ทำไม?
จึงต้องจดจำ จิตตะ เจตสิกะ รูปะ
และ ลักขณาทิจตุกกะ
มนุษย์(มนุสฺส)ทุกคนในโลก ล้วนมีจิต(จิตฺต)เหมือนกันหมด เรียกว่า ปุถุชนจิต หมายถึง จิต ของ ปุถุชน ผู้มีกิเลสหนา หนาด้วยโลภะ หนาด้วยโทสะ หนาด้วยโมหะ เป็น โลกียจิต(โลกิยจิตฺต) จิตทางโลก ยังไม่พ้นโลก ยังไม่เป็น โลกุตตรจิต (โลกุตฺตรจิตฺต)
โลกียจิต(โลกียจิตฺต) ๘๑ ประกอบด้วย :
กามาวจรจิต(กามาวจรจิตฺต) ๕๔
กามาวจรจิต(กามาวจรจิตฺต) ๕๔
รูปาวจรจิต(รูปาวจรจิตฺต) ๑๕
อรูปาวจรจิต (อรูปาวจรจิตฺต) ๑๒
กามาวจรจิต(กามาวจรจิตฺต) ๕๔ ประกอบด้วย :
อกุสลจิต ๑๒
อกุสลจิต ๑๒
อเหตุกจิต ๑๘
กามาวจรโสภณจิต ๒๔
โดยเฉพาะ กามาวจรจิต ๕๔ เป็นจิตที่ยังข้องอยู่ในกาม ข้องอยู่ใน กามคุณ ๕ : รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส และ ธัมมารมณ์ ยังเวียนว่ายอยู่ใน ๑๑ ภูมิ คือ :
อปายภูมิ ๔
อปายภูมิ ๔
มนุสสภูมิ ๑
เทวภูมิ ๖
อปายภูมิ ๔ คือ : สัตว์นรก๑ เปรต๑ อสุรกาย๑ และ สัตว์เดรัจฉาน๑
จิตปุถุชน เรียกตามภาษาโลก ว่า จิตของเรา เป็นจิตที่เก็บกิจกรรมการกระทำต่างๆ ทางสังคมทางโลกไว้มากมายมหาศาล ในความเป็นคนของเรา จะมีแต่ ความน้อยใจ เสียใจ ไม่พอใจ โกรธ เกลียด อาฆาต พยาบาท จองเวร หงุดหงิด เครียด ฟุ้งซ่าน รำคาญใจ ฯลฯ อยู่ตลอดเวลา เราไม่รู้ว่าสิ่งเหล่านี้ เกิดขึ้นมาได้อย่างไร เรารู้แต่ว่า สิ่งเหล่านี้มีอยู่ในจิตของเรา ซึ่งเราไม่สามารถจะแก้ไขได้ด้วยตนเอง เราไม่มีปัญญาจะกระทำได้เอง ต้องพึ่งพาพระปารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น
จิตปุถุชน เรียกตามภาษาโลก ว่า จิตของเรา เป็นจิตที่เก็บกิจกรรมการกระทำต่างๆ ทางสังคมทางโลกไว้มากมายมหาศาล ในความเป็นคนของเรา จะมีแต่ ความน้อยใจ เสียใจ ไม่พอใจ โกรธ เกลียด อาฆาต พยาบาท จองเวร หงุดหงิด เครียด ฟุ้งซ่าน รำคาญใจ ฯลฯ อยู่ตลอดเวลา เราไม่รู้ว่าสิ่งเหล่านี้ เกิดขึ้นมาได้อย่างไร เรารู้แต่ว่า สิ่งเหล่านี้มีอยู่ในจิตของเรา ซึ่งเราไม่สามารถจะแก้ไขได้ด้วยตนเอง เราไม่มีปัญญาจะกระทำได้เอง ต้องพึ่งพาพระปารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น
เกิดมาเมื่อใด ทุกข์เมื่อนั้น! การเกิดมาเป็นสัตวะ ๓๑ ภูมิ (อปายภูมิ๔ มนุษย์๑ เทวดา๖ พรหม๑๖ อรูปพรหม๔) ล้วนต้องเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏฏะอันยาวนาน ไม่มีที่สิ้นสุด ล้วนอยู่ในความทุกข์ ทั้งสิ้น เป็นวิปาก เป็นผล ที่มองเห็นกันอยู่ แต่ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ จนต้องรอคอยการอุบัติขึ้นของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสรู้ ในวันเพ็ญ ๑๕ ค่ำ วิสาขมาส (เดือน ๖) พระพุทธองค์ทรงค้นพบ เหตุ ของ การเวียนว่ายตายเกิด ทรงประทานพุทธธัมมะคำสอน ๘๔,๐๐๐ พระธัมมขันธะ ไว้ให้เป็นที่พึ่งแก่เวไนยสัตว์ แม้ยามเมื่อพระพุทธองค์ทรงดับขันธปรินิพพานไปแล้ว ทรงมอบพระธัมมะคำสอนเป็น ศาสดา แทนพระองค์ ปัจจุบัน คือ พระไตรปิฎก(ติปิฏก) อันประกอบด้วย :
๑.พระวินัยปิฎก (วินยปิฏก) ๒๑,๐๐๐ พระธัมมขันธะ เป็นผล
๒.พระสุตตันตปิฎก (สุตฺตนฺตปิฏก) ๒๑,๐๐๐ พระธัมมขันธะ เป็นผล
๓.พระอภิธัมมปิฎก (อภิธมฺมปิฏก) ๔๒,๐๐๐ พระธัมมขันธะ เป็นเหตุ
พระอภิธัมมะ ซึ่งมี ปรมัตถธัมมะ อันประกอบด้วย เรื่องของ จิต เจตสิก รูป และ นิพพาน เป็น ธัมมคัมภีระ มีความละเอียด ลึกซึ้ง เป็นธัมมะที่เกิดจากความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าเท่านั้น ไม่มีผู้ใดสามารถรู้ได้เอง พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสร้างพระปารมี ๒๐ อสงไขย กำไรแสนกัป เป็น พระพุทธเจ้าปัญญาธิกะ เพื่อค้นหาเหตุที่สำคัญ ที่จะหนีออกจากทุกข์ หนีออกจากการเวียนว่ายตายเกิด เพื่อรื้อสัตว์ ขนสัตว์ ออกจากสังสารวัฏฏะ เหตุ นั้นคือ เรื่องของ จิตปรมัตถ เจตสิกปรมัตถ รูปปรมัตถ และ วิเสสลักขณะ หรือ ลักขณาทิจตุกกะ การจะดับเหตุได้ ต้องรู้เรื่องเหตุ จึงจะไปดับรูป ดับนาม สัตวะทั้งหลายมีรูป และ นาม ล้วนทำให้เกิด ทุกข์ เมื่อ ดับรูป ดับนามได้ ก็ไม่ต้องเกิดมาทุกข์อีก คือ นิพพาน
การเกิดมาของสัตวะใน ๓๑ ภูมิ : อปายภูมิ๔ มนุสสภูมิ๑ เทวตาภูมิ๖ พรหม๑๖ อรูปพรหม๔ ล้วนตกอยู่ในความทุกข์
ทุกข์ (ทุกฺข) คือ ทุกข์ ๑๖๐ ประกอบด้วย :
โลกียจิต ๘๑
เจตสิก ๕๑(เว้น โลภเจตสิก ๑)
รูป ๒๘
ทุกข์ ประกอบด้วย จิต เจตสิก รูป คือ ตราบใดที่ยังมีรูป มีนาม ล้วนต้องเวียนว่ายตายเกิด อยู่ในสังสารวัฏฏะอันยาวนาน ซึ่งตกอยู่ในความทุกข์ทั้งสิ้น
ฉะนั้น พรหม เทพเทวา มนุษย์ทั้งหลาย ต่างรอคอยการอุบัติขึ้นขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อนำธัมมะที่ได้ตรัสรู้นี้มาสั่งสอนเวไนยสัตว์ เพื่อรื้อสัตว์ ขนสัตว์ให้ออกจากทุกข์
จิต มีความหมายว่า สะสม การเรียนทางโลก เริ่มจาก ก. ไก่ ข. ไข่ เรียนไปเรียนมา สำเร็จปริญญาตรี ปริญญาโท ปริญญาเอก เช่นเดียวกัน ในทางธัมมะ การสิกขาธัมมะคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า ต้องเริ่มจากพื้นฐานเบื้องต้น แล้วทำความเข้าใจไปเป็นลำดับ จนกว่าจะเข้าใจธัมมะ รู้แจ้งธัมมะ บรรลุธัมมะ เป็น พระอริยปุคคล ไปตามลำดับ ได้ โลกุตตรมัคคปุคคล ๔ และ โลกุตตรผลปุคคล ๔ :
๑. โสตาปัตติมัคคปุคคล ๒. โสตาปัตติผลปุคคล
๓. สกทาคามิมัคคปุคคล ๔. สกทาคามิผลปุคคล
๕. อนาคามิมัคคปุคคล ๖. อนาคามิผลปุคคล
๗. อรหัตตมัคคปุคคล ๘. อรหัตตผลปุคคล
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงค้นพบ “เหตุ” ของการสิ้นสุดวัฏฏะ คือ จิต เจตสิก รูป จึงจะไปถึงซึ่ง นิพพาน การจะดับเหตุได้ ต้องรู้จักเหตุ ตามคำสอนของพระพุทธองค์
ดังนั้น การสิกขาธัมมะในเบื้องต้น จึงต้องจดจำ จิตตะ เจตสิกะ รูปะ และ ลักขณาทิจตุกกะ
ลักขณาทิจตุกกะ เป็นตัวทำงานของ จิตตะเจตสิกะ และ รูปะ ให้เกิด สามัญญลักขณะ คือ อนิจจลักขณะ ทุกขลักขณะ อนัตตลักขณะ โดยมีการทำงานของ อุปาทะ ฐิติ ภังคะ เกิด อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เราต้องเริ่มสิกขาว่า จิตมีกี่ประเภท มีการจำแนกอย่างไร เจตสิกมีกี่ประเภท มีการจำแนกอย่างไร รูปมีกี่ประเภท มีการจำแนกอย่างไร จิต เจตสิก และ รูป มีการทำงานกันด้วยวิเสสลักขณะอย่างไร เกิดผลเป็นอะไร เราจะรู้ และเกิดความเข้าใจได้ด้วยการสิกขาธัมมะของพระพุทธองค์ มีธัมมะของพระพุทธองค์เข้าไปคุ้มครองจิตปุถุชนของเรา ให้เป็น จิตอริยชน เพราะธัมมะของพระพุทธเจ้า เป็นมหากุสล นำจิตเราไปสู่ ฌาน สมาธิ และมีปัญญา เข้าไปตัดกิเลส และถึงซึ่ง โลกุตตระ ในที่สุด
ปริยัติ(ปริยตฺติ) คือ พระพุทธวจนะ ๘๔,๐๐๐ พระธัมมขันธะ
ปฏิบัติ(ปฏิปตฺติ) คือ ผลที่ได้ เป็น อริยปุคคล ๘
ปฏิเวธ(ปฏิเวธ) คือ พระนิพพาน
ตราบใดที่ยังมี ผู้สิกขาธัมมะ ตราบนั้นยังไม่สิ้น พระอรหันต์
สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ
รวบรวมเรียบเรียงโดย.........วิเสสลกฺขณมิตฺตา
ชมรมสิกขาธัมมะตามพระไตรปิฎก(ติปิฏกะ๗ ๘๔,๐๐๐พระธัมมขันธะ
.......................................................................................................................
.......................................................................................................................
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น