วันอังคารที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

๑.หิมะ หรือ ลูกเห็บเกิดได้อย่างไร?...๒. พระพุทธมนต์ คือ อะไร?...๓. ต้นไม้ มีชีวิตหรือไม่?


คำถามคำตอบ (๑-๓)
(ตาม ธัมมคัมภีระ)
                                                                                   
๑. (คำถาม) : ในประเทศเมืองหนาวมักมีหิมะ หรือ ลูกเห็บตกอยู่บ่อยๆ    หิมะ หรือ ลูกเห็บเกิดขึ้นได้อย่างไร?
    (คำตอบ) :  ตอบตามหลักธัมมะของพระผู้มีพระภาคเจ้า  ไม่ได้ตอบตามหลักการของวิทยาศาสตร์  พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงชี้ว่า อุตุ มาจาก สีตะ และอุณหะ ตามที่เข้าใจกันทั่วไปว่า สีตะเป็นความเย็น ความเย็นในระดับบนก้อนเมฆ   อาจจะประมาณ ๘๐◦C  หรือ  – ๙๐◦C อุตุชรูป  แปลว่า  มีการทำงานระหว่างมหาภูตรูป ซึ่งมี ปฐวีมหาภูตรูป... อาโปมหาภูตรูป... เตโชมหาภูตรูป... วาโยมหาภูตรูป  ทำงานกันด้วยวิเสสลักขณะ  แล้วในที่สุดกลายมาเป็นความเย็น  ขณะวาโยถูกกดระงับ  และมีการทำงานกันระหว่าง ปฐวี... อาโป...  เตโช  เมื่อมีอาโปมาก  อาโปคือความเย็น  อาโปมาทำงานกับวาโย  ซึ่งเป็น มิสสกะ  (เข้ากันได้)   เมื่อเข้ากันได้   เกิดลมพัด เกิดความเย็นขึ้น  ลม   คือ วาโยมหาภูตรูป  มีลักขณาทิจตุกกะ   ทำงานเกิดเป็นสีตะ เหมาะสมกันกับอุตุชรูป เกิดเป็นความเย็น  เมื่อเกิดความเย็น เขาจะรวมตัวกันเป็น เมฆ  เมฆมาจากมหาภูตรูป  ดังนี้ 

ผืนแผ่นน้ำที่ถูกแดดเผากลายเป็นไอลอยขึ้นไปบนอากาศ  แล้วถูกความเย็นดังกล่าว (อุณหภูมิติดลบเกิดการรวมตัวกลายเป็นก้อนเมฆ เมื่อเมฆรวมตัวกันมากขึ้น มีน้ำหนักมากขึ้นก็ลอยต่ำลงมา คลายความร้อนแฝงออกมา กลั่นตัวเป็นหยดน้ำ กลายเป็นฝนตกลงมา ในคำสอนของ พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อมี มิสสกะ (เข้ากันได้ก็ต้องมี ปฏิปักขะ (เข้ากันไม่ได้) ฉะนั้น   อุตุชรูปที่อยู่บนอากาศจะมีอุณหะ  เพราะอุตุชรูปลอยต่ำลง  วาโยที่๘๐◦C  อุตุชรูปจะพัดมารับ  เกิดขบวนการทำงานอย่างกระทันหัน  ทำให้ความเย็นที่ลอยอยู่เหนือก้อนเมฆลดต่ำลงมา  แล้วลอยสูงขึ้นมารับเม็ดฝน  เกิดการจับกลุ่มด้วยความเย็น ๘๐◦C  อุตุชรูปเกิดการรวมตัว  ถ้าความเย็นมาก การรวมตัวของเม็ดฝน    จะรวมตัวเป็น   หิมะ”   เท่านั้น    ถ้ากลายเป็นก้อนใหญ่ๆ  เรียกว่า ลูกเห็บ”   คือเป็น   สสัมภาระมหาภูตรูป”   รวมตัวกันทันที   แล้วตกลงมาถึงพื้นดินอย่างที่เราเรียกว่า ลูกเห็บตก
             
ในระดับความเย็นอย่างนี้    ถ้าลมที่พัดห่างโลก   (ห่างจากพื้นโลก-พื้นดิน)       อาจไม่เกิดในระยะ ๑,๐๐๐ เมตร (๑ กิโลเมตร) ถ้าความเย็นพัดผ่านอย่างนี้ จะเกิดลูกเห็บตก ลูกเห็บยังไม่ทันละลาย แต่ถ้าสูงกว่านี้จากลูกเห็บลูกใหญ่ๆ ละลายกลายมาเป็นลูกเห็บเล็กๆ หรือหลอมละลาย กลายเป็นลมหนาวเย็นโดยอุตุอีกเช่นกัน นี่คือเรื่องของมหาภูตรูป ตามคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า

สาธุ  สาธุ  สาธุ  อนุโมทามิ 
***วิเสสลกฺขณมิตฺตา***
ชมรมสิกขาธัมมะตามพระไตรปิฎก(ติปิฏกะ) ๘๔๐๐๐ พระธัมมขันธะ
............................................................................................................
๒.(คำถาม) : งานบุญมหากุสล จะมีการเจริญพระพุทธมนต์อยู่เสมอ    พระพุทธมนต์คืออะไร?
     (คำตอบ) : พระพุทธมนต์  คือ การนำพุทธธัมมะะคำสอน ๘๔,๐๐๐ พระธัมมขันธะ มาเจริญ (มาสวด) คำว่าสวดมนต์  คือการอ่านพระไตรปิฎก(ติปิฏกการที่พระสวดมนต์ในพิธีการต่างๆ  การสวดมนต์เป็นพุทธประเพณี  คือ เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าไปฉันภัตตกิจ ณ ที่ใด เมื่อฉันภัตตาหารเสร็จแล้ว  จะทรงแสดงธัมมะ พระธัมมะที่พระพุทธองค์ทรงแสดงออกมาเป็นพระสูตร(สุตฺตนฺต)ต่างๆ     รวมพระวินัย(วินย) และ พระอภิธัมมะ(อภิธมฺม๘๔,๐๐๐ พระธัมมขันธะ  ไม่ว่าที่ใด ถ้าวัตรใด   แสดงธัมมะ เรื่องพระวินัย  พระสูตร และพระอภิธัมมะ นั่นคือ  การแสดงธัมมะ”    พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงยืมคำว่า  มนตะ หรือ  มนตระ”  ของพราหมณ์ ของเดียรถีย์มาใช้  อาจเป็นภาษามคธ  ภาษาสันสกฤต  แต่ มนต์ของพระพุทธเจ้า เท่ากับ ๘๔,๐๐๐ พระธัมมขันธะ   ไม่ได้แปลว่า  การสรรเสริญ  การบูชา  การสวดอย่างของพราหมณ์หรือ ลัทธินอกศาสนาอื่นๆ
             
ฉะนั้น เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า ไม่ว่าจะยังทรงพระชนม์อยู่ หรือทรงเสด็จดับขันธปรินิพพานไปแล้วก็ตาม พระภิกขุสงฆ์ เมื่อได้รับอาราธนาไปฉันภัตตกิจ ณ ที่ใดก็ตาม  จะนำธัมมะที่ได้รับจากพระผู้มีพระภาคเจ้ามาเจริญ    เรียกว่า  สวดมนต์  คือ  เป็นพระธัมมเทสนา นำธัมมะมาสวด มาเจริญ มาสิกขาในพระไตรปิฎก เชิญมาสวดมนต์กันทุกท่าน  คือ เชิญมาเจริญธัมมะ  มาสิกขาพระธัมมเทสนา หรือ พระธัมมะคำสอน ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ดังนั้นเวลาพระภิกขุสงฆ์รับกิจนิมนต์ไปตามละแวกบ้าน  พระภิกขุสงฆ์จึงนำธัมมะมาเจริญพร้อมกัน  นั่นคือนำธัมมะของพระพุทธองค์จริงๆ มาเจริญ มาสาธยายธัมมะ จะเปิดหนังสือดูก็ได้ ไม่เปิดหนังสือดูก็ได้ ใครเจริญได้ยิ่งประเสริฐ แปลว่าได้รักษาพระพุทธวจนะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไว้ เป็นการ ปาละ รักษาไว้ในจิต(จิตฺต)   เป็นการเปิดดูจากจิตตะ  การไปสวดมนต์”   คำว่า  “สวด”  คือ  “เทสนา”   คำว่ามนต์”  คือพระไตรปิฎก เทสนาธัมมะที่มีในพระไตรปิฎก จึงเรียกว่า สวดพระพุทธมนต์”    บ้านนั้นจึงจะมีสิริมงคล  แปลว่า     บ้านนั้นมีบุญทั้งสิ้น    ถ้าได้เจริญธัมมะถูกต้อง   เช่น พระสูตรต่างๆ  อาทิ    พระธัมมจักกัปปวัตตนสุตตะ  อนัตตลักขณสุตตะ  อาทิตตปริยายสุตตะ  ทีฆนขสุตตะ  มหาสติปัฏฐานสุตตะ หรือเจริญจิตตะ เจตสิก รูปะ ลักขณาทิจตุกกะ เป็นต้น ฯลฯ  ซึ่งเป็นธัมมะตามคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า  เป็นการจรรโลงรักษาไว้ซึ่งพระพุทธศาสนาให้สถาวรสืบไป

สาธุ  สาธุ  สาธุ  อนุโมทามิ
***วิเสสลกฺขณมิตฺตา***
ชมรมสิกขาธัมมะตามพระไตรปิฎก(ติปิฏกะ) ๘๔๐๐๐ พระธัมมขันธะ
............................................................................................................
. (คำถาม) : ต้นไม้มีชีวิตหรือไม่  ใครตอบได้บ้าง?
     (คำตอบ) : คำถามใดๆ  ในโลกที่ไม่มีผู้ใดตอบได้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตอบได้ทุกคำถาม  หลักธัมมะในพระพุทธศาสนาตอบได้ทุกเรื่อง  พระพุทธองค์ตรัสว่า : ชีวสญฺโน หิโมฆปุริสา     มนุสฺสา   รุกฺขสมึ  แปลว่า  “โมฆบุรุษทั้งหลาย  มนุษย์ทั้งหลาย  มีความสำคัญ ว่า  ต้นไม้มีชีวิต

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า  “สิ่งมีชีวิตทั้งหลาย   หรือสัตวะจะเกิดได้      ต้องประกอบด้วยองค์ ๔   คือ กัมมชรูป ๑ ...  จิตตชรูป ๑ ...  อุตุชรูป ๑...   อาหารชรูป ๑ คือ มี กัมมะ จิตตะ อุตุ อาหารต้นไม้ เป็นมหาภูตรูปที่เกิดจากองค์ประกอบ ๒ ประการ คือ :  อุตุ และ อาหาร แต่ขาด กัมมะ และ จิตตะ    ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่ทำให้มีชีวิต  ต้นไม้มีแต่มหาภูตรูปแต่ไม่มีชีวิต  เพราะไม่มีจิตตะ    ไม่มีเจตสิกะ  ไม่มีกัมมะ แต่ทางโลกกล่าวว่า ต้นไม้มีชีวิต เพราะมีการเคลื่อนไหวได้  มีการเจริญเติบโตได้  เช่น  ต้นไมยราพ  ถ้าเราไปสัมผัสถูกต้องเข้าจะหุบใบทันที   แต่ การเคลื่อนไหวของต้นไม้มาจาก อุตุ และ อาหาร เท่านั้น เช่นเดียวกันในเรื่องของการเจริญเติบโตของต้นไม้ ก็มาจากอุตุและอาหาร  ต้นไม้ไม่มีจิตตะ ไม่มีเจตสิกะ ไม่มีชีวิตเจตสิกะ ไม่มีชีวิตรูปะ ไม่มีกัมมะ  แต่มี อุตุและอาหาร  ยังขาดองค์ประกอบที่จะทำให้มีชีวิต 

 ต้นไม้เกิดจากการรวมตัวของมหาภูตรูป  คือ  ปฐวีมหาภูตรูป... อาโปมหาภูตรูป... เตโชมหาภูตรูป... และวาโยมหาภูตรูป ในภาษาธัมมะ สิ่งใดก็ตาม ถ้ามีจิตตะ เจตสิกะ เรียกว่า  มีชีวิต ในหลักธัมมะจะอธิบายเรื่องชีวิต  ต้องรู้เรื่อง จิตตะ เจตสิกะ รูปะ รูปมีชีวิตเพราะมีชีวิตนาม มีชีวิตรูป ที่เป็นอย่างนี้เพราะชีวิตนาม (ชีวิตเจตสิก) กับชีวิตรูปเข้ากัน อยู่ตรงนี้ที่เข้ากันได้  ทำให้มีจิตตะ  เจตสิกะ    ถ้าไม่มีตัวเชื่อมระหว่างชีวิตรูปกับชีวิตเจตสิก  สิ่งนั้นจะไม่มีชีวิต   เราเรียกต้นไม้ว่า  พีชพันธุ์  พืชพันธุ์
           
เมื่อมาพูดถึงรูป  ทุกอย่างเป็นรูปหมด  รูปมีชีวิต หรือ รูปไม่มีชีวิต  รูปไม่มีชีวิต เช่น ภูเขา แม่น้ำ ลำธาร ต้นไม้ ตึก  บ้านเรือน ฯลฯ เรียกว่า  เป็น  มหาภูตรูป หรือ เป็น อวินิพโภครูป ๘  ที่มี ปฐวีมหาภูตรูป อาโปมหาภูตรูป  เตโชมหาภูตรูป  วาโยมหาภูตรูป รูปวิสยรูป คันธวิสยรูป รสวิสยรูป และ อาหารรูป   มีมากหรือน้อย  การรวมตัวของมหาภูตรูปเป็นสสัมภาระ  ไม่ใช่เป็นตัวของมหาภูตรูป  แต่เป็นการรวมตัวกัน  แยกจากกันไม่ได้  ถ้าเป็นต้นไม้   ขอถามว่า :
           
            ต้นไม้มีมหาภูตรูปไหม? …… ต้นไม้มีมหาภูตรูป ๔
            ต้นไม้มีปสาทรูปไหม? ……    ต้นไม้ไม่มีปสาทรูป ๕  คือ ไม่มีจักขุปสาทรูป โสตปสาทรูป
                                                            ฆานปสาทรูป  ชิวหาปสาทรูป   กายปสาทรูป
            ต้นไม้มีวิสยรูปไหม?  ……     ต้นไม้มีวิสยรูป ๔ ต้นไม้มีนานาพันธุ์ มีรูป มีเสียง มีกลิ่น มีรส มี
ลักษณะแล้วแต่จะมีลักษณะอย่างไร คือมี รูปวิสยรูป  
สัททวิสยรูป   คันธวิสยรูป และรสวิสยรูป
            ต้นไม้มีภาวรูปไหม?  …… ต้นไม้ไม่มีภาวรูป   คือไม่มีอิตถีภาวรูป และไม่มีปุริสสภาว รูป   
                                                       มี แต่ว่าถ้าปลูกมะม่วง    ก็จะออกเป็น ลูกมะม่วง ไม่มีเพศ
ต้นไม้มีหทยรูปไหม?……       ต้นไม้ไม่มีหทยรูป (ที่อาศัยของจิตต)
             ต้นไม้ไม่มี หทยัง (หัวใจ)
            ต้นไม้มีชีวิตรูปไหม? ……      ต้นไม้ไม่มีชีวิตรูป
            ต้นไม้มีอาหารรูปไหม? ……   ต้นไม้มีอาหารรูป  ต้นไม้ต้องการอาหาร

            ต้นไม้มีปริจเฉทรูปไหม?……ต้นไม้มีปริจเฉทรูป ต้นไม้มีช่องว่าง ตลอดลำต้น
           ต้นไม้มีวิญญัตติรูปไหม? ……ต้นไม้ไม่มีวิญญัตติรูป (ซึ่งต้องมีการสั่งงานจากจิต)
คือ กายวิญญัตติรูป และ วจีวิญญัตติรูป

            ต้นไม้มีวิการรูปไหม? ……     ต้นไม้ไม่มีวิการรูป คือ ต้นไม้ไม่มี รูปัสสลหุตา  รูปัสสมุทุตา
  รูปัสสกัมมัญญตา

            ต้นไม้มีลักขณรูปไหม? ……   ต้นไม้มีลักขณรูปคือ ต้นไม้มี รูปัสสอุจจโป  รูปัสสสันตติ

                                                            รูปัสสชรตา     รูปัสสอนิจจตา
            
 ต้นไม้มีความต้องการเพียงไม่กี่อย่างที่เหมือนสัตวะ สัตวะมี จิต  เจตสิก  สร้างรูป  สัตวะ จึงต้องเวียนว่ายในสังสารวัฏฎะ  ๓๑   ภูมิ  คือ  อรูปพรหม ๔...   พรหม ๑๖...   เทวดา ๖...   มนุษย์ ๑...  และอปายภูมิ ๔    แต่ต้นไม้ไม่มีการเวียนว่ายตายเกิด  ต้นไม้ไม่มีโลภมูลจิต ๘ ไม่มีโทสมูลจิต ๒ ไม่มีโมหมูลจิต ๒  ต้นไม้ไม่ด่าว่าคนที่มาตัดไม้ทำลายป่า  ต้นไม้ไม่วิ่งหนีเมื่อเวลาน้ำท่วม หรือมีไฟป่าลุกลาม เพราะต้นไม้ไม่มีชีวิต เพราะต้นไม้ ไม่มีจิตตะ  ไม่มีเจตสิก และต้นไม้ไม่ได้เกิดจาก กัมมะ.

 สาธุ  สาธุ  สาธุ  อนุโมทามิ
***วิเสสลกฺขณมิตฺตา***
ชมรมสิกขาธัมมะตามพระไตรปิฎก(ติปิฏกะ) ๘๔๐๐๐ พระธัมมขันธะ
............................................................................................................

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น