเข้าไปบิณฑบาตยังคาม หรือ นิคม เพื่อโปรดเวไนยสัตว์
เวลาภิกขุไปภิกขาจารบิณฑบาต พระธรรมวินัยตรวจตั้งแต่ปลายเท้าถึงศีรษะ ว่ามีอะไรให้คนที่ใส่บาตรบ้าง ถ้าภันเตมีแต่ความผิด มีแต่ต้องอาบัติ พระธัมมจักรฯก็สวดไม่ได้ พระสูตรใดๆก็สวดไม่ได้ ไม่มีธรรมของพระพุทธเจ้าในจิตฺต โยมที่ใส่จะได้อะไรจากภันเต ภิกขุไปบิณฑบาตต้องเตรียม กาย วาจา จิต(จิตฺต) ให้พร้อม ก่อนทำ กำลังทำ หลังทำ เจริญธรรมด้วยบทธรรมของพระพุทธเจ้า พระวินัยนี้ ตรวจสอบตลอด สบงเป็นคันนาไหม? มาพร้อมผ้า ๓ ผืนไหม?
๑๔. ขณะออกบิณฑบาต ภิกขุควรเดินเรียงลำดับตามพรรษา ถ้าทำได้
พรรษาแก่ เรียก ภันเต พรรษาอ่อน เรียก อาวุโส ไม่แชงแย่งกันเพื่อรับเอกลาภ
๑๕. ภิกขุ ต้องไม่ไปยืนบิณฑบาตอยู่กับที่ พร้อมถุงใส่ของใบโตๆ แลกเปลี่ยนอาหารกับแม่ค้าในลักษณะการค้า
ปัจจุบันนี้ เราจะเห็นภิกขุส่วนหนึ่งทำผิดพระวินัยในการบิณฑบาต ภิกขุเหล่านี้จะจับจองที่ยืนประจำ หน้าร้านขายอาหาร พร้อมมีถุงใส่ของใบโตๆ ยืนรับบิณฑบาตรด้วยโลภจิต รับอาหารจากฆราวาสที่ไม่ได้สิกขาพระธรรมวินัย แยกจำพวกอาหารออกเป็นพวกๆ รับอาหารบาตรแล้วบาตรเล่าไม่รู้จักพอ พระวินัยบัญญัติให้รับอาหารได้ไม่เกิน ๓ บาตร ภิกขุเหล่านี้ เมื่อได้อาหารมากพอกับความต้องการก็นำไปเปลี่ยนเป็น รูปิยะ(เงิน ทอง) กับแม่ค้าขายอาหาร เพื่อหมุนเวียนซื้อขายกันใหม่ ภิกขุเหล่านี้ชื่นชมกับตัวเลขในบัญชีที่ปรากฏเพิ่มขึ้นทุกวัน หารู้ไหมว่าตกนรกทุกวัน เราไม่ควรสนับสนุน อลัชชี เหล่านี้
๑๖. การบิณฑบาต ห้ามภิกขุแจ้งวัตถุประสงค์ให้โยมถวาย เงิน แทน อาหาร
ห้ามภิกขุ แสดงความปรารถนาด้วย เงิน หรือ ทอง ที่ทำงานด้วยอกุสลจิต เป็นโลภจิต มรณะแล้วไปเกิดเป็นเปรต
๑๗. ภิกขุ ควรแนะนำไม่ให้โยมเอาเงินใส่บาตร
บาตรมีไว้รับอาหารสุก ขนมสดเท่านั้น ถ้าโยมปรารถนาจะถวายเงิน ควรให้มอบไว้กับไวยาวัจจกร(ผู้ที่รับทำกิจของภิกขุ)
๑๘. เวลาบิณฑบาต ภิกขุเห็นโยมถวายสิ่งที่ไม่ถูกต้องตามพระวินัย ต้องชี้แจงแนะนำ
เช่น โยมถวายข้าวสารอาหารแห้ง เงินทอง ใส่ลงในบาตร ฯลฯ
ภิกขุต้องชี้แนะให้ถูกต้องตามพระธรรมวินัย ข้าวสารอาหารแห้งควรถวายไว้ในครัว ไม่ต้องอังคาสแด่ภิกขุ เพื่อจะได้เก็บไว้ฉันได้นานๆ
๑๙. ภิกขุ ต้องฉันในบาตร
ภิกขุฉันในบาตร เป็น พุทธประเพณี ในพระไตรปิฎก จะพบว่า ในเวลาฉันภัตตาหาร พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงละพระหัตถ์จากบาตร ภิกขุในพระพุทธศาสนาต้องฉันในบาตรเท่านั้น ถ้าภิกขุฉันด้วยจาน ชาม ช้อนส้อม ก็กลายเป็นเหมือนฆราวาส
๒๐. ห้ามภิกขุ รับบิณฑบาต เกิน ๓ บาตร
(โภชนวรรค กาณมาตา สิกขาบทที่ ๔)
ภิกขุรับบิณฑบาต เกิน ๓ บาตร ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ในโภชนวรรค กาณมาตา สิกขาบทที่ ๔ ในปัจจุบันเราจะเห็นภิกขุเดินกลับไปกลับมารับบิณฑบาตนับจำนวนบาตรไม่ถ้วน รับอาหารแล้วก็นำไปเก็บในถุงพลาสติกใบโตๆจนกว่าจะพอกับความต้องการ โดยไม่รู้ว่าผิดพระวินัย ต้องอาบัติเข้าแล้ว
๒๑. เกี่ยวกับ กาลิก ๔
กาลิก เนื่องด้วยกาล ขึ้นกับกาล ของอันจะกลืนกินให้ล่วงลำคอเข้าไป ซึ่งพระวินัยบัญญัติให้ภิกขุรับเก็บไว้ และฉันได้ภายในเวลาที่กำหนด จำแนกเป็น ๔ อย่าง :
๑. ยาวกาลิก หมายถึง อาหารทุกอย่าง เช่น ข้าวปลา เนื้อ ผลไม้ ขนมต่างๆ รวมทั้งไมโล โอวัลติน (เว้น กาลิก ๓ อย่างที่จะกล่าวต่อไป) ภิกขุรับอังคาส *แล้ว ฉันได้ตั้งแต่ อรุณขึ้น จนถึง เที่ยงตรง
*(ไม่ใช้คำว่า ประเคน ซึ่ง เป็นภาษาเขมร)
๒. ยามกาลิก หมายถึง อัฏฐปานะ คือ น้ำผลไม้ ๘ อย่าง รวมทั้งน้ำผลไม้สังเคราะห์ต่างๆ เว้นผลไม้ใหญ่ ๙ ชนิด คือ : ตาล มะพร้าว ขนุน สาเก น้ำเต้า ฟักเขียว แตงไท แตงโม และฟักทอง ภิกขุรับอังคาสแล้ว ฉันได้ชั่วยาม ภิกขุเก็บไว้ฉันได้ภายใน ๒๔ ชั่วโมง หมายถึง ยามสุดท้าย คือ หมดเขต เมื่ออรุณขึ้น
๓. สัตตาหกาลิก หมายถึง เภสัช ๕ คือ เนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง และ น้ำอ้อย (น้ำตาลทราย น้ำตาลปี๊บ น้ำตาลปึก ก็สงเคราะห์ในน้ำอ้อยด้วย) ภิกขุรับอังคาสแล้ว เก็บไว้ฉันได้ ๗ วัน หมดเขต เมื่ออรุณขึ้นของวันที่ ๘(๐๖.๐๐ น.) (ปัตตวรรค เภสัชชสิกขาบท สิกขาบทที่ ๓)
๔. ยาวชีวิก หมายถึง ยารักษาโรคต่างๆ ทั้งแผนโบราณ และ แผนปัจจุบัน ภิกขุรับอังคาสแล้ว เก็บไว้ฉันได้ตลอดชีวิต
กาลิกทั้ง๔นี้ ถ้าระคนปนกันในการอังคาส จะนับอายุตามกำหนดเวลา ของ กาลิก ที่มีอายุสั้น เช่น :
น้ำอัฏฐปานะ ระคนปนกับ อาหาร ภิกขุฉันได้เพียง เช้า ถึง เที่ยงวัน
น้ำผึ้ง ระคนปนกับ น้ำอัฏฐปานะ ภิกขุฉันได้เพียงวันคืนหนึ่งภายในก่อนอรุณขึ้น
ยารักษาโรค ระคนปนกับ น้ำผึ้ง หรือ น้ำอ้อย ภิกขุเก็บไว้ฉันได้เพียง ๗ วัน เป็นต้น
๒๒. ภิกขุ ฉันน้ำปานะ ที่ทำจาก ข้าว และ ถั่ว ไม่ได้
ข้าว ได้ชื่อว่า ปพฺพณฺณ ถั่ว ได้ชื่อว่า อปรณฺณ ทั้งสองอย่างในพระพุทธวจนะจัดไว้เป็น ยาวกาลิก ภิกขุ สามเณร ไม่ควรฉันในเวลาวิกาล (หลังเที่ยงวันไปแล้ว) แม้จะต้ม หรือ กรอง หรือ ทำเป็นเครื่องดื่มต่างๆ ก็ไม่ควรฉัน บางแห่งไม่รู้พระวินัยข้อนี้ นำถั่วมาบดปั่น นำถวายภิกขุ แล้วบอกว่าเป็นน้ำปานะ
๒๓. ภิกขุ ไม่ควรฉันน้ำผลไม้ใหญ่ ๙ชนิด
น้ำผลไม้ใหญ่ ๙ ชนิด ได้แก่ :
๑. น้ำลูกตาล ๖. น้ำฟักเขียว
๒. น้ำมะพร้าว ๗. น้ำแตงไท
๓. น้ำขนุน ๘. น้ำแตงโม
๔. น้ำสาเก ๙. น้ำฟักทอง
๕. น้ำเต้า
การที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพุทธบัญญัติ ห้ามนำผลไม้ลูกใหญ่มาทำเป็นน้ำปานะ ด้วยสิ่งของที่ใหญ่เป็นสิ่งของที่หนัก ที่ต้องแบกหาม ลูกตาล ลูกมะพร้าวเป็นผลไม้ต้นสูง ยากลำบากต่อการจัดหา พระพุทธองค์ไม่ทรงประสงค์ให้เป็นภาระต่อภิกขุ และทายกผู้ถวายทาน
๒๔. ภิกขุ ไม่มีสิทธิ์เลือกอาหาร
ภิกขุฉันอาหารเนื้อสัตว์… เวลาฉันแล้ว… ไปสร้างรูป ไปเป็นสัตว์ต่างๆ ภิกขุต้องอดทนจนกว่า อุบาสก อุบาสิกา จะรู้ว่าท่านไม่ฉันเนื้อโดยไม่ต้องบอก หรือในกลุ่มชนนั้น กินแต่มังสวิรัติ ท่านก็ต้องฉันมังสวิรัติ ภิกขุ คือ ผู้อยู่ง่าย บางองค์บอกว่า : อาตมาฉันมังสวิรัติ ถ้าบอกเช่นนี้เป็น กิเลส แสดงเจตนาเป็น อกุสลจิตฺต คนที่รับประทานมังสวิรัติจะเหม็นเนื้อ ใน พระวินัย ห้ามภิกขุฉันเนื้อ ๑๐ ชนิด :
๑. มนุษย์ ๖. หมี
๒. ช้าง ๗. ราชสีห์
๓. ม้า ๘. เสือดาว
๔. สุนัข ๙. เสือโคร่ง
๕. งู ๑๐. เสือเหลือง.
วิเสสลกฺขณมิตฺตา
ชมรมสิกขาธัมมะตามพระไตรปิฎก(ติปิฏกะ) ๘๔๐๐๐ พระธัมมขันธะ(กระทรวงอุตสาหกรรม)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น