คำถาม-คำตอบ (๔-๖)
(ตาม ธัมมคัมภีระ)
(คำตอบ) : นารีผล หรือ มักกะลีผล
เป็นผลไม้พิเศษสำหรับรุกขเทพเทวาและ *นักสิทธิ์พิทยาธร (ล้วนเป็นผู้อยู่ในกามาวจร) ต้นนารีผลขึ้นอยู่ในป่าหิมพานต์เพียงแห่งเดียว
เป็น ต้นไม้สูงใหญ่
มีกิ่งก้านสาขาแผ่ไพศาล
รอบโคนต้นสะอาดปราศจากปฏิกูลของสัตว์ต่างๆ
เป็นต้นไม้พิเศษที่ไม่มีใครทำอันตราย หรือ โค่นลงได้ เป็นต้นไม้ที่สร้างขึ้นเพื่อเทวดา
นักสิทธิ์
พิทยาธรได้บรรเทากิเลสจากกามตัณหา ไม่ให้เดือดร้อนแก่ผู้อื่น ต้นนารีผลจะมีลานกว้างรอบโคนต้น เมื่อครบ ๑๐๐ ปี ต้นนารีผลก็จะออกดอกส่งกลิ่นหอมตลบอบอวล
บรรดานักสิทธิ์ และพิทยาธรทั้งปวง
ก็จะเหาะมาคอยดู
กลีบดอกจะไม่ร่วงหล่นลงสู่พื้น
แต่จะม้วน แล้วค่อยๆ เป็นผลตูมงอกออกมาจากขั้วเป็นรูปนารี หรือ สตรีรูปร่างงดงาม
*
นักสิทธิ์
= ฤาษี, ผู้สำเร็จ
*
พิทยาธร = ผู้มีวิชากายสิทธิ์, เทพบุตรจำพวกหนึ่งมีฐานะต่ำกว่าเทวดา
มีหน้าที่บรรเลงดนตรีบนสวรรค์
*
จาก “นารีผล” รวบรวมโดย แสน วิชาชาญ
ถามว่า : นารีผลมีปฏิสนธิวิญญาณไหม?
ตอบว่า : นารีผลไม่มีปฏิสนธิวิญญาณ นารีผลจะเป็นอวิญญาณ เพราะขาดชีวิตรูป นารีผลจึงเป็นเพียงผลไม้ชนิดหนึ่งที่งามสง่า ผลใหญ่เท่าที่จะรองรับเทวดาได้ เป็นผลไม้ชนิดเดียวที่เทวดาต้องการ เทพเทวาที่ไม่มีคู่
จะมาจับจอง
เป็นต้นไม้ที่สนองเทวดา (เพราะอยู่ในกามาวจร) เทพบุตรที่เกิดมาเพราะกัมมที่สร้างไว้
ต้องไปหาสิ่งชดเชย คอยมาเป็น ๑๐๐๐ ปี ก็ไม่เจอ เทวนารี นั่นคือกัมมของเทวดา และกัมม คือ กุสลที่ จะได้รับการชดเชยทดแทนด้วยนารีผล
หรือ มักกะลีผลนั่นเอง.
สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ
***วิเสสลกฺขณมิตฺตา***
ชมรมสิกขาธัมมะตามพระไตรปิฎก(ติปิฏกะ) ๘๔๐๐๐ พระธัมมขันธะ
***วิเสสลกฺขณมิตฺตา***
ชมรมสิกขาธัมมะตามพระไตรปิฎก(ติปิฏกะ) ๘๔๐๐๐ พระธัมมขันธะ
......................................................................................
๕. (คำถาม) : กาลเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว กาลเวลาเกิดขึ้นได้อย่างไร?
๕. (คำถาม) : กาลเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว กาลเวลาเกิดขึ้นได้อย่างไร?
(คำตอบ) : กาลเวลาเกิดจากการเคลื่อนไหวของมหาภูตรูป
กาลเวลาเกิดจากการทำงานของ อุปาทะ ฐิติ ภังคะ (ที่เป็นอนุขณะ เคลื่อนไหวด้วยตัวของเขาเอง) ของมหาภูตรูป ซึ่งเกิดจากการทำงานของวิเสสลักขณะของปฐวี … อาโป … เตโช … วาโย ซึ่งทำงานกัน ก่อให้เกิดกาลเวลา
โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์ก็มาจากมหาภูตรูป ผลไม้สุก ต้นไม้แก่ ก็เกิดจากมหาภูตรูปทำงานกัน บอกกาลเวลา เราจะแก่ ผมจะหงอก ฟันจะหัก ก็บอกโดยกาลเวลาของมหาภูตรูป
คลื่นสั้น คลื่นยาว
ในมหาภูตรูปจากแสงอาทิตย์
เพราะมีสาดส่องไปทั่วทุกแห่งที่ คลื่นสั้นมากระทบสรรพสิ่ง เปลี่ยนเป็นคลื่นยาว ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
เราจะแก่ขึ้น
อาหารที่เรารับประทานเข้าไป ล้วน
ได้รับคลื่นสั้นจากแสงอาทิตย์ คนเราไม่อยากแก่ชรา พยายามหายา หาอาหารนานาชนิด
มาบรรเทาความแก่ ถึงแม้จะราคาแพงเท่าใดก็ยอมจ่าย สำหรับมนุษย์ จากเด็กผมดำ ไม่ช้าก็ผมขาว ผมหงอก
กลายเป็นคนแก่มีอายุ นั่นคือการทำงานที่มีกาลเวลาว่า ผมหงอกแล้ว แสดงว่าแก่แล้ว หนังเริ่มเหี่ยว ฟันหัก ทั้งๆ
ที่ยังรับประทานอาหารเหมือนเดิม หรือบำรุงร่างกายด้วยอาหารที่ดีกว่าเดิม แต่จะทำอย่างไรก็ไม่กลับคืนสู่สภาพเดิม นี่คือกาลเวลา ท่านผู้ใดรู้จักค้นคิดวิธีทำลายคลื่นสั้น คลื่นยาวได้ เชื่อแน่ว่าจะได้เป็นมหาเศรษฐีอย่างแน่นอน เพราะคนไม่อยากแก่.
***วิเสสลกฺขณมิตฺตา***
ชมรมสิกขาธัมมะตามพระไตรปิฎก(ติปิฏกะ) ๘๔๐๐๐ พระธัมมขันธะ
...........................................................................................................
๖. (คำถาม) : มักมีผู้สงสัย (ผู้จะไปอปายภูมิ) ว่า ทำไมพระมหาโพธิสัตต์ ประสูติกาลแล้ว ทรงย่างพระบาทเดินได้ ๗ ก้าว เดินได้อย่างไร?
(คำตอบ) : พระมหาโพธิสัตต์ประสูติกาลจากพระครรภ์พระสิริมหามายาเทวีพระราชมารดาแล้ว ทรงย่างพระบาทเดินได้ ๗ ก้าว สำหรับผู้ที่สงสัยในเรื่องนี้เพราะภูมิธัมมะยังไม่ถึง
สงสัยในพระผู้มีพระภาคเจ้า
ไม่รู้เรื่องพุทธวิสัย ฌานวิสัย ถ้าเป็นผู้สงสัยเช่นนี้
ก็ไม่ควรกราบพระพุทธองค์ ควรไปกราบสัตว์เดรัจฉาน เช่น ลูกเต่า เมื่อออกจากไข่ ก็จะเดินได้
และรีบวิ่งลงทะเลทันที
ลูกงูออกจากไข่ก็จะเลื้อยได้
ลูกวัว... ลูกควาย... ลูกกวาง... ลูกเก้ง ฯลฯ เมื่อออกจากท้องแม่ก็เดินได้
ลูกนกออกจากไข่ไม่นานก็บินได้ หนอนผีเสื้อจากหนอนกินใบไม้ ต่อมาเป็นดักแด้ แล้วออกมาเป็นตัวแก่บินได้ กลายเป็นผีเสื้อแสนสวยน่าอัศจรรย์ ขนาดสัตว์เป็นหนอนเดินไม่ได้ วันดีคืนดีสามารถบินบนท้องฟ้าได้ เราควรไปกราบสัตว์เหล่านี้ ใช่หรือไม่?
พระมหาโพธิสัตต์เป็นใคร? ก่อนจะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
ทรงเป็น “อนิยตโพธิสัตต์” ต้องนึกในใจว่าจะเป็นพระพุทธเจ้า
๗ อสงไขย
ประกาศว่าจะเป็นพระพุทธเจ้าอีก ๙
อสงไขย
หลังจากนั้นได้รับพุทธพยากรณ์
เป็น “นิยตโพธิสัตต์” ขณะที่ได้รับพุทธพยากรณ์จาก พระทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้า พระมหาโพธิสัตต์ทรงเป็น พระสุเมธดาบสโพธิสัตต์ มีอภิญญาฤทธิ์ สามารถเหาะเหิน เดิน อากาศได้แล้ว
ท่านเหาะมาในอากาศ เห็นผู้คนกำลังทำกุสล สร้างทางถวายเป็นพุทธดำเนินแก่พระทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้า
ท่านได้ร่วมสร้างกุสลนั้นด้วย
ทำไมท่านจึงเหาะได้
พระพุทธองค์ตรัสสอนไว้แล้วว่า ผู้ได้ปัญจมฌาน จนถึงอรูปฌาน ดำเนินจิตเข้าปาทกฌานวิถีแล้ว เข้าอภิญญาวิถีได้อภิญญาฤทธิ์ อภิญญาโลกียะ เรียก อภิญญารูปาวจรมหากุสล ได้
ฌาน ๕ (ปัญจมฌาน) ต่อด้วยอรูปฌาน ๔ ซึ่งมีองค์ธัมมะ : อุเปกขา และเอกัคคตา ท่านก็เหาะได้ เรียกว่าได้เป็น “วิปาก” ทำ จากรูปาวจรมหากุสลไปเป็น
รูปาวจรมหาวิปาก ฉะนั้นท่านเหาะเหินเดินอากาศได้มาตั้งแต่ได้รับพยากรณ์ครั้งแรก
และมิได้สูญหายไปไหน จะติดอยู่ในจิตตลอดไป เพราะในจุติจิต ๑๙ มีอุเปกขาสันตีรณจิต ๒ กามาวจรมหาวิปากจิต ๘ รูปาวจรมหาวิปากจิต ๕ อรูปาวจรมหาวิปากจิต ๔ หลังจากนั้นอีก ๔ อสงไขย กำไรแสนกัป
ทรงปรารถนาจะแสดงฤทธิ์เมื่อใด ก็จะแสดงได้ทันที พระโพธิสัตต์มีความอัศจรรย์มาตั้งแต่ทรงสถิตอยู่ใน
พระครรภ์พระมารดา ทรงนั่งเจริญภาวนาอยู่ภายในพระครรภ์ เมื่อเวลาประสูติกาลออกมา ทรงย่างพระบาททั้งสองออกมาก่อน
การทำได้ในระดับนี้ คือระดับของผู้ที่จะเป็นพระพุทธเจ้า และพระมารดาทรงประทับยืนให้ประสูติกาลภายใต้ต้นสาละ ณ สาลวโนทยาน เขตต่อกรุงกบิลพัศดุ์ และกรุงเทวทหะ ไม่เหมือนปุถุชนธรรมดาที่ต้องนอนคลอด
ระดับพระมหาโพธิสัตต์ไม่ต้องถึงพื้นก็ได้ จะเหาะก็ได้ทันที เมื่อ
ประสูติกาลออกมาท้าวสุทธาวาสพรหมอรหันต์รองรับด้วยตาข่ายทองคำ และ ท้าวมหาราชทั้ง
๔ รับต่อด้วยผ้าที่อ่อนนุ่ม จากนั้นมนุษย์รับด้วยผ้าเนื้อดี ๒ ชั้น
เมื่อประสูติกาลออกมาถึงพื้น ก็มีอภิญญาฤทธิ์ ทรงย่างพระบาทเดินได้ทันที ๗
ก้าวได้อย่างสบาย เพื่อประกาศความเป็นศาสดาเอกหนึ่งเดียวในโลก (โลก ๓ : กามโลก รูปโลก อรูปโลก) ทรงพุทธดำเนินด้วยอภิญญาฤทธิ์ที่เคยได้มา
ไม่เคยสูญหาย
จะก้าวเดินไปกี่ก้าวก็ได้ แม้ท่านกาฬเทวิลดาบสจะมากราบ
พระมหาโพธิสัตต์ขณะเป็นพระโอรส ยังเหาะไปอยู่บนเศียรท่านดาบสด้วยอภิญญาฤทธิ์ พระผู้มีพระภาคเจ้าสามารถกระทำได้ทุกอย่าง เพราะทรงอภิญญามาแต่อดีต.
สาธุ สาธุ สาธุ
อนุโมทามิ
***วิเสสลกฺขณมิตฺตา***
ชมรมสิกขาธัมมะตามพระไตรปิฎก(ติปิฏกะ) ๘๔๐๐๐พระธัมมขันธะ
..............................................................................................................
..............................................................................................................
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น