วันเสาร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2554

แผ่นดินไหว (ตามหลักธัมมะ ของ พระพุทธศาสนา)

แผ่นดินไหว
(ตาม  หลักธัมมะ ของ พระพุทธศาสนา)

       เมื่อวันที่   ๒๒  มกราคม  พุทธมหาปรินิพพาน ๒๕๔๖  เกิดเหตุแผ่นดินไหวในประเทศไทย  ทำให้ผู้ที่อยู่บนตึกสูงๆ  ตื่นตระหนกตกใจในเหตุการณ์นั้น สืบเนื่องจากเกิดเหตุแผ่นดินไหวมาจากประเทศอื่น  แล้วขยายอาณาเขตแรงสั่นสะเทือนมาสู่ประเทศไทย  ทำให้เป็นที่หวั่นวิตกกันว่า  ประเทศไทยจะเป็นอย่างไร?  ถ้าแผ่นดินไหวนี้คืบคลานเข้ามาถึงแล้ว
        
 มีคำถามว่า เรื่องของแผ่นดินไหวนี้  พระพุทธศาสนาสอนเรื่องนี้ไว้ว่าอย่างไร   พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสอนเรื่องนี้ไว้อย่างไร?   พระพุทธองค์ทรงทราบมาตั้งแต่สมัยพุทธกาลแล้ว พระพุทธองค์ทรงทันสมัยเสมอ ทรงทราบทุกเรื่อง ดังมีแสดงอยู่ในพระไตรปิฎก(ติปิฏก)  แล้วแต่ว่าจะมีท่านผู้ใดหยิบยกนำมาใคร่ครวญ แล้วชี้แจงแสดงธัมมะ(ธมฺม)ออกมาอย่างถูกต้องหรือไม่ ถ้าเราจะมองกันโดยหลักธัมมะแล้ว การจะรู้เรื่องแผ่นดินไหว จะต้องรู้เรื่องพระอภิธัมมะ(อภิธมฺม)  พระอภิธัมมะจะสอนหมดทุกเรื่อง ไม่ว่าแผ่นดินไหวเกิดจากอะไร? อะไรเป็นสาเหตุของแผ่นดินไหว?  พระพุทธเจ้าตรัสเรื่องนี้ว่าอย่างไร? ความจริงแล้วแผ่นดินนี้ไหวมาตลอด แต่พระพุทธองค์ทรงมาสรุปลงในวาระสุดท้าย เมื่อพรรษาที่ ๔๕      ที่เกิดแผ่นดินไหว ขณะเมื่อพระบรมศาสดา ทรงปลงพระชนมายุสังขาร  ณ ปาวาลเจดีย์(ปาวาลเจติย) แคว้นวัชชี เกิดแผ่นดินไหว กลองทิพย์บรรลือลั่น    พระมหาอานันทเถระเกิดอัศจรรย์ในเหตุการณ์นั้น ดำริว่า อะไรหนอเป็นเหตุ?  อะไรหนอเป็นปัจจัย(ปจฺจย)?  ได้เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า กราบทูลถามสาเหตุของแผ่นดินไหว พระพุทธองค์ตรัสว่า  : 

ดูก่อนอานันทะ (อานนฺท)  เหตุ อย่าง  ปัจจัย อย่าง  ทำให้แผ่นดินไหว  คือ :
. แผ่นดินใหญ่ตั้งอยู่บนน้ำ  น้ำตั้งอยู่บนลม ลมตั้งอยู่บนอากาส  สมัยที่ลมใหญ่พัด ย่อมทำให้น้ำไหว  ครั้นน้ำไหวแล้ว   แผ่นดินนี้ย่อมไหว
. สมณพราหมณ์(สมณพฺราหฺมณ) หรือ เทวดา(เทวตา)ผู้มีฤทธิ เจริญปฐวีสัญญา(วีสญฺ)เล็กน้อย    เจริญอาโปสัญญา(อาโปสญฺ)มาก    แผ่นดินนี้ย่อมไหว
. เมื่อใด พระโพธิสัตต์(โพธิสฺตโต) จุติจากตุสิตาเทวโลก  มีสติสัมปชัญญะ  ก้าวลงสู่พระครรภ์(คพฺภ) พระมารดา  เมื่อนั้น  แผ่นดินนี้ย่อมไหว
. เมื่อใด  พระโพธิสัตต์(โพธิสฺตโต)   มีสติสัมปชัญญะ ประสูติจากพระครรภ์พระมารดา  เมื่อนั้น แผ่นดินนี้ย่อมไหว
. เมื่อใด  พระตถาคต ตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ(อนุตตรสมฺมาสมฺโพธิาณ)  เมื่อนั้น  แผ่นดินนี้ย่อมไหว
        .  เมื่อใด  พระตถาคต   ยังพระธัมมจักร(ธมฺมจกฺก)อันยอดเยี่ยมให้เป็นไป  เมื่อนั้น   แผ่นดินนี้ย่อมไหว
       . เมื่อใด  พระตถาคต มีสติสัมปชัญญะ(สติสมฺปชญฺ) ปลงพระชนมายุสังขาร    เมื่อนั้น   แผ่นดินนี้ย่อมไหว
       .  เมื่อใด  พระตถาคต     ปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ (อนุปาทิเสสนิพฺพานธาตุ)   เมื่อนั้น    แผ่นดินนี้ย่อมไหว

นอกจากนี้  ยังมีเหตุการณ์ 
แผ่นดินไหว  เกิดในครั้งพุทธกาลอีก ครั้ง คือ :
.  พระโพธิสัตต์(โพธิสฺตโต)    เสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์(มหาภิเนสกรมณ)
. พระโพธิสัตต์(โพธิสฺตโต)  เสด็จเข้าใกล้โพธิมณฑลตรัสรู้
.  พระตถาคต      ทรงพิจารณาผ้ามหาบังสุกุล(ปงฺสุกุล)ของนางปุณณทาสี
.  พระตถาคต     ทรงชักผ้ามหาบังสุกุล(ปงฺสุกุล)
.  พระตถาคต  ทรงแสดงพระธัมมเทสนา(ธมฺมเทสนา)  กาลามสูตร(กาลามสุตฺต)
.   พระตถาคต  ทรงแสดงพระธัมมเทสนา(ธมฺมเทสนา) โคตมสูตร( โคตมสุตฺต)
.  พระตถาคต  ทรงแสดงพระธัมมเทสนา(ธมฺมเทสนา) เวสสันดรชาดก( เวสฺสนฺตรชาตก)
.  พระตถาคต  ทรงแสดงพระธัมมเทสนา(ธมฺมเทสนา)พรหมชาลสูตร( พฺรหฺมชาลสุตฺต)

(จาก  สุมังคลวิลาสินี)




ความหมาย  ใน ภาษาธัมมะ ของ แผ่นดินไหว

.  แผ่นดินใหญ่ตั้งอยู่บนน้ำ  น้ำตั้งอยู่บนลม  ลมตั้งอยู่บน(อากาศ)อากาส  สมัยที่ลมใหญ่พัดมา  ย่อมทำให้น้ำไหว   ครั้นน้ำไหวแล้ว แผ่นดินนี้ย่อมไหว
การเกิดแผ่นดินไหวเกิดจากการทำงานของมหาภูตรูป (ปฐวี อาโป เตโช วาโย) ที่ทำงานกันด้วยวิเสสลักขณะ(วิเสสลกฺขณ) คือ        ลักขณะ(ลกฺขณ)  รสะ(รส)  ปัจจุปัฏฐาน(ปจฺจุปฏฺาน)  ปทัฏฐาน(ปทฏฺาน)  ตามปกติแผ่นดินจะไหวได้ยาก  ซึ่งเป็นปกติของโลก โลกของเรานี้ดูจากภายนอกจะเป็นดิน  หิน  ภูเขา ล้วนเป็นปฐวีมหาภูตรูป ภายในโลกมีของเหลวที่หลอมอยู่  เช่น  เมื่อเวลาภูเขาไฟระเบิด จะมีลาวาของภูเขาไฟพุ่งไหลออกมา  แสดงว่า ภายในโลก  ใต้พื้นผิวโลกลงไป มีของเหลว (น้ำ) ดังพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า แผ่นดินใหญ่ตั้งอยู่บนน้ำ  น้ำตั้งอยู่บนลม ในความเป็นลม  (อากาส)  เราจะนึกถึง :
      .   อชฏากาส (อชฏากาส) อากาศเวิ้งว้าง  อากาศในท้องฟ้า
      .  กสิณุคฆาฏิมากาส (กสิณุคฺฆาฏิมากาส) อากาศที่เนื่องมาจากกสิณ
      .  วิวรากาส (วิวรากาส) อากาศในช่องโปร่ง  เช่น ช่องหู  ช่องจมูก  ขวด โอ่ง ไห  ฯลฯ
      .  สุสิรากาส(สุสิรากาส)  อากาศในโพรงทึบ เช่น ในปล่องไม้ไผ่  ในเห็ดเผาะ  ฯลฯ
      .  ปริจเฉทากาส(ปริจฺเฉทากาส)  อากาศที่คั่นระหว่างรูปต่อรูป คือปริจเฉทรูป หรือ อากาสรูป
(วิวรากาส  กับ  สุสิรากาส  รวมเข้ากันเป็น  ปริจฉินนากาส)

ภายในโลกยังมีของเหลวที่หลอมเหลวอยู่ภายใน ส่วนที่เคลื่อนที่ได้ก็มี ส่วนที่เคลื่อนที่ไม่ได้ก็มี   เกิดช่องว่างเรียก      ปริจเฉทรูป มหาภูตรูปต้องมีปริจเฉทรูป ต้องมีช่องว่างภายในตัวของเขาเอง  ปริจเฉทรูปตั้งอยู่ในอากาส (วาโย) ลมตั้งอยู่บนอากาส  สมัยที่ลมใหญ่พัด  เป็นการเคลื่อนตัวของความร้อนพัดภายในของตัวเอง  เกิดการหมุนตัว หมุนตลอดเวลา หมุนอยู่ภายใน เพราะฉะนั้น น้ำ  ของเหลว (อาโป) ที่ตั้งอยู่บนลม (วาโย) เวลาเคลื่อนตัวมากๆ เช่น  ภูเขาไฟระเบิด มีการเคลื่อนตัวมาก มีแรงดันมาก ลมจะดันแล้วระเบิดออกมา ลมมีคุณสมบัติพิเศษ ดันจากพื้นดินขึ้นมา เขาจะดันเจาะไปเรื่อย  เจาะไปเรื่อย  จนออกมาจากพื้นดิน  (ปฐวี) ได้  เช่น ภูเขาไฟระเบิด  จะมีของเหลวที่เรียกว่า ลาวา ไหลออกมาจากปล่องภูเขาไฟ    มีเปลวไฟคุปะทุออกมาตลอดเวลา ลาวาภูเขาไฟจะไหลล้นออกมา ทำลายพืชพันธุ์ธัญญาหาร และสิ่งมีชีวิตทั้งหลายที่ขวางหน้า  หรือไม่ว่าจะเป็นบ้านเรือน ถนนหนทาง ลาวามีความร้อนสูงจัดมาก  ความร้อนคือ เตโช เช่นเดียวกัน แม้ลาวาในทะเลหรือในมหาสมุทร ที่ยังมีของเหลวที่อยู่ใต้โลก ที่มีความร้อนจัดไหลนองเป็นทางเป็นสายอยู่ใต้พื้นมหาสมุทร เห็นเป็นทางสีแดงเพลิงเพราะเตโช แสดงว่าในน้ำ (อาโป)  มีลม  (วาโย)   เวลาทำงานเขาจะใช้ลมเป็นตัวนำ  เจาะทะลุทะลวง     เมื่อมีการเคลื่อนตัวของมหาภูตรูป  เกิดรอยร้าว  เกิดการแยกตัวของมหาภูตรูป  ที่เป็นปฐวีมหาภูตรูป  การเคลื่อนตัวของโลกก็เป็นปกติของเขา  ถ้าเคลื่อนตัวตรงไหนมาก  ตรงนั้นจะเริ่มไหว ที่เรียกว่า  แผ่นดินไหว  ไม่ใช่จะไหวทั่วไป  ถ้าโลกมีการไหวแบบนี้จะเกิดอันตราย จะก่อให้เกิดคนล้มตาย   สัตว์ตาย  หรือทรัพย์สินเสียหาย   หรือแผ่นดินจะยุบทะลายเป็นทะเลไปหมด นั่นคือเกิดจากแผ่นดินไหว ที่เกิดจากการทำงานของมหาภูตรูป

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า  แผ่นดินใหญ่ตั้งอยู่บนน้ำ  น้ำตั้งอยู่บนลม ลมตั้งอยู่บนอากาส คือ ในที่นี้ไม่ใช่เป็นอย่างที่เรานึกว่า   แผ่นดินตั้งอยู่บนมหาสมุทรและลม เช่น ลมทอนาโด พัดหมุนไปอย่างนี้  แล้วทำให้แผ่นดินไหว ไม่ใช่เช่นนั้น การไหวนี้จะอยู่ภายในโลก เรียกว่า  แกนกลางของโลก  ที่ยังมีความร้อน มีไฟ  (เตโช)  อยู่       มีของเหลวที่หลอมละลายอยู่ด้วยความร้อนนั้น คือ น้ำ ในความหมายของพระพุทธองค์ ภายนอกจะไม่มีทางไหวได้ ต้องไหวมาจากศูนย์กลางภายใน น้ำในที่นี้อยู่ภายในโลก ซึ่งตั้งอยู่บนลม เมื่อลมใหญ่พัดจึงจะเกิดการเคลื่อนไหว กระบวนการนี้ทำให้เกิดอาการที่เรียกว่า โลกไหว หรือ แผ่นดินไหว นั่นเอง จะเกิดรอยร้าว และสะเทือนไปหมดด้วยความรุนแรง  แล้วแต่กำลังความเร็วของลมที่พัดอยู่ภายในโลก การเคลื่อนตัวของเขาก่อให้เกิดแผ่นดินไหว ถ้าบ้านเรือนตั้งอยู่ในอาณาบริเวณที่เกิดการเคลื่อนไหวนั้น   พื้นผิวโลกเกิดรอยแยก บ้านเรือนจะยุบ พังทะลายไป  เหมือนเราปลูกบ้านอยู่บนที่ๆ ข้างล่างเป็นฐานเหลวๆ    เป็นดินเหลวๆ   ไม่ทันไรก็จะเกิดการยุบตัว เช่นเดียวกับการเคลื่อนไหวของโลกเป็นอย่างนี้ นี่คือแผ่นดินไหวในคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ลมใหญ่  คือ มหาวาตภัย มหาวาโย  คือลมที่อยู่ภายใน ที่มีการเคลื่อนไหวอย่างรุนแรงในจุดแต่ละจุด   คือปกติลมก็เคลื่อนไหวอยู่แล้ว เพราะเกิด  อุปาทะ(อุปาท) ฐิติ(ติ) ภังคะ(ภงฺค) เขามีการเคลื่อนไหวในตัวของเขาเอง  เคลื่อนไหวไป เคลื่อนไหวมา  แต่ถ้ามีการเคลื่อนไหว มีอะไรบางส่วนที่ก่อให้เกิดกำลังแรงขึ้นมา ก็จะมีกำลังหมุนมาก หมุนมากจนเกินพอดี  ช่องทางไหนที่จะพาเขาผ่านออกไปได้  เขาจะนำทะลุทะลวงออกไป   ตัวนำทะลุทะลวงออกไปคือลม แล้วจะพัดขึ้นไปเรื่อยๆ ตามที่ๆ เขาไปอาศัยอยู่   นั่นคือการพัด เช่น ศูนย์กลางของโลกเกิดความร้อน  ความร้อนลอยตัวขึ้น  เกิดการหมุนเวียนของลม  แผ่นดินใหญ่  ตั้งอยู่บนน้ำ  น้ำตั้งอยู่บนลม  ลมตั้งอยู่บนอากาส  อากาส คือ ปริจเฉทรูป  ลมที่พัดมาในทุกส่วนของมหาภูตรูปก็จะพัดมา  ทำให้เกิดการไหวตัว ในทุกสิ่งทุกอย่างก็จะมีปริจเฉทรูป แม้ในทุกที่ทุกแห่ง เมื่อมีการพัดขึ้นมามากๆ  ขึ้น  ลมก็จะมีกระแสแรงขึ้นๆ  เมื่อลมพัดน้ำก็เริ่มไหว   เพราะน้ำตั้งอยู่บนลม     น้ำที่อยู่ตรงนี้จะหมุนตัวไหวใหญ่อยู่ภายใน ของเหลวต่างจะดันกันด้วยกำลังอำนาจของลมที่เป็นมหาวาโย  มีกำลังมาก พัดไปเรื่อยจนเกิดการเคลื่อนไหว จริงๆ แล้วกระบวนการเขาทำกันมาตั้งแต่มหาภูตรูป  ซึ่งประกอบด้วย  ปฐวีมหาภูตรูป   อาโปมหาภูตรูป เตโชมหาภูตรูป  วาโยมหาภูตรูป ซึ่งเป็นรูปที่แยกจากกันไม่ได้ ไม่เช่นนั้นดินขนาดใหญ่โตจะเคลื่อนไม่ได้  แต่การเคลื่อนไหวได้เนื่องจาก แผ่นดินตั้งอยู่บนน้ำ  น้ำตั้งอยู่บนลม  ลมตั้งอยู่บนอากาส เขาก็เลยเคลื่อนไหวได้

 

ลมมีอำนาจมาก ลมภายนอกทำให้โลกไหวไม่ได้  แต่ลมภายในภายใต้โลก   เกิดจากภายในโลก  คือสิ่งที่ทำให้  โลกเคลื่อนไหว  หรือ แผ่นดินไหวแล้วแต่ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไร ประเทศไหนที่เป็นทางผ่านของระบบแผ่นดินไหว  ประเทศที่มีข่าวแผ่นดินไหวบ่อยๆ  เช่น ญี่ปุ่น   อินโดเนเซีย ฯลฯ  ประชาชนของประเทศเหล่านั้น มาอยู่ในสถานที่เหล่านั้นด้วยแรงกรรม(กมฺม)ของตนเองที่ได้ทำเอาไว้ ต้องนอนหวาดผวากันเป็นประจำ  ต้องคอยฟังข่าวการวัดแรงสั่นสะเทือนของผิวโลก   เพื่อจะได้ปรับตัวได้ทันกับเหตุการณ์ แผ่นดินไหวนี้ทำให้ผิวโลกเกิดรอยร้าว ทรุดตัวลงตามลำดับ  เมื่อก่อนนี้โลกของเรามีผืนแผ่นดินของทวีปต่างๆ ติดต่อกันหมด เป็นผืนแผ่นดินเดียวกัน แต่เพราะเหตุแผ่นดินไหว      เกิดการเคลื่อนตัวของเปลือกโลกไปตามกาลเวลา  เกิดการยุบตัวลงไป  ทำให้แผ่นดินแยกห่างออกจากกัน จนแยกออกเป็นทวีปต่างๆ บางแห่งไหวน้อย  บางแห่งไหวมาก บางแห่งไหวจนระเบิดเป็นจุณ  ไม่มีอะไรเหลือ ไม่มีที่อยู่  ลองนึกดูว่า ถ้าไม่มีแรงดึงดูดของดวงอาทิตย์    แล้วเราจะลอยไปไหน  การที่เราไม่รู้สึกกว่าโลกนี้กำลังหมุน ไม่หนีสูญหายไปจากดวงอาทิตย์ เพราะ โลกเราเป็นลูกของดวงอาทิตย์ ดวงอาทิตย์เป็นแม่  ที่มีมหาภูตรูปเดียวกัน   เป็นอายตนะดึงดูดกันไว้  ดวงอาทิตย์รักษาโลกไว้  เรามองไม่เห็น  เราก็อยู่ด้วยความลืมตัวลืมตนของเราไปเรื่อยๆ    ไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม?  เราเกิดมามีแต่ยืน เดิน นั่ง นอน มี     อิริยาบถ(อิริยาปถ)เท่านั้น  แล้วก็ไปนอนตาย  แล้วแต่ว่าจะไปตายในลักษณะไหน?  ชีวิตประจำวันอยู่ใน ๔ อิริยาบถ  ตื่นเช้า  ลุกขึ้นยืน   เดินไปอาบน้ำ ล้างหน้า แปรงฟัน   ทำกิจธุระส่วนตัว  แต่งตัว  รับประทานอาหารเช้า    เดินไป หรือ นั่งขับรถไปทำงาน  ยืนทำงานบ้าง  นั่งทำงานบ้าง  นั่งรับประทานอาหารกลางวัน    นั่งฟังธรรม    นั่งเจริญธรรมบ้าง นั่งทำงานบ้าง  ยืนทำงานบ้าง  เดินไปเดินมา  จนได้เวลากลับบ้าน  เดินไป   นั่งขับรถกลับถึงบ้าน  เปิดประตูบ้าน   เอารถจอดในลานบ้าน  อาบน้ำ แต่งตัว นั่งรับประทานอาหารเย็น  นั่งดูโทรทัศน์  แล้วพูดไปเรื่อย    ค่ำแล้วเข้านอน  จนรุ่งเช้าใหม่  ตลอดทั้งวันมีแต่ ๔   อิริยาบถ  ยืน  เดิน  นั่ง  นอน  มีแต่โลภะ โทสะ โมหะ  ตลอดทั้งวันทั้งคืนแล้วจะมีประโยชน์อันใด   เมื่อเวลาที่พระโพธิสัตว์โพธิสตฺโต)ทรงพบเทวทูตทั้ง ๔ (คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และ สมณะ) จึงเป็นเรื่องน่าคิดน่าศึกษา   พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสอนอย่างนี้ ถ้าเราจะทำอะไรภายนอกก็ทำไปเถิด  แต่เมื่อทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว ต้องมาทำภายใน ต้องมาสิกขาหลักธัมม ะคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเก็บไว้ในจิต  เอาไว้เป็นกองเสบียง ไว้ให้เราได้เดินทางต่อไปสู่เป้าหมาย   มัคคะ(มคฺค)   ผละ(ผล)   นิพพานะ(นิพฺพาน)  ชีวิตของเรานี้เป็นชีวิตที่สั้น  ไม่มีเวลาสิกขาผิดอีกต่อไปอีกแล้ว ต้อง สิกขาแต่ในหลักธัมมะคำสอนของพระพุทธเจ้าเท่านั้น


ฉะนั้น โลกนี้จะต้องหมุนรอบดวงอาทิตย์ เพราะมีอายตนะดึงดูดซึ่งกันและกัน  เขามีอายตนะเหมือนแม่เหล็กดึงดูดเหล็ก   เพราะเป็นมหาภูตรูปเดียวกัน ดังนั้นระบบสุริยจักรวาลที่เกิดขึ้นมาจากการแยกตัวของดวงอาทิตย์ และหมุนรอบตัวเอง  ทั้งดวงอาทิตย์  และดาวปริวาร  เพราะเกิดจาก อุปาทะ ฐิติ  ภังคะ ก่อให้เกิดกาลเวลา ก่อให้เกิดการทำงานไม่หยุดหย่อน เพราะการทำงานของมหาภูตรูปปรมัตถธัมม(มหาภูตรูปปรมตฺถธมฺม)นั่นเอง สมัยพุทธกาล ถ้าเมื่อไรพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรื่องแผ่นดินไหว เมื่อนั้นจะมีผู้บรรลุธัมมะ  เพราะสภาวะจิตของบุคคล(ปุคฺคล)สมัยนั้น ล้วนเป็น ติเหตุกบุคคล(ติเหตุกปุคฺคล)

ติเหตุกบุคคล  มีจิต ๑๓ :    ญาณสัมปยุตตจิต                
                                           รูปาวจรมหากุสลจิต            
                                                อรูปาวจรมหากุสลจิต         
ติเหตุกบุคคล  มีเหตุ ๓  คือ  อโลภเหตุ  อโทสเหตุ และ อโมหเหตุ ท่านไม่มี   อกุสลจิต ๑๒   (โลภจิต ๘     โทสจิต ๒   โมหจิต ๒) ไม่มี  โลภเหตุ  โทสเหตุ และ โมหเหตุ มารบกวน ท่านพร้อมที่จะบรรลุธรรม  เพราะการสั่งสมมาแม้จะตรัสธัมมะข้อ หรือ ข้อ  ก็จะมีผู้บรรลุธัมมะทั้งสิ้น แต่สมัยนี้ต้องมีการอธิบาย ชี้แจงในรายละเอียด และสะสมไว้ในวาระจิต  แล้วธัมมะของพระผู้มีพระภาคเจ้าจะค่อยๆนำไป เราต้องเติมธัมมะของพระพุทธองค์ไปเรื่อยๆ เติมให้ถูกเข้าไว้ตามพุทธธัมมะ ๘๔,๐๐๐  พระธัมมขันธ(ธมฺมขนฺธ) แล้วพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะนำพาไปเอง  ไม่ใช่เราจะรู้เองได้   เพราะเราไม่รู้ธัมมะถูกต้อง  การเห็น  การรู้ทุกอย่างจึงเป็น มิจฉาทิฏฐิ (มิจฺฉาทิฏฺ) เป็นการเห็นด้วย อกุสลจิต(อกุสลจิตฺต) นำไป อปายภูมิ การเห็นนั้น จะต้องเห็นด้วยจิต ที่รู้ธัมมะถูกต้อง  ไม่ใช่นึกคิดเอาเอง 

เหมือนกับการสร้างรถยนต์   เราต้องรู้ทุกระยะตั้งแต่สร้างเหล็ก  สร้างโครงเหล็ก แร่เหล็กนี้มาจากไหน  ต้องสร้างโรงงานถลุงเหล็ก    ต้องเรียนรู้วิธีประกอบรถยนต์ รู้อุปกรณ์ของรถยนต์มีอะไรบ้าง  ต้องติดตั้งอย่างไร ทั้งระบบเครื่องยนต์ ระบบไฟ ระบบน้ำมัน เบรก  คันเร่ง ทุกชนิด จนประกอบเป็นรถยนต์ให้วิ่งได้บนท้องถนนตามต้องการ
ธัมมะของพระพุทธเจ้าก็เช่นกัน พระพุทธเจ้าตรัสอย่างไร?    เครื่องมือในการสิกขาธัมมะมีอย่างไร? นำเครื่องมือมาใช้แล้ว พระพุทธองค์จะช่วยทำให้ถูกต้อง  ก็จะไปถึงที่ต้องการ  ธัมมะของพระพุทธองค์เป็นของยาก  ต้องมีพระพุทธองค์เป็นผู้สอนเท่านั้น  คือ เราต้องเติมธัมมะของพระพุทธเจ้าเข้าไปสะสมไว้ที่จิต เพื่อพระพุทธเจ้าจะนำพาเราให้พัฒนาไปตามลำดับ จนกว่าจะทราบ เมื่อทราบแล้วจะได้ฌาน  มีแต่ฌานของพระพุทธเจ้า เท่านั้นที่เป็น ฌานพุทธะ ที่จะสามารถมองเห็นปรมัตถธัมม  และสามารถใช้ปัญญาไปตัดกิเลสได้ เพราะในฌานมีปัญญาเจตสิกทำงานอยู่ด้วย จึงจะเข้ากระแสมัคคะ ผละ  นิพพานะ   ต้องมีพระพุทธเจ้านำไป  จึงจะได้ฌาน  ไม่ใช่เราไปนั่งเองแล้วได้ฌาน  มีเราเมื่อไรก็เป็นอัตตา     ไม่มีทางได้ฌาน   เพราะเป็น  เรา

. สมณพราหมณ์(สมณพฺราหฺมณ) หรือ เทวดา(เทวตา)ผู้มีฤทธิ เจริญปฐวีสัญญา(วีสญฺ)เล็กน้อย    เจริญอาโปสัญญา(อาโปสญฺ)มาก    แผ่นดินนี้ย่อมไหว
   สมณพราหมณ์  หรือเทวดาผู้มีฤทธิ  ก็ล้วนเป็นชาวพุทธะทั้งหมด  ไม่มีใครแปลกปลอม      ผู้มีฤทธิ คือ ผู้ได้อภิญญาฤทธิ          ต้องได้ปัญจมฌาน ดลบันดาลอะไรก็ได้    เจริญปฐวีสัญญาเล็กน้อย  ปฐวีเป็นชื่อของมหาภูตรูป   เวลาที่ท่านทำปฐวีทั้งหมดเข้ามาเล็กน้อย ไม่ใช่ว่าเข้ามาที่ดิน (ภาษาโลก) เล็กน้อยแล้วแผ่นดินไหว ตามความหมายที่แท้จริง ต้องมาสั่งที่ปฐวีที่อยู่ในวาโย    (มหาภูตรูป   :  ปฐวี อาโป เตโช วาโย)  คำว่า เจริญปฐวีสัญญาเล็กน้อย  เล็กน้อยคือ อยู่ในวาโย อาโปอยู่บน คือ มองดูปฐวีที่อยู่ในวาโย คำว่า ปฐวีสัญญาเล็กน้อย (ปฐวีสัญญา + เล็กน้อย)

สัญญาคืออะไร? สัญญา นี้คือ อภิญญา การจะได้ อภิญญาในสัญญา คือต้องได้  ปัญจมฌาน  กับ อรูปฌาน  จึงเรียกว่า สัญญา   ปฐวีสัญญา  คือ  ผู้ที่ได้ปัญจมฌาน เป็นต้นไป สัญญา เป็นชื่อย่อของอภิญญา  ปฐวีสัญญา คือ ผู้ได้ฌาน แล้วบอกว่า เล็กน้อย  ก็รู้ทันทีว่า อยู่ในส่วนไหน คือ อยู่ใน วาโย

เจริญ อาโปสัญญามาก คือให้ปฐวีมีน้อยเสียก่อน ลม  (วาโย) จึงจะมีกำลังแรง เพราะปฐวีในลม ถ้ามีมากจะทำให้การเคลื่อนไหวของลมช้าลง ต้องทำให้น้อยลงๆ โดยใช้อภิญญาฤทธิเข้าไปบังคับตรงนี้ให้มีการทำงาน จนกลายเป็นว่าปฐวีที่ตรงไหนก็น้อย ที่หนักก็เบาไปหมด  ตอนนี้วาโย (ลม)  จะมีกำลังแรง  พัดใหญ่   พัดจนแผ่นดินนี้ไหว  ครึ่งนี้ไหว  ครึ่งนี้ไม่ไหว  แล้วน้ำจะเคลื่อนไหวอย่างไร?   ปฐวีตรงที่น้อยนี้จะไปกั้นกำแพง  อาโปมากจะไหวเพียงแค่ตรงนี้เอง สระไหวแค่ครึ่งสระ อีกครึ่งสระไม่ไหว ทำได้อย่างไร? ก็เพราะ  สมณพราหมณ์ หรือ เทวดาผู้มีฤทธิ เจริญปฐวีสัญญาเล็กน้อย    เจริญอาโปสัญญามาก  แผ่นดินนี้ย่อมไหว นั่นคือ อภิญญาฤทธิ

. เมื่อใด พระโพธิสัตต์(โพธิสฺตโต) จุติจากตุสิตาเทวโลก  มีสติสัมปชัญญะ  ก้าวลงสู่พระครรภ์(คพฺภ) พระมารดา  เมื่อนั้น  แผ่นดินนี้ย่อมไหว
 จึงไม่ใช่ของแปลก หรือเมื่อรู้ข้อ ๑ และข้อ เพียง ข้อแล้ว ล้วนแต่เป็นอภิญญาฤทธิ โดยเฉพาะพระปรมสมภารานุภาพของพระโพธิสัตต์แล้ว  แทบมิต้องกล่าวถึง เพราะแม้อวินิพโภครูปของธาตุของพระมหาโพธิสัตต์ก็ทรงพลานุภาพยิ่งนักแล้ว แม้เทพเทวาผู้ที่ไปทูลอาราธนา     ก็ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ทรงอภิญญาฤทธิ ทำไมแผ่นดินจะไม่ไหว?   คำว่า  เทวดา(เทวตา)   อย่าไปคิดว่าเพียงเทวดา ๖ ชั้น แต่หมายรวมไปถึงชั้นพรหมสุทธาวาสด้วย  เพราะเทวดาเป็นคำเรียกรวมของ เทวดาและพรหม

.เมื่อใดพระโพธิสัตต์(โพธิสฺตโต) มีสติสัมปชัญญะ ประสูติจากพระครรภ์(คพฺภ)พระมารดา  เมื่อนั้น แผ่นดินนี้ย่อมไหว
   ก็เช่นกัน  ด้วยอภิญญาฤทธิของพระมหาโพธิสัตต์ และเทวตาผู้มีฤทธิ

. เมื่อใด  พระตถาคต ตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ (อนุตตรสมฺมาสมฺโพธิาณ)  เมื่อนั้น  แผ่นดินนี้ย่อมไหว ก็มิใช่เรื่องแปลก  เพราะพระปารมีธัมมะของพระผู้มีพระภาคเจ้า สามารถทำได้ทุกอย่าง พร้อมทั้งอภิญญาฤทธิของเทวดาผู้มีฤทธิ

. เมื่อใด  พระตถาคต   ยังพระธัมมจักร(ธมฺมจกฺก)อันยอดเยี่ยมให้เป็นไป  เมื่อนั้น   แผ่นดินนี้ย่อมไหว
ก็เป็นเรื่องปกติเพราะอภิญญาฤทธิ ทั้งของพระผู้มีพระภาคเจ้า และฤทธิของพระอรหันตสาวกทั้งหลาย  พร้อมทั้งเทวดาผู้มีฤทธิ

. เมื่อใด  พระตถาคต มีสติสัมปชัญญะ(สติสมฺปชญฺ) ปลงพระชนมายุสังขาร    เมื่อนั้น   แผ่นดินนี้ย่อมไหว  
นั่นคือ อำนาจฤทธิ เมื่อทรงประกาศออกไปแล้ว ย่อมต้องมีคุณสมบัติพิเศษของพระผู้มีพระภาคเจ้า     พร้อมทั้งอภิญญาฤทธิของพระอรหันตสาวกทั้งหลาย และเทวดาผู้มีฤทธิ
. เมื่อใด       พระตถาคต               ปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ (อนุปาทิเสสนิพฺพานธาตุ)   เมื่อนั้น    แผ่นดินนี้ย่อมไหว    
  
ล้วนเป็นเรื่องอภิญญาฤทธิทั้งสิ้น  ไม่ว่าจะเป็น อภิญญาฤทธิของพระตถาคตเจ้า หรือ อภิญญาฤทธิของพระอรหันตสาวก ทั้งหลาย รวมทั้ง      อภิญญาฤทธิของเทพพรหมเทวา   อภิญญาฤทธิของผู้มีฤทธิ  อธิษฐาน(อธิฏฺาน)แล้วกระทำได้ทุกอย่าง

ความหมาย ใน ภาษาโลก ของ  แผ่นดินไหว
สาเหตุ ของ แผ่นดินไหว เกิดจาก การเคลื่อนไหว ของ เปลือกโลก เนื่องจาก โลกของเราแบ่งออกเป็นชั้นๆ มนุษย์อาศัยอยู่บนเปลือกโลก(earth crust) ใต้เปลือกโลกลงไปเป็นสสารคล้ายของเหลว มีอุณหภูมิสูงมาก เรียก แมนเทิล(mantle) แผ่นเปลือกโลกไม่ได้เป็นแผ่นเดียวกันตลอด แต่แตกแยกเป็นแผ่นๆคล้ายเกมจิกซอ เราเรียกว่า เพลท(plate) ซึ่งรวมเอาเปลือกโลกกับแมนเทิลชั้นบนเข้าด้วยกัน เนื่องจากเปลือกโลกวางอยู่บนของเหลว จึงสามารถเคลื่อนที่ไปมาได้
การเคลื่อนไหวของเปลือกโลกมี ๓ ลักษณะ คือ :
๑.     ชนกัน (convergent plates)
๒.     แยก หรือ ปริออกจากกัน (divergent plates)
๓.     เคลื่อนที่ในลักษณะเสียดสีกัน(transform plates)

เมื่อเปลือกโลกเกิดการเคลื่อนไหวในลักษณะใดลักษณะหนึ่ง จะทำให้บริเวณนั้นเกิดแผ่นดินไหว เกิดรอยแตกของเปลือกโลก หรือ หิน และเกิดการระเบิดของภูเขาไฟ ก่อให้เกิดการสะสมของพลังงานจลน์(kinetic energy) ในเปลือกโลกบริเวณนั้น และพลังงานนี้จะถูกปลดปล่อยและแปรรูปเป็นพลังงานความร้อนจนกระทั่งหมด จึงกลับสู่สภาวะสมดุลย์ ในช่วงที่เกิดการสะสมของพลังงาน จะเกิดแรงทางธรณีวิทยาแปรสัณฐาน และก่อให้เกิดคลื่นแผ่นดินไหวแพร่ออกไปทุกทิศทุกทาง พร้อมทั้งพลังงานถูกปล่อยออกไป

คลื่นแผ่นดินไหวที่แพร่ออกไปนี้เอง  ก่อให้เกิดการสั่นสะเทือนและการทำลาย คลื่นแผ่นดินไหวมีการเคลื่อนที่ซับซ้อนหลายระนาบ ทำให้เปลือกโลกบริเวณนั้นเกิดการสั่นสะเทือน เกิดความเสียหายต่ออาคาร บ้านเรือน ตึกสูง สะพาน ถนน หนทาง ฯลฯ ความเสียหายจะมาก หรือ น้อย ขึ้นอยู่กับพลังงานที่ถูกปลดปล่อยออกมา มาก หรือ น้อย นอกจากนี้ ยังเกิดจากการกระทำของมนุษย์  เช่น การทดลองระเบิดนิวเคลียร์  การกักเก็บน้ำในเขื่อน  แรงระเบิดจากการทำเหมือง  หรือ เกิดจากการตกของอุกกาบาต ฯลฯ
  
ดังนั้น จะเห็นว่า การเกิดแผ่นดินไหว เกิดจากกัมม(กมฺม)ของสัตวะทั้งหลาย มนุษย์และสัตว์ทั้งหลายได้สร้างทั้ง กุสล และอกุสลไว้ในอดีต ทำให้ได้มีภพภูมิที่อยู่อาศัย และในขณะเดียวกันก็ไปอยู่รวมตัวกันในสถานที่ที่จะเกิดภัยพิบัติ ก่อให้เกิดการสูญเสียทรัพย์สินและชีวิต สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นมาจาก โลภะ  โทสะ  โมหะ  ของเราเอง ไม่มีใครมาทำให้ ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดจากการสร้างของเราเอง ไม่ได้เกิดจากการบันดาลของผู้ใด บ้างก็บอกอ้างว่าผู้บันดาลสร้างโลก เมื่อมีเแผ่นดินไหวเกิดขึ้น เกิดการทำลาย ก็แก้ตัวอ้างว่า  ผู้บันดาลไม่ได้ตั้งใจให้เกิดการทำลายขึ้น แล้วบอกว่าทุกสิ่งเกิดขึ้นเอง ก็จะเป็นเสียเช่นนั้น

ในพระไตรปิฎก(ติปิฏก)นั้น จะมีเรื่องของแผ่นดินไหว  พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงเทสนาธัมมะเรื่องนี้มาแล้ว มีปรากฏทุกเรื่อง พระพุทธองค์ทรงทราบมาก่อนแล้ว ๒๖๐๐ กว่าปี    มิใช่เป็นของใหม่  พระตถาคตทรงทราบอยู่แล้ว  แต่เราทั้งหลาย  มิได้ค้นคว้าหลักธัมมะคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า เลยทำให้ไม่รู้คุณประโยชน์ของพระไตรปิฎก  ทุกอรรถ(อตฺถ)  ทุกธัมมะ(ธมฺม)ทั้ง  ๘๔,๐๐๐  พระธัมมขันธะ  ล้วนแต่จะนำไปสู่    มัคคะ(มคฺค)    ผละ(ผล)        นิพพานะ(นิพฺพาน)  ทั้งสิ้น   ถ้านำมาใคร่ครวญให้ถูกทาง

นักวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันก็พยายามค้นคว้า เพื่อหาวิธี เพื่อคาดคะเน  คาดเดาเอาว่า จะเกิดเหตุการณ์ แผ่นดินไหว ที่นั่น ที่นี่  ที่ไหน  เมื่อไร ก็จะเป็นความรู้อย่างหนึ่ง เพื่อป้องกันทรัพย์สินหรือชีวิตมนุษย์(มนุสฺส)    ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม  เท่าที่จะทำได้ 

วันเวลาที่เราจะได้สิกขาธัมมะ ใคร่ครวญธัมมะ   ก็มีเวลาน้อยลงไปตามลำดับ  และทุกสิ่งทุกอย่างก็ค่อยๆ  อ่อนเปลี้ย เมื่อยล้า ลงไปทุกที จนกว่าจะหมดเวลา หมดโอกาส ทำให้ต้องเวียนว่ายต่อไป ในสังสารวัฏฏะอันยาวนาน  ปล่อยให้เป็นโอกาสของคนรุ่นใหม่ๆ ที่มีกำลังแข็งแรง  มาสิกขาธัมมะตั้งแต่อายุยังน้อย  เพื่อจะได้ เห็นถูก  รู้ถูก เพื่อจะได้ทำหน้าที่ของ พุทธบริษัท๔(พุทธปริสา๔) เพื่อเป็นกำลังสำคัญ เป็นกำลังใหญ่  ที่จะส่งเสริมและจรรโลงพระพุทธศาสนาต่อไปในอนาคต   เราก็ได้แต่เพียงหวังเอาไว้เช่นนั้น.
สาธุ   สาธุ   สาธุ   อนุโมทามิ

รวบรวมเรียบเรียงโดย.....วิเสสลกฺขณมิตฺตา

วันที่   ๑๐   มิถุนายน   พุทธมหาปรินิพพาน   ๒๕๕๔

         


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น