วันอาทิตย์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ข้อควรรู้ ประกอบการสิกขาธัมมะ ในพระพุทธศาสนา

ข้อควรรู้ ประกอบการสิกขาธัมมะ
ในพระพุทธศาสนา
                                                             
          ในวารกาล ก่อนที่เจ้าชายสิทธัตถะพระโพธิสัตต์  จะตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า     พระองค์ทรงศึกษาและทรงภารกิจต่างๆ ที่ประกอบด้วยโลภะ โทสะ  โมหะ  ยังไม่มีหลักธัมมะ(ธมฺม) ยังเป็นอวิชชาทั้งสิ้น  กล่าวคือ  ตั้งแต่พระองค์ประสูติจนถึงเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์(มหาภิเนสฺกรมณ) ทรงอยู่ในกามสุขัลลิกานุโยค (กามสุขลฺลิกานุโยคแม้เมื่อทรงผนวช จนถึงก่อนตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า (สมฺมาสมฺพุทฺธ) ก็ทรงบำเพ็ญด้านอัตตกิลมถานุโยค(อตฺตกิลมถานุโยค)ที่สำนักท่านอาฬารดาบสรามบุตร และ ท่านอุทกดาบสกาลามโคตร   ตลอดถึงการบำเพ็ญทุกรกิริยาด้วยพระองค์เอง  แม้ว่าพระองค์จะทรงทรมานพระวรกายอย่างยิ่งยวดด้วยวิธีการใดๆ   ก็ไม่ทำให้พระองค์ทรงพ้นทุกข์   หรือทรงพบพระสัทธัมมะ(สทฺธมฺมนั่นคือ   ตลอดระยะเวลาก่อนตรัสรู้พระองค์ทรงทราบแต่สิ่งที่เป็นผล(วิปากที่ปรากฏให้เห็นแล้วเท่านั้น   แต่ยังไม่ทรงทราบว่าสาเหตุเกิดจากอะไร  และจะทำอย่างไรจึงจะพ้นทุกข์  สิ้นอาสวะ  บรรลุ  มัคคะ  ผละ  นิพพานะได้  จนกระทั่งวันเพ็ญขึ้น ๑๕ ค่ำ วิสาขมาส (เดือน ๖)  พระพุทธองค์ทรงค้นพบสัจจธัมมะ(สจฺจธมฺม)ตามลำดับ
            
ใน ปฐมยาม   พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบรรลุ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ(ปุพฺเพนิวาสานุสฺสติาณ) ทรงระลึกชาติได้ว่าในอดีตชาติพระองค์เคยเกิดเป็นอะไรอยู่ที่ไหนมีโคตรว่าอย่างไรเป็นต้น  และทรงทราบว่าสัตวะทั้งหลายจะจุติและปฏิสนธิในภพภูมิใดใน ๓๑  ภูมิ (๓๑ภูมิ คือ อปายภูมิ๔ มนุษย์๑ เทวดา๖ พรหม๑๖ อรูปพรหม๔)   ขึ้นอยู่กับการนำไปของ  จิต(จิตฺต๑๙  ประกอบด้วย :
อุเปกฺขาสนฺตีรณ  อกุสลวิปากจิตฺต               ๑   
อุเปกฺขาสนฺตีรณ  อเหตุกกุสลวิปากจิตฺต      ๑   
กามาวจรมหาวิปากจิตฺต                               ๘     
รูปาวจรมหาวิปากจิตฺต                                  ๕     
อรูปาวจรมหาวิปากจิตฺต                               ๔
            ใน มัชฌิมยาม พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบรรลุ จุตูปปาตญาณ (จุตูปปาตาณ)      ทรงทราบว่า สัตวะจุติและปฏิสนธิเวียนว่ายใน ๓๑ ภูมิ   ด้วยกุสลกัมม(กุสลกมฺม)     และอกุสลกัมม(อกุสลกมฺม) ที่สะสมไว้ในภวังคจิต (ภวงฺคจิตฺต) ๑๙  แต่อย่างไรก็ตามสัจจธัมม(สจฺจธมฺม)ทั้งสองอย่างข้างต้น  ยังเป็นเพียงการทราบถึงผล (วิปากที่ยังเป็น อวิชชา อยู่
             
จนกระทั่งใน ปัจฉิมยาม  พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบรรลุ อาสวักขยญาณ (อาสวกฺขยาณ) คือ ทรงทราบถึงทางที่จะทำให้สิ้นอาสวะ  หรือเครื่องร้อยรัดที่เป็นอวิชชา   พระองค์ทรงเห็น อริยสัจจ (อริยสจฺจ) ทรงเห็น ปฏิจจสมุปปาท(ปฏิจฺจสมุปฺปาท) ๑๒  เกิด ปัจจเวกขณญาณ(ปจฺจเวกฺขณาณทรง ขจัดอวิชชา(อวิชฺชา) แล้ว  และ ทรงตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า(อรหนฺตสมฺมาสมฺพุทฺธ) นั่นคือ พระพุทธองค์ทรงมองเห็นเหตุปัจจัย ซึ่งเป็น ปรมัตถธัมม(ปรมตฺถธมฺม)แล้ว  ทรงค้นพบ วิชชา(วิชฺชา)  ซึ่งเป็น มัชฌิมาปฏิปทา(มชฺฌิมาปฏิปทา)  ความเป็น พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้บังเกิดขึ้นแล้ว
            
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง พระธัมมจักกัปปวัตตนสูตร(ธมฺมจกฺกปฺปวตฺตนสุตฺต)  พระธัมมเทสนากัณฑ์แรก โปรดพระปัญจวัคคีย์ ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เมืองพาราณสี  เพื่อประกาศให้เวไนยสัตวะทั้ง ๓๑  ภูมิทราบว่า ธัมมะ(ธมฺม)ที่พระพุทธองค์จะทรงแสดงนับแต่นี้เป็นต้นไป   ล้วนเป็นมัชฌิมาปฏิปทาทั้งสิ้น พระพุทธธัมมะคำสอน ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงแสดงโปรด พุทธบริษัท ๔  (ภิกขุ   ภิกขุนี  อุปาสก  อุปาสิกา   ตลอดจน สามเณร  สามเณรี สิกขมานา และปัณฑรังคบรรพชิตตลอดระยะเวลา ๔๕ พระพรรษานั้น เป็นพระพุทธวจนะ(พุทฺธวจน) หรือ พระธัมมวินัย(ธมฺมวินย๘๔,๐๐๐  พระธัมมขันธะ(ธมฺมขนฺธแยกออกเป็น ๓  หมวดใหญ่   รวมเรียกว่า พระไตรปิฎก (ติปิฏก)ประกอบด้วย :
             
พระวินัยปิฎก(วินยปิฏก)     เป็นการประมวลพระพุทธวจนะ  หมวดพระวินัย   ๒๑,๐๐๐   พระธัมมขันธะ    ว่าด้วยกฎระเบียบ  ข้อห้าม หรือ วินัยของพระภิกขุและพระภิกขุนี ว่าด้วยพระพุทธประวัติ  ประวัติการทำสังคายนา  และพิธีกรรมทางพระวินัยที่สงฆ์จะต้องประพฤติ  เป็นบทธัมมะที่ พระภิกขุ  พระภิกขุนี   อุปาสก  และอุปาสิกา  จำเป็นต้องสิกขาให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่า อะไรบ้างที่พระพุทธองค์ทรงบัญญัติ(ปญฺตฺติ)ห้าม และอะไรที่ทรงอนุญาต จะได้ประพฤติให้ถูกต้องตามพุทธบัญญัติ(พุทธปญฺตฺติ)  เพื่อเป็นการดำรงรักษาไว้ซึ่งพระสงฆ์สาวกในพระพุทธศาสนา  มิให้ผิดเพี้ยนตามอัตโนมัติ ตามยุคสมัย จนเป็นเหตุให้พระพุทธศาสนาสูญสิ้น  นำไปสู่การปิดกั้นหนทางพ้นทุกข์ (มัคคะ  ผละ  และ พระนิพพานะที่จะพึงมีแก่เวไนยสัตวะทั้งหลายในที่สุด 

 . พระสุตตันตปิฎก(สุตฺตนฺตปิฏก)    เป็นการประมวลพระพุทธวจนะ  หมวดพระสุตตันตะ  ๒๑,๐๐๐   พระธัมมขันธ   ว่าด้วยพระธัมมเทสนาที่เป็น บุคคลาธิษฐาน(ปุคฺคลาธิฏาน)  ประมวลเรื่องราวของบุคคลต่างๆ เป็นเรื่องๆ  เป็นข้อๆ   ประวัติพุทธสาวก และเรื่องชาดก (ชาตก)
             
. พระอภิธัมมปิฎก(อภิธมฺมปิฏก)  เป็นการประมวลพระพุทธวจนะ หมวดพระอภิธัมมะ ๔๒,๐๐๐ พระธัมมขันธะ  ที่เป็นหลักธัมมะล้วนๆ  เป็นเรื่องของ ปรมัตถธัมมะ ได้แก่  จิตตะ ๑๒๑  เจตสิกะ ๕๒     รูปะ ๒๘  และนิพพานะ ๑    ซึ่งถ้าเวไนยสัตวะทั้งหลาย  ไม่ได้สะสมความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องในพระอภิธัมมะ  ๔๒,๐๐๐  พระธัมมขันธะ   จะไม่มีทางเข้าใจอย่างถ่องแท้ในพระวินัยปิฎก ๒๑,๐๐๐  พระธัมมขันธะ   และพระสุตตันตปิฎก   ๒๑,๐๐๐ พระธัมมขันธะ     และจะนำไปสู่  อัตโนมัติ”   คือคิดเอาเอง  หรือ ลงความเห็นด้วยการเดา  ทำให้เกิดธัมมปฏิรูป  จนเป็นเหตุให้พระธัมมะคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าถูกปิดกั้น   และเลือนหายไปในที่สุด ประโยชน์ที่จะพึงบังเกิดขึ้นแก่เวไนยสัตวะทั้งหลายก็เป็นอันหมดสิ้นไปด้วย
            
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงพระอภิธัมมะ ๔๒,๐๐๐  พระธัมมขันธะ   หรือพระอภิธัมมะ ๗ คัมภีร์ เป็นครั้งแรก  (ในพรรษาที่ ๗  หลังจากตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว)   ดังว่า กุสลา  ธมฺมา  อกุสลา  ธมฺมา  อพฺยากตา  ธมฺมา  เป็นต้น    ตาวติงสาเทวโลกตลอดเวลา ๓ เดือน(ไตรมาส)  (ตั้งแต่วันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๘  ถึง ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑เพื่อโปรดพระพุทธมารดา  ซึ่งขณะนั้นปฏิสนธิ เป็นเทพบุตรอยู่บนสวรรค์ชั้นตุสิตา   มีพระนามว่า เสตเกตุ(สันตุสิต)เทพปุตตะ   การแสดงพระธัมมเทสนาครั้งนี้มีเทวดาและพรหมจากหมื่นโลกธาตุทั่วอนันตจักรวาล ที่มาร่วมสดับฟังพระธัมมะคำสอนของพระพุทธองค์ บรรลุธัมมะ   ประมาณ ๘๐  โกฏิ (๑ โกฏิ = ๑๐ ล้าน) หรือนับจะประมาณมิได้   ส่วน ท่านเสตเกตุ(สันตุสิต๗เทพปุตตะ บรรลุพระโสดาบัน(โสตาปนฺน)
             
พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธัมมะสั่งสอนเวไนยสัตวะ     โดยยึดหลัก  ๓ ประการ คือ :
            
. อภิญฺญา...  ทรงสั่งสอน เพื่อให้ผู้ฟังรู้ยิ่ง  เห็นจริงในธัมมะที่ควรรู้ควรเห็น    นั่นคือ ทรงสั่งสอนให้ผู้ฟังรู้เห็นตามความเป็นจริงที่ควรรู้  โดยเฉพาะในเรื่องของ จิตตะ ๑๒๑     เจตสิกะ ๕๒   รูปะ ๒๘  จึงจะถึง นิพพานะ ในที่สุด  ผู้ที่ยังไม่เคยได้ยินได้ฟังพระธัมมะนั้นๆมาก่อน  ก็จะได้มีโอกาสได้ยินได้ฟังพระธัมมะนั้นสะสมไว้ในภวังคจิต(ภวงฺคจิตฺต๑๙      ส่วนผู้ที่เคยได้ยินได้ฟังในพระสัทธัมมะนั้นๆ มาแล้ว เมื่อได้สิกขาหรือได้สดับพระธัมมะนั้นๆ อีก  ก็จะสามารถพัฒนาจิตไปสู่ความละเอียด  ลึกซึ้ง สงบ  และปณีต  บรรลุธัมมะชั้นสูงต่อไปตามลำดับ  ตั้งแต่ พระโสดาบัน(โสตาปนฺน) จนถึง พระอรหัตตผล(อรหตฺตผล)ในที่สุด
           
 สนิทาน...  ทรงสั่งสอน มีเหตุที่ผู้ฟัง อาจตรองตามให้เห็นจริงได้  นั่นคือผู้ที่ได้สิกขา ได้ยินหรือได้ฟัง  พระธัมมะจากพระโอษฐ์   หรือ พระพุทธวจนะ ก็จะตรองตามและสามารถรู้เห็นตามความเป็นจริง  ตามความลุ่มลึกแห่งพระธัมมะนั้นได้ตามการสะสมมาของจิตแห่งตน     สามารถรู้เหตุปัจจัย (กมฺม) และผล (วิปากของธัมมะนั้นๆได้  สามารถเชื่อมโยงพระธัมมะคำสอนได้อย่างมีเหตุมีผล เป็นธัมมานุธัมมปฏิปัตติ (ธมฺมานุธมฺมปฏิปตฺติจนทำให้จิตสามารถพัฒนาไปสู่การบรรลุธัมมะตามลำดับ  จนถึงพระอรหันตะในที่สุด
            
สปฺปาฏิหาริย...  ทรงสั่งสอนเป็นอัศจรรย์ คือ  ผู้ประพฤติตาม ย่อมได้ประโยชน์โดยสมควรแก่การสิกขาธัมมะนั้น  นั่นคือ   ผู้ที่ได้ฟังธัมมะของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว  จิตที่สะสมมหากุสล    และที่เป็น    มหัคคตจิต(มหคฺคตจิตฺต) ๖๗  คือ    รูปาวจรจิตฺต ๑๕  อรูปาวจรจิตฺต ๑๒  โลกุตตรจิตฺต ๔๐     จะมีความเข้าใจ รู้แจ้งเห็นจริงในธัมมะนั้นๆ    อย่างละเอียด ลุ่มลึก  สุขุมคัมภีรภาพ  สงบ (ได้ฌาน) และปณีต(พระอริยบุคคล) ไปตามลำดับ จนสามารถบรรลุธัมมะตามสมควรแก่การประพฤติแห่งตน
            
พระผู้มีพระภาคเจ้า  ทรงสำเร็จ อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ (อนุตฺตรสมฺมาสมฺโพธิาณ)   ทรงเป็น พระสัพพัญญู (สพฺพญฺ) ไม่มีเรื่องใดที่ไม่ทรงทราบ  พระพุทธองค์ทรงทราบเรื่อง บัวสี่เหล่า  ทรงทราบว่าใครมีหน้าที่อะไร  และทรงทราบว่า เป็นพุทธประเพณีของพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ที่หลังจากตรัสรู้แล้ว   จะต้องทรงพุทธรำพึง ว่า :  ธัมมะ ที่ตถาคตได้บรรลุแล้วนี้  ลึกซึ้ง  เห็นได้ยาก  รู้ตามได้ยาก  สงบ ประณีต  มิใช่วิสัยแห่งตรรก  คือ คิดเอาเองไม่ได้ หรือไม่ควรลงความเห็นด้วยการเดา   แต่เป็นธัมมะที่บัณฑิตพอจะรู้ได้    มิใช่ทรงท้อพระทัย      หรือ ทรงมีความขวนขวายน้อย หรือไม่น้อมไปเพื่อทรงแสดงธัมมะตามที่เข้าใจกันโดยทั่วไป
             
พระพุทธรำพึง  หรือที่ภาษาไทย (ภาษาโลก) เรียกว่า นึกในใจ ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า  บุคคล(ปุคฺคล)ที่จะทราบได้จะต้องเป็นผู้ที่ได้อภิญญา มีปฏิสัมภิทาญาณ  และได้อธิฏฐานธัมมะมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ  ซึ่งในพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นี้  ได้แก่  ท้าวสหัมปตีพรหม  ท่านเป็นพระอรหันต์ที่ยังไม่เสด็จดับขันธปรินิพพาน สถิตอยู่ชั้นอกนิฏฐกาพรหม (ชั้นสุทธาวาสเป็นผู้ที่มีหน้าที่มาอาราธนา หรือความเป็นจริงก็คือมา เพื่อรับรอง  หรือ เพื่อยืนยันให้มีหลักฐานปรากฏไว้ในพระไตรปิฎก(ติปิฏก)เพื่อให้เวไนยสัตว์ทั้งหลายได้ตระหนักว่า  พระสัทธัมมะที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงค้นพบนี้เป็นเรื่องยิ่งใหญ่ และ พระธัมมวินัย ที่จะทรงแสดงนับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปนั้น  ล้วนแล้วแต่เป็นพระธัมมะที่มีความลึกซึ้ง  รู้ตามได้ยาก    เห็นตามได้ยาก    สุขุมคัมภีรภาพ       ไม่สามารถคิดเอาเอง หรือลงความเห็นด้วยการเดาได้  แต่ก็พอจะมีบุคคลบางกลุ่มที่อาจตรองตามให้เห็นจริงได้    และสามารถเข้าใจอัตถธัมมะตามคำสอนของพระพุทธองค์     จนสามารถบรรลุธัมมะได้  พระธัมมวินัยที่ทรงปัญญัตติไว้แล้วนั้น เป็นไปเพื่อรื้อสัตวะขนสัตวะให้หลุดพ้นจากวัฏฏสงสาร  ไม่ก่อภพก่อชาติอีกต่อไป  คือ พระนิพพาน  ซึ่งเป็นศาสนาเดียวในโลกที่มี นิพพานเป็น อนัตตา หากภวังคจิตใน ญาณสัมปยุตตจิต(าณสมฺปยุตฺตจิตฺต)   ของท่านที่มีใจใฝ่ธัมมะเหล่านั้น  ได้มีการสะสมพระธัมมวินัยมาถูกต้องนับอสงไขยชาติแล้ว (ไม่ใช่สดับธัมมะที่ผิดๆ หรือ ธัมมปฏิรูป) หรือมี ปุพเพจกตปุญญตา มาดีแล้ว มีปุญญกุสลมาแต่ชาติปางก่อน ทุกอัตถะทุกพยัญชนะที่พระพุทธองค์ทรงแสดงโปรดเวไนยสัตวะทั้งหลาย   ตลอด ๔๕   พระพรรษา  ทรงแสดงด้วยมหากิริยาจิต(มหากิริยาจิตฺต)ทั้งสิ้น  จึงเป็นธัมมะที่ทำให้สิ้นอาสวะ  ไม่ก่อภพก่อชาติอีกต่อไป   ซึ่งก็คือความเป็นพระอรหันต์ นั่นคือ พระพุทธดำรัส   หรือ พระธัมมวินัย ๘๔,๐๐๐ พระธัมมขันธะ     ล้วนแต่เป็น "วิชชา" ที่สามารถรื้อสัตวะ ขนสัตวะให้เข้าสู่กระแสแห่งโลกุตตระไม่ต้องเวียนว่ายในสังสารวัฏฏะอีกต่อไป

       ธัมมt(ธมฺม) แบ่งเป็น ๒ ประการ

๑.ปัญญัตติธัมมะ (ปญฺตฺติธมฺม) 

๒.ปรมัตถธัมมะ (ปรมตฺถธมฺม)

            พระพุทธวจนะ หรือ พระธัมมะคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า ๘๔,๐๐๐ พระธัมมขันธะ  ที่พระพุทธองค์ทรงยืม ภาษามคธ  ซึ่งเป็น ภาษาโลก ที่ชาวเมืองกบิลพัสดุ(กปิลพสฺตุ)ใช้อยู่ขณะนั้นมาใช้   แล้วทรงปัญญัตติขึ้นมา  เรียกว่า ภาษาธัมมะ หรือ ภาษาพุทธวจนะ  สามารถแยกออกเป็น คือ

๑. ปัญญัตติธัมมะ 
๒. ปรมัตถธัมมะ
           

ปัญญัตติธัมมะ  (ปญฺตฺติธมฺม) 

ปัญญัตติธัมมะ เป็น พระพุทธวจนะ ๘๔,๐๐๐ พระธัมมขันธะ เป็นภาษาที่พระพุทธเจ้าตรัส แต่ละอัตถธัมมะ เป็น ปัญญัตติธัมมะ แบ่งเป็น :
              
.  อัตถปัญญัตติธัมมะ  เป็นข้อธัมมะของพระพุทธเจ้าอยู่ที่มหากิริยาจิต ของพุทธะ
           
.๒ สัททปัญญัตติธัมม เป็นข้อธัมมะที่พระพุทธเจ้าทรงเปล่ง ทรงประกาศพระสุรเสียงออกมา เป็นเสียงเรียกศัพท์ธัมมะ เพื่อให้ทราบว่ากำลังกล่าวถึงอัตถปัญญัตติธัมมะใด  เช่น เรียกชื่อ  จิต เจตสิก  รูป  โลภะ  โทสะ  โมหะ  อายตนะ  สัมปยุตต  มหาภูตรูป ฯลฯ  ผู้ฟังที่ได้สิกขาพระธัมมะคำสอน ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็พอจะเข้าใจว่ากำลังพูดถึงอะไร?    อย่างไร?     แม้ว่าจะยังไม่เห็น ยังไม่เข้าใจปัญญัตติธัมมะในระดับที่ลึกซึ้งก็ตาม เมื่อได้ยินได้ฟังก็สามารถนึกถึง ความหยาบ จนถึง ความละเอียด ของคำปัญญัตติธัมมะนั้นๆ    ตามภูมิธัมมะแห่งตนๆ ได้
            
ปัญญัตติธัมมะ หรือ ธัมมปัญญัตติ  เป็นปัญญัตติที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงปัญญัตติขึ้น  หรือเป็นพระพุทธวจนะที่พระพุทธองค์ทรงยืมภาษาโลก เช่น ภาษามคธ มาเพื่อใช้ในการแสดงธัมมะ  อธิบายธัมมะ   ให้เวไนยสัตวะทั้งหลายสดับฟัง แล้วสามารถตรองตาม   เห็นตามความเป็นจริง     ตั้งแต่หยาบจนถึงความละเอียดที่เป็นปรมัตถธัมมะ    แล้วสามารถบรรลุธัมมะได้    จึงเรียกชื่อว่า ปัญญัตติธัมมะ เช่น จิตตะ เจตสิกะ  รูปะ  กุสละ  อกุสละ  ปฐวีมหาภูตรูป อาโปมหาภูตรูป  เกสา  อิตถินนรูปะ  โสมนัส  รูปารัมมณะ เป็นต้น ฯลฯ
             
ตัวอย่างเช่น  คำว่า  ดิน  ที่เป็นภาษาโลก  หมายถึง สิ่งที่มีลักษณะ แข็งร่วน  ก้อนเล็กๆ  ทั้งที่ละเอียดและหยาบ มีสีหลากหลาย  มองเห็นด้วยตาเปล่าได้  เมื่อพูดถึงดิน จะนึกถึง แผ่นดิน พื้นดิน ดินทั่วๆ ไป  ซึ่งจัดว่า  ยังเป็นคำหยาบ เป็นของหยาบๆ  ส่วนคำว่า  “ดิน”   ในภาษาพุทธวจนะ หรือ ธัมมปัญญัตติ  คือ  ปฐวีมหาภูตรูปเป็นการประชุมรวมกันของธาตุต่างๆ ตั้งแต่ธาตุที่หยาบๆ  จนถึงธาตุที่ละเอียด  มีลักษณะ แข้นแข็ง เป็นทั้งรูปที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า และรูปที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า

ธัมมปัญญัตติของพระพุทธองค์จะไม่ทรงปัญญัตติว่า  ดิน  แต่ทรงปัญญัตติว่า  ปฐวีมหาภูตรูปเป็น รูป  ซึ่งเป็น ปรมัตถธัมมะ  ประกอบด้วยมหาภูตรูป ๔   ได้แก่  ปฐวีมหาภูตรูป  อาโปมหาภูตรูป   เตโชมหาภูตรูป  และวาโยมหาภูตรูป
         
ดิน เป็น อวินิพโภครูป(อวินิพฺโภครูป)  ประกอบด้วย :
ปฐวีมหาภูตรูป                          ๑
อาโปมหาภูตรูป                        ๑
เตโชมหาภูตรูป                         ๑
วาโยมหาภูตรูป                        ๑
รูปวิสยรูป                                  ๑
คันธวิสยรูป ( คนฺธวิสยรูป)      ๑
รสวิสยรูป                                  ๑
อาหารรูป                                  ๑  
เราไม่สามารถมองเห็นอวินิพโภครูปด้วยตาเปล่า  ต้องได้ฌานเท่านั้นจึงจะมองเห็นได้   และ   อุปาทายรูป ๒๔   
ส่วนรูปที่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าเป็น สสัมภาระ    เมื่อพระพุทธองค์ทรงกล่าวว่า   เทวดา (เทวตา)   เปรต (เปต)   มนุษย์(มนุสฺสดอกบัว  น้ำฝน   ไฟป่า   ล้วนประกอบด้วย   ปฐวีมหาภูตรูป  หรือ ธาตุดิน  ผู้ฟังธัมมะสามารถบรรลุธัมมะได้ เพราะเข้าใจแล้วว่า   “ดิน”   คืออะไร  ใน รูป มี จิตตะ และ เจตสิกะ  อาศัยอยู่
ปัญญัตติธัมมะ (ปญฺตฺติธมฺม) ของพระพุทธเจ้า เป็นธัมมะที่ใกล้กับ พระนิพพาน ไม่มีทั้งสามัญญลักขณะ และ ไม่มีวิเสสลักขณะ ไม่ก่อภพ ไม่ก่อชาติ

ปรมัตถธัมมะ (ปรมตฺถธมฺม) 
ปรมัตถธัมมะ เป็นธัมมะที่มีเนื้อความไม่วิปริตผันแปร  เป็นธัมมะที่แสดงถึง กฎของธรรมชาติ ที่เป็นความจริงแท้แน่นอน    เป็นสภาวธัมมะที่เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย    ไม่ว่าพระพุทธเจ้าจะอุบัติขึ้นหรือไม่ก็ตาม   ปรมัตถธัมมะเหล่านี้ก็คงมีอยู่       พระพุทธองค์เป็นผู้ทรงค้นพบกฏของธรรมชาตินี้  แล้วนำมาสั่งสอนให้เวไนยสัตวะได้รับรู้รับทราบและเข้าใจตามความเป็นจริง  ซึ่งความจริงที่เป็นสภาวธัมมะนี้มี องค์ประกอบ ๔ ประการ คือ
๑.   จิตฺต      ๑๒๑  
๒.   เจตสิก     ๕๒  
๓.   รูป          ๒๘  
๔.   นิพพาน     
          ผู้ใดได้สิกขาจนเข้าใจอย่างถ่องแท้  ลึกซึ้ง และประณีตในหลักปรมัตถธัมมะแล้ว    ผู้นั้นย่อมเข้าสู่แนวทางของความเป็นพระอริยบุคคล(อริยปุคฺคล)ไปตามลำดับตั้งแต่ พระโสดาบัน(โสตาปนฺนพระสกทาคามี(สกทาคามี)  พระอนาคามี(อนาคามี) ตลอดจนถึง พระอรหันต(อรหนฺต) โดยเที่ยงแท้แน่นอน 

ปรมัตถธัมมะ ประกอบด้วย ลักขณะ ๒  ประการ  คือ :
            .  สามัญญลักขณะ(สามญฺลกฺขณ)  เป็นลักษณะทั่วๆ  ไป  ที่ต้องเป็นไปตามธรรมดา  ตามสภาวะธัมมะ  มี ๓ ประการ  จึงเรียกว่า ไตรลักษณะหรือ ติลักขณะ(ติลกฺขณ)” คือ  :
                        ..๑ อนิจจลักขณะ(อนิจฺจลกฺขณ) คือ  ลักษณะที่เป็นของไม่เที่ยง  ไม่ยั่งยืน  มีสภาวะที่แย้งต่อความเที่ยงอยู่ในตัว  มีลักษณะของ อุปาทะ  ฐิติ  ภังคะ  ตลอดเวลา
                        ..ทุกขลักขณะ (ทุกขลกฺขณ)  คือ ลักษณะที่ทนอยู่ได้ยาก  มีการเกิดขึ้นและการสลายบีบคั้นอยู่ตลอดเวลา  คงอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้  จำต้องเสื่อมสลายหายสูญไป       มีสภาวะที่แย้งต่อความสุข  มีลักษณะของ อุปาทะ  ฐิติ  ภังคะ ตลอดเวลา
                        ..อนัตตลักขณะ (อนตฺตลกฺขณ)  เป็นลักษณะที่ว่างเปล่าจากความเป็นสัตว์  บุคคล  ตัวตน  เราเขา  หรือสมมุติเป็นต่างๆ  ไม่ใช่ตัวใช่ตน  บังคับบัญชาไม่ได้  เป็นสภาวธัมมะที่เป็นไปตามเหตุปัจจัย  มีลักษณะของอุปาทะ  ฐิติ  ภังคะ  ตลอดเวลา
           
จิต(จิตฺตเจตสิก  รูป  มีสามัญญลักขณะครบทั้ง ๓ ประการ   คือ   อนิจจลักขณะ  ทุกขลักขณะ และ อนัตตลักขณะ 
ส่วน นิพพาน  มีสามัญญลักขณะเพียงประการเดียว   คือ  อนัตตลักขณะ

นิพพาน จึงเป็น อนัตตา  (ถ้านิพพานเป็นอัตตา  แสดงว่ายังมีการทำงานของ จิต เจตสิก เพื่อสร้าง รูป  จะต้องก่อภพชาติ  เพื่ออยู่ในวัฏฏสงสาร ต่อไป  ซึ่งแย้งต่อคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยสิ้นเชิง)
           
.๒  วิเสสลักขณะ(วิเสสลกฺขณ)  เป็นลักษณะพิเศษประจำตัว  พิเศษจำเพาะของปรมัตถธัมมะนั้น ๆ  ประกอบด้วยลักษณะ ๔ ประการ เรียกว่า  ลักขณาทิจตุกกะ  ได้แก่ :
                        ..๑  ลักขณะ (ลกฺขณ)  หรือ ภาษาโลกเรียก ลักษณะ  คือ คุณภาพ หรือเครื่องแสดง  หรือ สภาพโดยเฉพาะที่มีประจำของธัมมะนั้นๆ  ซึ่งจะถูกชี้ขาดด้วยกาลเวลา
                      ..๒  รส คือ กิจการงาน หรือ หน้าที่ ที่ธัมมะนั้นๆ  พึงกระทำตามลักษณะของตน  เข้ากันได้  หรือเข้ากันไม่ได้  แบ่งเป็น ๒ ประการ  คือ  กิจจรส  กับ  สัมปัตติรส
                       ..๓ ปัจจุปัฏฐาน (ปจฺจุปฏฺาน) เป็นการทำงานของปรมัตถธัมมะ  ที่ผ่านขั้นตอนของรส  และเข้ากันได้มาแล้ว
                       ..๔ ปทัฏฐาน (ปทฏฺาน)   เป็นผลที่ได้จากการทำงานของขั้นปัจจุปัฏฐาน  ซึ่งต้องมีคุณภาพตรงตามลักขณะ  เป็นฐาน เพื่อการทำงานของสภาวะธัมมะขั้นต่อไป

จิต  เจตสิก  รูป มีวิเสสลักขณะ หรือ ลักขณาทิจตุกกะ ครบบริบูรณ์ทั้ง ๔ ประการ คือ ลักขณะ รส  ปัจจุปัฏฐาน และ ปทัฏฐาน        แต่ นิพพาน มีลักขณาทิจตุกกะ เพียง  ๓  ประการเท่านั้น คือมี  ลักขณะ รส  ปัจจุปัฏฐาน     โดย ไม่มีปทัฏฐาน      เพราะ นิพพาน เป็นธัมมะที่พ้นจากเหตุปัจจัยทั้งปวง  จึงไม่มีฐานเพื่อการก่อเกิดภพชาติ  อีกต่อไป 

การประกาศพระธัมมวินัยในสมัยนั้น  พระพุทธสาวกซึ่งล้วนเป็นพระอรหันต์ กระทำโดยการแสดงธัมมะที่จดจำมาจากพระพุทธวจนะทั้ง   ๘๔,๐๐๐   พระธัมมขันธะ   สำหรับพระอรหันต์ สัญญาเจตสิก พัฒนาเป็น สติเจตสิก  ซึ่งเป็น  โสภณเจตสิก     จะทำงานกับ โลกุตตรจิ ของท่าน  ทำให้จดจำได้ไม่มีผิดเพี้ยน  สำหรับปุถุชนเช่นเรายังอยู่ในกามาวจร   จึงเป็นการทำงานของ สัญญาเจตสิก”  ซึ่งเป็น สัพพจิตตสาธารณเจตสิก       ทำงานได้ทั้งกับ อกุสลจิต และ กุสลจิต  จึงทำให้จำได้บ้าง จำไม่ได้บ้าง  จำผิดบ้าง  จำถูกบ้าง  พระอรหันต์ท่านจดจำธัมมะแล้วค่อยขยายความให้เป็นที่อัศจรรย์ เพื่อให้ผู้ฟังเข้าใจและบรรลุธัมมะ  จะนับจะประมาณมิได้ ดังนั้น  การจะรักษาพระพุทธวจนะไว้ไม่ให้ผิดเพี้ยน  ก็คือต้องท่องจำให้ได้ทั้งหมด  และนานๆ ครั้งต้องมีการนำมาท่องพร้อมๆกันครั้งหนึ่ง  เรียกการกระทำดังกล่าวว่า สังคายนา(สงฺคีติ)
            
หลังจากพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว  ๓    เดือน     ได้มีการทำ สังคายนาพระธัมมะคำสอนเป็นครั้งแรก(ปฐมสังคายนา) ณ ถ้ำสัตตบรรณคูหา  ข้างภูเขาเวภารบรรพต     กรุงราชคฤห์  ประเทศอินเดีย  ประกอบด้วยพระอรหันต์   ๕๐๐  รูป   ซึ่งล้วนได้ปฏิสัมภิทาญาณทั้งสิ้น มี พระมหากัสสปเถระ เป็นประธานและเป็นผู้ถาม   พระอุปาลีเถระ เป็นผู้ตอบ พระวินัย       พระอานนทเถระ เป็นผู้ตอบ พระธัมมะ     ซึ่งพระอรหันต์ล้วนแล้วแต่จดจำพระธัมมวินัยได้ไม่ผิดเพี้ยน    เพราะยังไม่มีการจารึกเป็นภาษาเขียนเป็นลายลักษณ์อักษร    เป็นการรักษาพระธัมมวินัยไว้ที่ภวังคจิต(ภวงฺคจิตฺต)ที่เป็นมหากิริยาจิต เรียกว่า ปาละ   การทำสังคายนาครั้งนี้  นอกจากมีการรวบรวมพระธัมมวินัยแล้ว ยังมีการจัดให้เป็นหมวดหมู่     แบ่งเป็นพระวินัย (วินย)   ๒๑,๐๐๐    พระธัมมขันธะ   พระสูตร(สุตฺตนฺต) ๒๑,๐๐๐  พระธัมมขันธะ   และพระอภิธัมมะ (อภิธมฺม) ๔๒,๐๐๐  พระธัมมขันธะ   ใช้เวลาทั้งสิ้น  ๗   เดือน
             
การรักษาพระพุทธธัมมะคำสอน  โดยการท่องจำ  เพื่อมิให้คำที่มิใช่พระพุทธวจนะเข้ามาปะปนเรียกว่า  ปาละ หรือ ปาลิ  ที่ภาษามคธ  แปลว่า รักษาไว้   ไม่ให้คำสอนที่ผิดเพี้ยนจากพระพุทธวจนะแทรกเข้ามาในพระไตรปิฎก(ติปิฎก)    ต่อมาแผลงเป็น บาลี   (ฝ่ายหินยาน หรือ เถรวาท  ท่องจำเป็นภาษามคธ  ส่วนฝ่ายมหายานท่องจำเป็นภาษาสันสกฤต)     จนปัจจุบันเรียก พระธัมมะ ๘๔,๐๐๐ พระธัมมขันธะ”   ดังกล่าว ซึ่งเป็นภาษามคธ แต่เราเรียกกันจนติดปากว่า ภาษาบาลี  ทั้งๆที่ถูกต้องจะเรียกว่า ปาลี หรือ ปาละ คือรักษาพระพุทธวจนะไว้ในจิต เมื่อ ท่องจำพระพุทธวจนะได้เท่านั้น   เป็นการรักษาพระพุทธวจนะ    และถ้า นำพระพุทธวจนะที่ท่องจำได้ทั้งหมด (ปาลีมาแสดง  มาสอน  ผู้ฟังรับฟัง หรือได้ยิน เรียก มุขปาฐะ
             
ต่อมา ได้มีการพิจารณาว่า  เมื่อผู้ท่องจำพระพุทธวจนะได้ทั้งหมดหรือเรียกว่า ปาลี  มีจำนวนน้อยลง หากไม่มีการจารึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร  จะทำให้พระธัมมวินัยสูญหาย หรือผิดเพี้ยนไป   จึงนำไปสู่ การจารึกพระพุทธวจนะลงในใบลานเป็นครั้งแรก  เป็นภาษาสิงหล หรือ สิงกลี  ในการทำสังคายนาครั้งที่ ๕  ณ วัตรอโลกวิหาร  (Alu  Vihar)  มลัยชนบท ประเทศศรีลังกา ประมาณ พุทธศักราช ๔๓๓  ในสมัยพระเจ้าวัฏฏคามณีอภัย  พระภิกขุเข้าประชุม ๕๐๐ รูป   พระพุทธทัตตะ เป็นประธาน และผู้ถาม  พระมหาติสสะ เป็นผู้ตอบ กระทำอยู่  ๑๒  เดือน 

ต่อมาประมาณ พุทธศักราช ๙๐๐๑๐๐๐   พระพุทธโฆษาจารย์   พระอรหันตเถระชาวเมืองพุทธคยา     ประเทศอินเดีย  เดินทางไปประเทศศรีลังกา และได้แปลพระธัมมวินัยกลับมาเป็นภาษามคธ  พร้อมทั้งรจนา  คัมภีร์วิสุทธิมัคค  ซึ่งเป็น ทางเดินของพระอริยบุคคล เท่านั้น   ต่อมา พระอนุรุทธาจารย์มหาเถระ    ได้จัด คัมภีร์วิสุทธิมัคค  ให้เป็นหมวดหมู่ที่เรียกว่า  พระอภิธัมมัตถสังคหะ โดยแบ่งเป็น ๙  ปริจเฉท  เพื่อให้การสิกขาพระธัมมวินัยของพระพุทธเจ้าเข้าใจง่ายขึ้น รู้แนวทางที่จะทำอย่างไร    จึงจะเข้าถึงความเป็นพระอริยบุคคล
             
การเรียนภาษาปาลีทุกวันนี้   แม้แต่การเรียนปาลีใหญ่  (ภาษามคธก็เป็นเพียงการเรียนแบบ ภาษาโลก  เพื่อให้เข้าใจความหมายในคำศัพท์  ที่พระพุทธองค์ทรงยืมมาใช้อธิบายธัมมะ ว่าตรงกับ ภาษาไทย  ภาษาอังกฤษ ภาษาจีน ฯลฯ   ที่ผู้สิกขาต้องการจะทำความเข้าใจในพระธัมมะคำสอนของพระพุทธเจ้าว่าอย่างไร?  จะมีความรู้ความเข้าใจในธัมมะอย่างตื้นๆ  หยาบๆ   เท่านั้น แต่การเรียนพระพุทธธัมมะคำสอนที่ถูกต้องนั้น เมื่อเข้าใจความหมายตรงตาม ภาษาโลกแล้ว  ต้องนำมาสิกขาให้ลึกซึ้ง    เพื่อให้เข้าใจถึงความหมายในภาษาธัมมะของพระพุทธองค์ทั้ง ๘๔,๐๐๐   พระธัมมขันธะ   ว่าพระพุทธองค์ทรงสอนอะไร?   หมายถึงอะไรที่ลึกซึ้ง   ละเอียด   มิฉะนั้น เรียนไปก็ยังอยู่ในวัฎฎะทั้งสิ้น     เพราะรู้เพียงว่าแปลว่าอะไร? แต่ไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้าทรงสอนว่าอย่างไร ? เรียนแต่คำแปล แต่เข้าไม่ถึง จิตตะ เจตสิกะ และรูปะ ซึ่งเป็น ปรมัตถธัมมะ แล้วจะเข้าถึง นิพพานะ ได้อย่างไร?  เช่น :
           
ตัวอย่างคำว่า    อุปาทะ   ตรงกับภาษาไทยว่า (แปลว่าเกิดขึ้น   ซึ่งเป็นภาษาโลก
            ในความหมายของพระพุทธเจ้า หรือ ในภาษาธัมมะ หมายถึง การทำงานของ จิตตะ ๑๒๑  เจตสิกะ ๕๒   รูปะ ๒๘     ที่ขณะจิต หรือ ขณะรูป  ซึ่งขณะจิต หรือ ขณะรูป     จะประกอบด้วย  อุปาทอนุขณะ...  ฐิติอนุขณะ...  ภังคอนุขณะ  ดังนี้

ขณะจิตต ๑  ประกอบด้วย : 
อุปาทอนุขณะ ๑ 
ฐิติอนุขณะ      ๑   
ภังคอนุขณะ   ๑ 
         
ขณะรูป ๑  ประกอบด้วย :
อุปาทอนุขณะ  ๑ 
ฐิติอนุขณะ    ๔๙ 
ภังคอนุขณะ     ๑
             
โดยเป็นการทำงานระหว่าง ลักขณาทิจตุกกะ  ประกอบด้วย ๔   ขั้น คือ ลักขณะ   รสะ  ปัจจุปัฏฐาน  ปทัฏฐาน  ตามลำดับ  ของจิต กับ เจตสิก (ด้วยความเร็ว แสนโกฏิขณะ ชั่วดีดนิ้วเดียว) หรือเป็นการทำงานของ   จิต กับ รูป     ว่าจะก่อให้เกิดผลกัมมะ(กมฺม) ที่เป็น กุสล อกุสล อย่างไรบ้าง เป็นต้น
            
เมื่อผู้สอนธัมมะไม่เข้าใจความหมาย  ตามพระธัมมะคำสั่งสอนทั้ง ๘๔,๐๐๐   พระธัมมขันธะ  ว่าพระพุทธองค์ทรงสอนอะไร   รู้แต่เพียงว่า แปลว่าอะไร  ก็คิดว่ารู้แล้ว และนำไปสอน ทำให้ พระธัมมะคำสอนผิดเพี้ยนไปจากพระพุทธวจนะ จัดเป็น ธัมมปฏิรูป  สอนในสิ่งที่พระพุทธองค์มิได้ทรงสอน เป็นการ ปรามาสธัมมะ”   เป็นเหตุให้พระธัมมวินัยที่ถูกต้องตามหลักธัมมะสูญสลายหายไป  เป็นการปิดกั้น มัคคะ ผละ นิพพานะ สำหรับเวไนยสัตวะทั้งหลายในที่สุด เป็นบาปมหันต์
             
ฉะนั้น เพื่อไม่ให้เป็นการปรามาสธัมมะ  และเพื่อให้การประพฤติปฏิปัตติถูกต้อง ในปุญญกิริยาวัตถุ ๑๐    ซึ่งจะเป็นพื้นฐานของการเข้าถึงธัมมะต่อไป  

การสิกขาพระธัมมะคำสอนทั้ง  ๘๔,๐๐๐  พระธัมมขันธะ  ต้องไม่ทิ้งคำ ภาษามคธ  หรือที่เรียกกันจนติดปากว่า  ภาษาบาลี”  เด็ดขาด   อย่าจำแต่ภาษาไทย (ภาษาโลกขอให้สิกขาเพื่อให้รู้คำแปลก่อน  แต่อย่ายึดเพียงภาษาแปล    ต้องนำไปเจาะลึกให้รู้ความหมายว่าเรื่องนั้นๆ  พระพุทธองค์ทรงสอนว่าอย่างไร?    หรือหมายความว่าอย่างไร? ตามภาษาธัมมะ เมื่อเข้าใจความหมายในภาษาธัมมะแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องแปลเป็น ภาษาโลก พูดกันแต่ ภาษาธัมมะ ได้เลย เช่น  :

เมื่อพูดถึง ปฏิสนธิหรือ  “อุปาทะ หรือ จิต ที่เป็น โสมมนสฺสสหคตํ  ทิฏฺคตสมฺปยุตตํ อสงฺขาริกํ กามาวจร อกุสลโลภมูลจิตฺตํ  เป็นต้น  ก็จะรู้ความหมายแล้ว  ไม่ต้องอธิบายกันอีกแล้ว     เพราะคำเหล่านี้ได้ไปเก็บไว้ในภวังคจิต ๑๙   เรียบร้อยแล้ว   พร้อมที่จะนำมาใช้พิจารณา หรือเข้าใจได้เลย
            ปัจจุบัน พระภิกขุ และพุทธศาสนิกชน  ไม่ค่อยให้ความสำคัญกับภาษามคธที่เป็นพระพุทธวจนะ หรือที่เรียกกันจนติดปากว่า   ภาษาบาลี  จะยึดแต่คำแปลที่เป็นภาษาโลก   เช่น ภาษาโลกที่เป็นภาษาไทย ทำให้ผู้ที่สิกขาตามคำสอนนั้นๆ     ไม่สามารถเข้าใจพระธัมมะคำสอนของพระพุทธองค์ได้อย่างลึกซึ้ง หรือเข้าใจผิดไปเลย      ตรงกันข้าม การได้ฟังภาษาบาลี(ปาลี )หรือ ภาษามคธที่เป็นพระพุทธวจนะ  โดยไม่รู้ความหมาย ยังดีกว่าการฟังภาษาแปลที่เป็นภาษาโลกล้วนๆ    เช่น ภาษาไทย  เพราะมหากุสลจิต  จะเก็บสะสมพระพุทธวจนะไว้   วันหนึ่งวันใดที่เข้าใจศัพท์ธัมมะที่ถูกต้อง   จิตก็จะสามารถพัฒนาตนเอง เข้าสู่กระแสของโลกุตตรธัมมะได้     ด้วยความเร็วแสนโกฏิขณะ  (ชั่วลัดมือเดียว) และบรรลุธัมมะได้ในที่สุด
             
ในการสิกขาพระอภิธัมมะ(อภิธมฺม) ของเราท่านทั้งหลาย ต้องขอบพระคุณท่านผู้มีคุณูปการตามลำดับ ดังนี้ :
            พระพุทธโฆษาจารย์  พระอรหันตเถรเจ้า      ชาวเมืองพุทธคยา   ประเทศอินเดีย  ที่แปลภาษาสิงหล เป็น ภาษามคธ  และรจนา  คัมภีร์วิสุทธิมัคค
            . พระอนุรุทธาจารย์มหาเถระ  ชาวเมืองกาวิลกัญจิ  แคว้นมัททราฐ  ประเทศอินเดีย ได้รวบรวมพระอภิธัมมะ ๔๒,๐๐๐  พระธัมมขันธะ  ซึ่งเป็นธัมมะที่ประเสริฐยิ่ง   เป็นธัมมะที่มีอยู่จริง เป็นธัมมะที่ละเอียด  ลึกซึ้ง สงบ ประณีต(ปณีต)  ให้ง่ายขึ้น และสะดวกแก่การจดจำ    โดยเขียน พระอภิธัมมัตถสังคหะ  ทั้ง ๙ ปริจเฉท  เพื่อเป็นพื้นฐานว่าจะไปให้ถึงพระอริยบุคคลได้อย่างไร  ถ้าไม่มีท่าน เราจะอ่านพระไตรปิฎก(ติปิฏก)ไม่รู้เรื่องเลย
            ชาวพม่า  ที่ได้รักษาพระอภิธัมมัตถสังคหะ ทั้ง ๙   ปริจเฉท  ไว้ให้เราท่านทั้งหลายได้สิกขากันต่อมา
            . พระภิกขุชาวพม่า  ที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทย    แล้วนำ พระอภิธัมมัตถสังคหะ มาเผยแผ่  โดยเฉพาะ ท่านโชติกะมหาเถระ
            . พระภิกขุไทยที่เรียนภาษามคธ  (ที่เรียกกันว่าภาษาบาลีแล้วแปลมาเป็นภาษาไทย  ทำให้เราได้อ่าน ได้รู้ในพุทธธัมมะคำสอนโดยทั่วกัน.


สาธุ  สาธุ  สาธุ   อนุโมทามิ

รวบรวมเรียบเรียงโดย.....วิเสสลกฺขณมิตฺตา

ชมรมสิกขาธัมมะตามพระไตรปิฎก(ติปิฏกะ๗ ๘๔๐๐๐ พระธัมมขันธะ
.......................................................................................................................










วันศุกร์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ทำไม พระพุทธเจ้าทรงสอน "อกุสล" ก่อน?


ทำไม พระพุทธเจ้าทรงสอน "อกุสล" ก่อน?
               
            พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงสอนอกุสลก่อน            เพื่อป้องกันไม่ให้เราไปสู่อบายภูมิ(อปายภูมิ) และ ดึงกัมมะ(ฺกมฺม)  ดึงสิ่งที่เป็นอกุสลกัมมะ(อกุสลกมฺม)ของเรา  เข้ามาสู่อกุสลจิตของพระพุทธเจ้า เพื่อการทำลายล้างต่อไป เหมือนกับเราเก็บขยะตามท้องถนนไปอยู่ในสถานที่หนึ่งแล้วเราก็เผาขยะนั้น ทำลายขยะนั้น สิ่งที่เป็นขยะของเรามีมานับภพชาติไม่ถ้วน มีแต่พระผู้มีพระภาคเจ้าเท่านั้นที่จะไปเก็บขยะอันเป็นอกุสลของเรา เก็บมาเพื่อที่จะได้ตัดภพตัดชาติ ถ้าพระพุทธองค์ไม่ทรงเก็บขยะให้เรา เราจะตัดภพตัดชาติได้อย่างไร!
            
เราศึกษาอกุสล พูดถึงอปายทั้งหมด (สัตว์นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน) ก็คือไปเก็บอปายที่เราจะต้องมีอยู่ เก็บให้หมดเพื่อนำมาสู่ระบบการทำลายโดยสภาวธัมมะ(สภาวธมฺม)ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบำเพ็ญมา ๒๐ อสงไขย กำไรแสนกัป ซึ่งก่อให้เกิดผล เป็นการตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ แล้วนำหลักธัมมะ(ธมฺม)นั้นมาโปรดให้กับเวไนยสัตว์ ๓๑ ภูมิ เพื่อเป็นบาทฐานสำคัญไปสู่ความสุข และท้ายที่สุดคือ มัคคะ(มคฺค)  ผละ(ผล) นิพพานะ(นิพฺพาน)
            
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสอนอกุสลก่อน เราจะต้องเรียนรู้อกุสลอย่างถ่องแท้ เพื่อนำอกุสลที่เราเป็นปุถุชน เป็นอปาย เป็นมนุษย์(มนุสฺส) เป็นเทวดา(เทวตา) เป็นพรหม เป็นอรูปพรหม ทั้งหมดที่เป็นอกุสลที่มีอยู่  เก็บเข้าไปในอกุสลของพระพุทธองค์ที่ทรงสอน
            
เริ่มต้นเรารู้เพียงอกุสลจิต ๑๒ คือ โลภจิต๘... โทสจิต๒... และโมหจิต๒ เราสิกขาธัมมะไปมากขึ้น จะพบว่า อกุสลมีมากมายทั้ง อกุสลจิต... อกุสลเจตสิก...อกุสลสังคหะ๙...  อกุสลขยายออกไปมากมายมหาศาล เป็นตัวเรา เป็นการกระทำของเรา เป็นสภาพแวดล้อมตัวเราทั้งหมด

อกุสลสังคหะ๙  ได้แก่  :       ๑.อาสวอกุสลสังคหะ          ๔
                                                ๒.โอฆอกุสลสังคหะ            ๔
                                                ๓.โยคอกุสลสังคหะ             ๔
                                                ๔.คันถอกุสลสังคหะ           ๔
                                                ๕.อุปาทานอกุสลสังคหะ   ๔
                                                ๖.นิวรณอกุสลสังคหะ         ๖

                                                ๗.อนุสยอกุสลสังคหะ        ๗
                                                ๘.สังโยชนอกุสลสังคหะ    ๑๐
                                                ๙. กิเลสอกุสลสังคหะ         ๑๐
           
 แต่อกุสลอย่างนี้จะมีภาชนะรองรับจาก ธัมมะ(ธมฺม) ที่พระพุทธองค์ทรงสอนคือ จิต (จิตต) เราท่องจิต๑๒๑ได้ เราจะมีผังของอกุสลจิตของพระพุทธเจ้าอยู่ในจิตของเรา ก็คือเรารู้อกุสลมากเท่าไร อกุสลของเราก็จะถูกนำมาเก็บไว้ในผังอกุสลจิตของพระพุทธเจ้า การเก็บอกุสลของเราไม่สม่ำเสมอ วันหนึ่งสนใจธมมะก็เก็บทีหนึ่ง ส่วนที่ไม่ได้เก็บก็สร้างต่อ ก็เลยมีอกุสลมากมายเก็บไม่หวาดไม่ไหว แต่ก็จำเป็นต้องเก็บ แม้จะต้องใช้เวลาเป็นแสนล้านชาติ การจะเก็บอกุสลได้ ต้องรู้จักอกุสล ต้องรู้ธัมมะของพระพุทธเจ้า
            
การเรียนทางโลกใช้เวลาไม่กี่ปีก็จบ แต่การสิกขาธัมมะของพระพุทธเจ้านั้นจะต้องใช้เวลาไปตลอดชีวิต ขณะนี้เราอาจจะเริ่มมาเป็นชาติแรกที่จะฟังธัมมะ แสดงว่าได้เริ่มมาแล้วเป็นแสนชาติกว่าจะมาฟังธัมมะ ไม่เช่นนั้นจะไม่มีเก็บไว้ในจิตของเรา เขาจะผลักออก การที่เรามาฟังธัมมะ มาสิกขาธัมมะ พยายามรักษาธัมมะคำสอนของพระพุทธองค์ แสดงว่าต้องฟังมาแล้วเป็นแสนๆชาติเป็นอย่างน้อย แล้วค่อยๆ เก็บทีละนิดๆ ตัวอย่างเช่น ความโกรธ มีการสอนไหม? ไม่มี แสดงว่าความโกรธ อยู่กับเรามากี่แสนชาติแล้ว มีมามากมายจนจำไม่ได้ ทำไมเราไม่พอใจอะไรนิดเดียว ก็โกรธทันที? แสดงว่าความโกรธอยู่ในรูปเราหมดแล้ว อะไรกระทบหูนิดก็โกรธ ตาก็โกรธ หูก็โกรธ ทุกอย่างโกรธหมด แนบแน่นไปอยู่กับตัวเราแล้ว
            
ธัมมะของพระพุทธเจ้าก็เช่นเดียวกัน เมื่อโกรธแล้วต้องอาศัยเวลาเท่าใด สิกขาธัมมะก็ใช้เวลาเท่านั้น ไม่อย่างนั้นจะไปชำระความโกรธไม่ได้ โลภะก็เช่นกัน เรามีโลภะมากเท่าใด เราก็ต้องสิกขาธัมมะให้เท่ากับโลภะที่เรามีอยู่  จึงจะเก็บโลภะของเราได้
            ถามว่า : เมื่อใดจึงจะสิกขาธัมมะจบ?
            ตอบว่า
การสิกขาธัมมะของพระพุทธเจ้า ไม่มีกำหนดว่าจะจบเมื่อไร จะต้องสิกขาไปเรื่อยๆ จนกว่าจะจบจริง เมื่อเป็นพระอรหันต์ ไม่ใช่เพียงไปเรียน นักธรรมตรี โท เอก หรือเรียนอภิธัมมะ จบอภิธัมมะบัณฑิต หรือเปรียญธัมมะ๙  สำหรับพระภิกขุไม่ใช่บวชชาตินี้แล้ว ชาติหน้าจะไม่บวช  จะสำเร็จก็ต้องบวชไปจนกว่าจะสำเร็จ
            
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเป็นชาวพุทธเก่า และเคยได้สิกขาธัมมะมากับพระพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆมาแล้ว พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ส่วนพราหมณ์นั้นแยกย่อยไปจากพระพุทธศาสนา หลังจากนั้น คนมีความรู้ในพระพุทธศาสนาน้อยลง ก็เหลือแต่ อกุสลจิต  และอกุสลจิต นี้ จำแนกแยกแยะไปตามลัทธิต่างๆ
            
 ผู้ที่ไม่ได้เป็นไป ตามคำสอนที่ถูกต้องของพระพุทธศาสนาเรียกว่า  ลัทธิ  จะเรียกว่า  ลัทธิโลภะ  ลัทธิโทสะ ลัทธิโมหะ  (ลัทธิ) ต่างๆ ในโลกส่วนมาก มาจาก โลภะ โทสะ โมหะ  แต่เราไม่รู้ไม่เข้าใจ เราไม่รู้ว่าพื้นเดิมของลัทธิเหล่านั้น มาจากไหน?
            
พูดถึงพราหมณ์ หรือ ลัทธิต่างๆ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสอนว่า วิชาการต่างๆ ในโลก ไม่ว่า แพทยศาสตร์ วิทยาศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ นิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ หรือวิชาการต่างๆ ตั้งแต่สมัยพระพุทธองค์ทรงเป็นพระโพธิสัตต์ ศึกษาศิลปศาสตร์ ๑๘ ประการ แต่เป็นวิชาแบบ อวิชชา ก็มีความรู้เหมือนกันหมด แต่ไม่รู้ว่าต้นสายปลายเหตุของวิทยาการต่างๆ นั้นมีพื้นฐานมาจากอะไร พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงชี้ว่า วิชาการทั้งหมด มาจาก “จิต(จิตฺต)
            
เราจะศึกษาพระพุทธศาสนา จะต้องศึกษาเรื่อง “จิต(จิตฺต) เราต้องรู้จักจิตก่อน เพราะจิตเป็นพื้นฐาน แล้วถึงจะแยกย่อยออกไปกว้างใหญ่ไพศาล จนไม่รู้ต้นสายปลายเหตุอันแท้จริงว่า มาจากไหน? ก่อนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะมาตรัสรู้ ต่างก็พากันนับถือผีกันไปต่างๆ นานา จนมีพระพุทธศาสนาแล้ว  จึงแยกย่อยออกมา เมื่อเราไม่รู้อะไร ก็คิดกันไปตามความคิดของตน นั่นคือทุกคนมาจากความไม่รู้ เพราะเป็นปุถุชนจึงต้องอาศัยพระปารมีของพระพุทธเจ้า ถ้าศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว ก็จะมีคำตอบให้ทุกอย่าง
            
หลังจากพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเทสนาธัมมะ ไว้ตลอด๔๕ พระพรรษา เมื่อทรงเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว อริยสาวกก็เผยแผ่พุทธธัมมะต่อไป เมื่อนานๆไป พระอริยสงฆ์มีจำนวนน้อยลง ประกอบกับความเข้าใจในข้อธัมมะก็เลือนลางไป จนถึงยุคกึ่งพุทธกาล ผู้สอนธัมมะส่วนใหญ่เป็นปุถุชนไม่ใช่ อริยชน ผู้เรียนจึงได้รับความรู้ที่จืดจางไป เหมือนกับเราปัจจุบันนี้ เหมือนไม่รู้อะไรเลย เราเรียนแต่คำแปลโดยไม่รู้ว่าธัมมะจริงๆ นั้น คืออะไร?
            
เมื่อพระพุทธองค์ตรัสรู้แล้ว หลังจากเสวยวิมุตติสุข ๗ สัปดาห์ในสัปดาห์ที่ ๘ ทรงประกาศเพื่อให้รู้ว่าคำสอนของพระพุทธองค์นั้น เป็นคำสอนที่ คัมภีระ ลึกซึ้ง ดังพุทธรำพึงว่า :
           
ธัมมะ ที่ตถาคตบรรลุแล้วนี้ ลึก ซึ้ง เห็นได้ยาก รู้ตามได้ยาก สงบ ปณีต มิใช่วิสัยแห่งตรรกที่จะพึงนึกคิดเอา หรือลงความเห็นด้วยการเดา แต่เป็นธัมมที่บัณฑิตพอจะรู้ได้ .....
เพื่อเป็นการบอกแก่เวไนยชนว่า ควรจะศึกษาพระพุทธศาสนาแบบไหน ไม่ใช่ศึกษาแบบแปล : เช่น
เกสา  :            ภาษาไทย      แปลว่า           ผม
            ภาษาอังกฤษ     “                 
hair
            ภาษาจีน            “                  ม้อ
            ภาษาญี่ปุ่น        “                  คามิ
   
เพราะฉะนั้น เกสา = ผม = hair =  ม้อ = คามิ = ภาษาโลก
แต่ภาษาธัมมะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต่างจากภาษาโลก คือ
:
           
เกสา = รูป๔๔
            รูป ๔๔  
:       กายทสกกลาป                  ๑๐
                                    ภาวทสกกลาป                  ๑๐
                                    จิตตสุทธัฏฐกกลาป            ๘
                                    อุตุสุทธัฏฐกกลาป               ๘
                                    อาหารสุทธัฏฐกกลาป        ๘
โลมา  =          รูป๔๔
นขา   
=          รูป๔๔
ทันตา
=          รูป๔๔
ตโจ    
=          รูป๔๔
            การศึกษาพระพุทธศาสนา เราไม่ได้ศึกษาแบบแปล เราต้องศึกษาแบบ พระพุทธวจนะ ต้องแยกให้ออกระหว่าง ภาษาโลก กับภาษาธัมมะ
            ภาษาธัมมะ  =  ภาษาพุทธวจนะ  พระพุทธองค์ทรงยืมภาษามคธมาใช้ เมื่อตรัสจากพระโอษฐ์ เป็น ภาษาพุทธวจนะ จะมีความหมายลุ่มลึก คัมภีระไปถึง จิต  เจตสิก  รูป  จนถึง นิพพาน
            
บังเอิญคำเขียน ภาษาธัมมะ กับ ภาษาโลก เหมือนกัน เราเลยเข้าใจผิด เราต้องไปเรียนรากศัพท์ ภาษาไทยมีรากศัพท์ ภาษาอังกฤษมีรากศัพท์ ภาษาต่างๆ มีรากศัพท์ แต่ในความหมายของรากศัพท์นั้น เป็นเพียง ภาษาโลก เรียนไปไม่มีวันจบ
            
การศึกษาธัมมะของพระพุทธเจ้าไม่ใช่เรียนแปล แต่รู้ว่าจิตอะไร มีเจตสิกทำงานเท่าใด มีหน้าที่ทำอะไรบ้าง ขยายไปจนถึง เป็นฌาน เป็นปัญญัตติ  เป็นพระอรหันต์
             
ปัญญัตติ(ปญฺตฺติ) ไม่มี วิเสสลักขณะ และ สามัญลักขณะ เพราะปัญญัตติ ดับ วิเสสลักขณะ ไม่มีรูป และนาม ทั้งอัตถปัญญัตติ และ สัททปัญญัตติ จะทำลาย  ระบบรูป และนาม
            
ภาษาธัมมะ ไม่ต้องมีรากศัพท์ เพราะ คำตรัสของพระพุทธเจ้าที่ตรัสมานั้น แต่ละคำล้วนแต่ เป็นฌาน เป็นพระอรหันต์ เป็นพระพุทธเจ้า เพราะเกิดจากการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า เมื่อเป็นภาษาของพระพุทธองค์ เรียก ภาษาปัญญัตติ ไม่ได้เรียกภาษาไทย ภาษามคธ หรือ ภาษาต่างๆ แต่ถ้าเราศึกษาพระพุทธศาสนา เราจะไม่เรียก ภาษามคธ ว่าเป็น พระพุทธวจนะ เพราะพระพุทธวจนะจะไม่มีการแปลอย่างที่เขาเรียนกันทางโลก ความหมายของพระพุทธวจนะ เช่น :
           
เกสา          รูป๔๔ ซึ่งประกอบด้วย :
                                    กายทสกกลาป                      ๑๐
                                    ภาวทสกกลาป                     ๑๐
                                    จิตตสุทธัฏฐกกลาป             ๘

                                   
อุตุสุทธัฏฐกกลาป                ๘
                                    อาหารสุทธัฏฐกกลาป         ๘

เกสาถูกสร้างมาจาก กัมมะ(กมฺม) ๒๕ ที่สร้างรูป กัมมะโดยทั่วไป คือ กัมมะ ๒๙ ประกอบด้วย  :
            กัมมสร้างรูป๒๕ คือ : อกุสลจิต ๑๒
                                                กามาวจรมหากุสลจิต                  ๘
                                                รูปวจรมหากุสลจิต                      ๕
            กัมมไม่สร้างรูป ๔  คือ : อรูปวจรมหากุสลจิต            ๔
            ใน กามาวจรบุคคล เราจะเหลือ กัมมะ ๒๐ คือ :
                                               
อกุสลจิต                    ๑๒
                                                กามาวจรมหากุสลจิต     ๘
ฉะนั้นในกามาวจร เรามาเป็นคน สัตว์จึงมีลักษณะแตกต่างกันเพราะมาจาก  กัมมะ ๑๒ และ กัมมะ ๘
           
กัมมะ ไม่ได้แปลว่า การกระทำ อย่างภาษาโลก
           
กัมมะ ไม่ได้แปลว่า  เจตนา
แต่
กัมมะ มี ๒๙ แบ่งจำแนกประเภท ดังนี้ :
 
สัตว์ในอปายภูมิ     มาจาก อกุสลกัมมะ                         ๑๒
 มนุษย์  เทวดา          “          มหากุสลกัมมะ                       ๘
พรหม                        “          รูปาวจรมหากุสลกัมมะ        ๕
อรูปพรหม                “          อรูปาวจรมหากุสลกัมมะ     ๔
            
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแยกกลุ่ม ให้กัมมะนี้ไปสร้างรูป เรียก กัมมชรูป(กมฺมชรูป) และรูปนี้ถูกสั่งงานโดยจิต เรียก จิตตชรูป(จิตฺตชรูป) เมื่อมี จิตตชรูป แล้วเราจะอยู่ในโลกนี้ได้ เราจะต้องมี อุตุ  

อุตุ ไม่ได้แปลว่า ฤดู แต่หมายถึง รูปที่บริหารโดย เตโช วาโย บริหารให้ร่างกายเราอยู่ได้ เป็น อุตุชรูป พร้อมทั้งสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นโลก ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาว อากาศธาตุใดๆ ที่ทำให้เรามีชีวิตเจริญเติบโตอยู่ในโลก
            

นอกจากนี้ การที่เราจะมีชีวิตเจริญเติบโตในฐานะมนุษย์ เราต้องมีอาหาร เป็น อาหารชรูป เพื่อให้เราก่อภพชาติได้ รวมเป็น สมุฏฐาน ให้เกิดรูป   เรียก  รูปสมุฏฐาน (รูปสมุฏฺาน)
            ธัมมะของพระผู้มีพระภาคเจ้า ต้องมองอย่างลุ่มลึก นึกคิดเองไม่ได้ ท้าวสหัมปตีพรหม ซึ่งเป็นพระอรหันต์ชั้นสุทธาวาส จึงต้องทรงอาราธนาให้พระผู้มีพระภาคเจ้าแสดงธัมมะ เพื่อแสดงให้เห็นว่า ธัมมะนี้ ลึก ซึ้ง คัมภีระ
            ทุกวันนี้ เราศึกษาพระพุทธศาสนาโดยไม่ใคร่ครวญ ก็จะมอง พระพุทธศาสนาว่า ไม่เห็นจะมีอะไร ก็เหมือนกับลัทธิต่างๆ เพราะมีคนช่วยกันถล่มทลายคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้าจนย่อยยับ จนมาถึงปัจจุบัน
คนที่รู้แต่เพียงว่า          เกสา             ผม
                                    โลมา    
=          ขน
                                    นขา      =          เล็บ
           ทันตา    =          ฟัน
                        ตโจ     
=          หนัง
          
 ถ้าเป็นพระภิกขุ ก็เปรียบเทียบเท่ากับ พระนวกะ ซึ่งพระภิกขุบวชใหม่ พระวินัยให้เวลา ๕ ปีในการสิกขาพระพุทธศาสนาก่อนจะออกธุดงค์ พระภิกขุจึงจำเป็นต้องสิกขาธัมมะของพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นอย่างยิ่ง เพราะเป็นหน้าที่ของพระภิกข

 พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนเรื่องอกุสลจิต โดยใช้อกุสลจิตไปเก็บนรก เช่น โทสะต้องไปอยู่เป็นสัตว์นรก ทรงสอนเรื่องโทสะเพื่อไปดึง โทสะปุถุชน กลับมาเป็น โทสะพุทธะ ถ้าเป็นโทสะของเราก็บอกว่าต้องไปแผ่เมตตาแก้โทสะ โดยไม่รู้ว่าเมตตาคืออะไร? เพราะไม่รู้จักว่าเมตตาเป็นพรหมวิหารธัมมะของผู้ได้ฌาน เป็นปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน และจตุตถฌาน เราก็นึกว่าการแผ่เมตตาของเราจะได้ปุญญะ(บุญ)เต็มที่ เวลาเราแผ่เมตตาก็กลายเป็นอกุสลของเรา ที่จะดึงเมตตาที่เราได้ไปสู่ะมิจฉาทิฏฐิ
           

พระพุทธเจ้าทรงสอนเรื่องอกุสล เพื่อป้องกันไม่ให้เราซึ่งพ้นปุถุชนเกิดมาแล้ว ต้องไปลงอปายภูมิใหม่ พระพุทธองค์ทรงสอน เรื่องสัตว์นรก เปรต อสุรกาย และสัตว์เดรัจฉาน เพื่อเป็นการหนีการไปเป็น สัตว์นรก เปรต อสุรกาย และสัตว์เดรัจฉานนั้นให้เรา    พระพุทธองค์ทรงสอนอกุสลก่อน เพื่อเป็นการดึงเอาความเป็น สัตว์นรก เปรต อสุรกาย และสัตว์เดรัจฉาน กลับเข้ามาอยู่ในธัมมะของพระพุทธองค์ เรียกว่า เพื่อจะดึงส่วนที่เป็น ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ... จุตูปปาตญาณ...  และอาสวักขยญาณ ที่จะพึงมีเข้ามาเก็บ เพื่อน้อมนำไปสู่ สายฌาน และโลกุตตระ ต่อไป การศึกษาทางโลก  ไม่ว่าจะจบปริญญาเอกสักแสนใบ ก็ไปอปายภูมิ ไม่ว่าจะรวยจนล้นฟ้า ก็ไปอปายภูมิ
            

แต่ ธัมมะของพระผู้มีพระภาคเจ้า เป็น อมตธัมมะ (อมตธมฺม) พาเวไนยชนผู้สิกขา ไปสู่ มัคคะ ผละ นิพพานะ ไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏฏะ  อีกต่อไป.


 สาธุ  สาธุ  สาธุ  อนุโมทามิ
รวบรวมเรียบเรียงโดย.....
วิเสสลกฺขณมิตฺตา

ชมรมสิกขาธัมมะตามพระไตรปิฏก(ติปิฏก) ๘๔๐๐๐ พระธัมมขันธะ
..........................................................................................................