มนุษย์(มนุสฺส)ผู้ไม่รู้สถานะของตนเอง
(มนุษย์ ผู้อุดมด้วย โลภะ โทสะ โมหะ)
ฉะนั้น ทุกคนมีความน้อยใจ เสียใจ ไม่พอใจ โกรธ เกลียด อาฆาต พยาบาท จองเวร ฯลฯ สารพัดไปหมด แม้ไม่แสดงออกทางกาย ก็แสดงออกทางวาจา ไม่แสดงออกทางวาจา ก็คิดอยู่ในใจ แต่ถ้าใครมาพูดผิดหู ก็คิดไปนาน หรือถ้าเขาตำหนิ เราก็จะคิดไปนาน น้อยใจไปนาน เสียใจไปนาน โกรธอยู่ในใจ มีสิ่งที่ไม่พอใจอยู่ภายในใจ แต่ภายนอกยิ้มแย้มเหมือนไม่มีอะไร ไม่ได้ไปทำอะไรใคร แล้วไม่สนใจธัมมะ(ธมฺม) ไม่สนใจคำสอนของพระพุทธเจ้า ถึงสนใจก็สนใจอย่างผิดๆ สนใจเพียงผิวเผิน จริงๆแล้วก็คือไม่สนใจ เลยทำให้ ผู้คนในโลกนี้ไม่รู้ สถานะ หรือ ฐานะ ของตนเอง ว่า สถานะของตนเองนั้นเป็นอะไรอยู่ในขณะนี้ เมื่อไม่รู้ เราก็อยู่ของเราไปวันๆ ต่างแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกันอย่างที่เราเห็นกันอยู่ในโลกนี้ เพราะยังไม่พบคำสอนของพระพุทธเจ้า ยังไม่ได้ศึกษา(สิกฺขา)คำสอนของพระพุทธเจ้า เพราะยังประมาทอยู่ เมื่อยังประมาทก็นึกว่าเราทำดีแล้ว เราอยู่เฉยๆ เราสงบนิ่งเงียบ เราไม่เบียดเบียนใคร เราไม่ลักขโมยของใคร เราไม่ได้ทำความเดือดร้อนให้กับใคร เลยทำให้เราไม่รู้อะไร และคนทั้งโลกก็อยู่ในระดับเดียวกันไปหมด ดำเนินชีวิตประจำวันไปตามปกติคือมีความไม่รู้เป็นฐานะนั่นเอง ไม่รู้สิ่งต่างๆ ที่เขาเป็นอยู่อย่างนี้ เรียกว่า “อวิชชา(อวิชฺชา)” หรือ “ปฏิจจสมุปบาท(ปฏิจฺจสมุปฺปาท)” รู้แต่ว่าเป็น “ธรรมชาติ” นึกเอาเองว่าทุกอย่างที่ได้รับทาง ตา หู จมูก ลิ้น กายนั้นเป็นธรรมชาติ จึงทำให้เข้าใจผิดว่า ธัมมะ(ธมฺม) คือ ธรรมชาติ แล้วนำมาสอนกันไปทั่วโลก ทำให้มองดูเหมือนกับว่า ธรรมอันเกิดจากความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้านั้นเป็นเรื่องตื้นเขิน ทั้งๆที่ธัมมะของพระพุทธเจ้านั้นเป็น “ธัมมคัมภีระ(ธมฺมคมฺภีร)” ยากนักที่เวไนยสัตวะ(เวเนยฺยสตฺตา)จะรู้ตามได้อย่างง่ายดาย พระพุทธองค์ทรงใช้เวลายาวนาน ๒๐ อสงไขย(อสงฺเขยฺย) กำไรแสนกัป(กปฺป) เพื่อจะมาตรัสรู้ธัมมะ(ธมฺม)นั้น ฉะนั้น เมื่อพระผู้มีภาคเจ้าตรัสรู้วันแรกสัปดาห์แรกทรงพิจารณาเรื่อง ปฏิจจสมุปปาทธัมม(ปฏิจฺจสมุปฺปปาทธมฺม) คือ ได้ทรงมองเห็นสภาวะทั้งหมด มี อวิชชา เป็นตัวต้น ถ้า ดับอวิชชา ได้ตัวเชื่อมโยงต่อเนื่อง ได้แก่ สังขาร(สงฺขาร) วิญญาณ(วิญฺาณ) นามรูป(นามรูป) สฬายตนะ(สฬายตน) ผัสสะ(ผสฺส) เวทนา(เวทนา) ตัณหา(ตณฺหา) อุปาทาน(อุปาทาน) ภพ(ภว) ชาติ(ชาติ) ชรา(ชรา) มรณะ(มรณ) ทุกข์(ทุกฺข) โทมนัส(โทมนสฺ) อุปายาส(อุปายาส) ก็ดับ ตัดรูป ตัดนาม ตัดการเวียนว่าย ในสังสารวัฏฏะ(สงฺสารวฏฺฏ) ๓๑ ภูมิ ก็บรรลุอาสวักขยญาณ(อาสวกฺขยาณ)
๓๑ ภูมิ ได้แก่ : อบายภูมิ๔(อปายภูมิ๔) มนุษย์๑(มนุสฺส๑) เทวดา๖(เทวตา ๖) พรหม ๑๖ และอรูปพรหม ๔
สิ่งที่เราทุกคนที่เกิดมา ไม่ว่าจะเป็นสัตว์นรก(นิรย) สัตว์เดรัจฉาน(ติรัจฉาน) เปรต(เปต) อสุรกาย(อสุรกาย) มนุษย์(มนุสฺส) เทวดา(เทวตา) พรหม ล้วนแต่ยังมี “อกุสลจิต(อกุสลจิตฺต)” ปกติชีวิตประจำวันของเราคือ ประกอบด้วย อกุสลจิต ๑๒ (โลภจิต๘ โทสจิต๒ โมหจิต๒) เรามีโอกาสเป็นดั่งที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า : “มนุษย์ในโลกนี้ ขึ้นสวรรค์เท่าเขาโค ลงนรกเท่าขนโค” เพราะเขาโคมีเพียงคู่เดียว แต่ขนโคมีทั่วทั้งตัว
เราต้องทราบสถานะของเราก่อนว่า เรามีแต่ โลภะ โทสะ โมหะ เป็นพื้นฐาน วิถีมนุษย์ คือ ผู้ไม่รู้สถานะของตนเอง โลกจึงวุ่นวาย ขัดแย้ง ทำลายล้าง ปุถุชนในโลกนี้ ผลของความดีในอดีต(อตีต)ทำให้ได้เกิดเป็นคน เราเคยสร้างกุสล มหากุสล เป็น มหาวิปาก ส่งผลให้ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ แต่คนส่วนมากเข้าใจว่าตนเองเป็นมนุษย์ผู้ประเสริฐ จึงหลงตนเอง เมื่อมีรูป ๒๘ อาการครบ ๔๒ ประการ ปุถุชนขณะเมื่ออยู่ในครรภ์มารดาก็จะแสดงอาการของความโลภ โกรธ หลง เช่น ดำรงอยู่ในครรภ์มารดาโดยไม่รู้อะไรเป็นโลภะ ดิ้นกระทุ้งท้องมารดาเป็นโทสะ เมื่อคลอดออกมาจะส่งเสียงร้องเสียงดังก็เป็นอาการของโทสะ ความเป็นตัวตนของความเป็นทารก เป็นโมหะ
ขณะเมื่ออยู่ในวัยเด็ก วัยหนุ่ม หรือวัยแก่ จะหมกมุ่นอยู่กับการศึกษาตั้งแต่ระดับอนุบาล ประถม มัธยม อุดมศึกษา จนถึงปริญญาตรี โท เอก ขณะเดียวกัน ความโลภ โกรธ หลงก็เพิ่มพูนไปตามวุฒิ ตำแหน่ง อำนาจ ยิ่งมีวุฒิ ตำแหน่ง อำนาจสูงเท่าไร ก็จะหงุดหงิดง่าย โมโหง่าย เอาแต่ใจตนเอง หงุดหงิด เครียด ฟุ้งซ่าน เข้าใจว่าตนมีความสามารถ เป็นผู้ควบคุม สั่งให้ผู้อื่นคิดหรือทำตามความต้องการของตนได้เสมอ ฯลฯ การหาเลี้ยงชีพ การทำงานทุกชนิด หรือการแสวงหาปัจจัย ๔ ได้แก่ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรค ตลอดจนการหลงเชื่อในคำสอนของเจ้าลัทธิ หรือศาสดาต่างๆ ของโลก ที่บอกว่าสามารถสร้างโลก สร้างดวงอาทิตย์ สร้างดวงจันทร์ สร้างมนุษย์ ฯลฯ หรือบันดาลให้ทุกสิ่งเป็นไปตามบัญชาของผู้บันดาล การสวดอ้อนวอน การบูชายัญ การกระทำพิธีกรรมต่างๆ ตามแต่จะตั้งขึ้น ถ้าไม่เชื่อก็กลัวว่าจะถูกลงโทษจากผู้บันดาลทั้งหลาย กลัวไม่ได้ในสิ่งที่ปรารถนา กลัวมีอุปสรรคขัดขวางต่างๆ นานา เป็นความหลงงมงายอย่างยิ่ง บ้างคิดว่าตนเองเป็นคนดี ไม่ทำความเดือนร้อนให้ใคร แต่ภายในจิตใจของตนเองร้อนไปด้วยความโกรธ โลภ หลง
ปุถุชนจึงตกอยู่ภายใต้ โลภเหตุ ๘ โทสเหตุ ๒ และโมหเหตุ ๑๒ คือ อกุสลเหตุ ๒๒ กระทำกัมม(กมฺม)ขึ้นด้วย อกุสลเหตุ ๒๒ เช่น ในชีวิตประจำวัน จิตใจของทุกคนเต็มไปด้วยความฟุ้งซ่าน คิดมาก หงุดหงิด น้อยใจ เสียใจ รำคาญใจ ทนอะไรไม่ได้ มีความต้องการไม่มีที่สิ้นสุด เป็นไปในเรื่องกาม กิน เกียรติ ฟุ้งเฟ้อ ทะเยอทะยาน เรียกร้องผลประโยชน์ของตนเอง เอารัดเอาเปรียบ คดโกง คอรัปชั่น เบียดเบียนผู้อื่น มีความกลัว เช่น กลัวฟ้าแลบ กลัวฟ้าร้อง กลัวฟ้าผ่า กลัวตาย กลัวเจ็บ กลัวไม่มีจะกิน กลัวไม่ได้บุญกุศล(ปุญฺกุสล) กลัวเหนื่อย กลัวทรมาน กลัวลำบาก จิตใจทรมาน ฟุ้งซ่านตลอดเวลา แม้หลับก็ฝัน คือถ้าไม่เกิดทางวาจา ก็ไปเกิดทางกาย ถ้าไม่เกิดทางกาย ก็ไปเกิดทางใจอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา ชีวิตประจำวันล้วนแล้วไปด้วย อกุสลสังคหะ ๙ :
๑. อาสวอกุสลสังคหะ ๔
๒. โอฆอกุสลสังคหะ ๔
๓. โยคอกุสลสังคหะ ๔
๔. คันถอกุสลสังคหะ ๔
๕. อุปาทานอกุสลสังคหะ ๔
๖. นิวรณอกุสลสังคหะ ๖
๗. อนุสยอกุสลสังคหะ ๗
๘. สังโยชนอกุสลสังคหะ ๑๐
๙. กิเลสอกุสลสังคหะ ๑๐
อกุสลสังคหะ๙ สะสมหมักดองเป็นป่ารกชัฏอยู่ในจิตใจเรา เป็นป่าหนาทึบทำลายล้างยาก นอกจากได้รับคำสอนขององค์พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า นอกจากนี้ยังกระทำผิด นอกคำสอนของพระพุทธเจ้า อันเกิดจากความไม่รู้ เป็น มิจฉาทิฏฐิ... มิจฉาสติ... มิจฉาสมาธิ... มิจฉาญาณ ... มิจฉาวิมุตติ ประพฤตินอกพระธัมมวินัย(ธมฺมวินย) เป็นหมอดู หมอเดา ปลุกเสก ทำนายทายทัก ทำนายโชคชะตาราศี ทำนายลักษณะ หรือทำนายนิมิต ให้ฤกษ์ ให้ยาม โดยหวังอามิสสินจ้างเป็นรางวัล เป็นหลักเป็นการสร้าง อกุสลกัมมปถ๑๐(อกุสลกมฺมปถ ๑๐ )
อกุสลกัมมปถ ๑๐(อกุสลกมฺมปถ ๑๐) ประกอบด้วย :
กายกัมมอกุสล(กายกมฺมอกุสล)๓ หรือ กายทุจริต ๓ ประกอบด้วย :
๑. ปาณาติปาตะ(ปาณาติปาต)… (ฆ่าสัตว์)
๒. อทินนาทานะ(อทินฺนาทาน)… (ลักทรัพย์)
๓. กาเมสุมิจฉาจาระ(กาเมสุมิจฺฉาจาร)… (ประพฤติผิดในกาม)
วจีกัมมอกุสล(วจีกมฺมอกุสล)๔ หรือ วจีทุจริต๔ ประกอบด้วย :
๑. มุสาวาทะ(มุสาวาท)… (พูดเท็จ)
๒.ปิสุณวาทะ(ปิสุณวาท)…(พูดส่อเสียดให้เกิดความแตกแยก)
๓. ผรุสวาทะ(ผรุสวาท)… (พูดคำชั่ว หยาบ)
๔.สัมผัปปลาปะ(สมฺผปฺปลาป)… (พูดเพ้อเจ้อไร้สาระ)
มโนกัมมอกุสล(มโนกมฺมอกุสล) ๓ หรือ มโนทุจริต ๓ ประกอบด้วย:
๑. อภิชฌา(อภิชฺฌา)… (เพ่งเล็งโลภ อยากได้ของเขา)
๒. พยาปาทะ(พยาปาท)… (อาฆาต พยาบาท)
๓. มิจฉาทิฏฐิ(มิจฺฉาทิฏฺฐิ)… (มีความเห็นผิด)
ผลจากการสร้าง อกุสลกัมมปถ๑๐(อกุสลกมฺมปถ ๑๐) จาก อกุสลจิต๑๒(อกุสลจิตฺต ๑๒) เก็บไว้ใน อกุสลวิปากจิต๑(อกุสลวิปากจิตฺต ๑) คือ อุเปกขาสหคตัง สันตีรณจิตตัง อสังขาริกัง กามาวจร อกุสลวิปากจิตตัง นำไปเกิดใน อปายภูมิ ๔ ได้แก่ สัตวนรกะ เปตะ อสุรกายะ สัตวติรัจฉานะ ส่วนใหญ่ไป มหาตาปนนรก (มหานรกขุม ๗) และ อเวจีมหานรก (มหานรกขุม ๘)ไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด ดังพระพุทธวจนะว่า : “ลงนรกเท่าขนโค” เพราะขนโคมีทั่วตัว หมดกัมมะ(กมฺม)จากสัตวนรก กลับมาเป็น เปรต อสุรกาย สัตวเดรัจฉาน ใช้เวลาอยู่ในอบายภูมิเป็นเวลายาวนาน โอกาสจะได้เกิดเป็นมนุษย์ เทวดา สุดแสนยากลำบากเป็นอย่างยิ่ง
พวกที่ใช้หลักลัทธิทำลายล้าง สร้างความงมงายให้คนในโลก ปิดกั้นความรู้จริง เช่น บอกว่า ผู้บันดาลประทานสัตว์ทุกชนิดมาให้เพื่อเลี้ยงชีวิตสูเจ้าทั้งหลาย ฆ่าได้ไม่บาป ฯลฯ แต่ในความเป็นจริง สัตว์เดรัจฉาน ก็รักชีวิต เช่นเดียวกับ มนุษย์ ไม่มีสัตว์ตัวไหนวิ่งมาลงหม้อแกงให้มนุษย์ต้มกิน มีแต่จะหนีจนสุดชีวิต มนุษย์ทุกชาติ ทุกเผ่าพันธุ์ ทุกลัทธิ จะตกนรก เหมือนกันหมด ทั้งนี้เพราะทุกคนมี โลภะเหมือนกัน โทสะเหมือนกัน และโมหะเหมือนกัน ส่วน นรกของเจ้าลัทธิต่างๆ นั้นล้วนเกิดจาก ความหลงไม่รู้ จึงตั้งขึ้นมาตามใจชอบ เพื่อผลประโยชน์ทั้งสิ้น ล้วนเป็นไปเพื่อโลภะ โทสะ โมหะ และผู้ตั้งเหล่านี้ล้วนไปอเวจีแล้วทั้งสิ้น
ถ้าเวลาเราจะตาย เรานึกถึงการให้อาหารสัตว์ทั่วไปที่ไม่ได้นำมาเลี้ยง โดยให้ทาน(ทาน)เป็นสาธารณะ เช่น นึกถึงก้อนข้าวที่เคยให้นกกาเพียงก้อนเดียว หรือแจกทานแก่บุคคลทั่วไปที่ไม่เฉพาะเจาะจงรวมทั้งผู้รับมีกุศลจิต(กุสลจิตฺต) มีฌานจิต อรูปฌานจิตและโลกุตตรจิต อานิสงส์ก็จะทับทวีไปตามลำดับ เป็นเหตุให้ขึ้นสวรรค์ได้ ดั่งพระพุทธวจนะว่า : “ขึ้นสวรรค์เท่าเขาโค” คือมีจำนวนน้อยที่จะได้ไปสู่สุคติภูมิโลกสวรรค์ เพราะเขาโคมีเพียงคู่เดียว
เมื่อเราทราบสถานะของเราแล้วว่าเป็นอย่างไร เราจะได้ศึกษาธัมมะ(สิกฺขาธมฺม)อย่างถูกต้อง ส่วนมากที่เราศึกษาธัมมะ เรามักจะไปตามสำนักต่างๆ ไปถึงแล้วก็เรียกว่าเข้าปฏิบัติเลย ส่วนมากเขาจะสอนกันว่า “ไปนั่งเลย ไม่ต้องอ่านปริยัติ ปฏิบัติได้เลย ถ้าอ่านปริยัติแล้วจะสับสน” พูดไปโดยไม่รู้ว่า ปริยัตติ(ปริยตฺติ)คืออะไร?
ปริยัตติ คือ พระพุทธวจนะ ๘๔,๐๐๐ พระธัมมขันธะ(ธมฺมขนฺธ) ซึ่งเกิดจากความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า บางสำนักก็บอกให้จำคำสอนของอาจารย์อย่างเดียว ระหว่างคำสอนของอาจารย์ กับ คำสอนของพระพุทธเจ้า อย่างไหนจะดีกว่ากัน ? เราก็จะเริ่มเข้าใจผิด นั่งไปก็มิจฉาทิฏฐิตลอด (ถ้าตามอาจารย์จะเป็นมิจฉาทิฏฐิ) การเกิดเป็นมนุษย์(มนุสฺส) ถือว่ามาจากมหากุสลจิต(มหากุสลจิตฺต) และสามารถจะพัฒนาได้ ถ้าได้รับคำสอนถูกต้องตามพระธัมมะ(ธมฺม)คำสอนของพระพุทธเจ้า
ปกติชีวิตเราประกอบด้วย โลภะ ๘ โทสะ ๒ โมหะ ๒ มาตั้งแต่เกิด ดูเด็กที่เกิดมาจะร้องทุกคน ร้องด้วยโมหะ โทสะ เตะถีบท้องแม่มาตั้งแต่อยู่ในท้อง แต่แม่ก็ดีใจว่าลูกดิ้นได้ ออกจากท้องแม่ก็ร้องเสียงดังด้วยโทสะ ชีวิตประจำวันของเรามีแต่ เติมโลภะ โทสะ โมหะเข้าไป ปกติชีวิตประจำวันของเรามีแต่พาไปอปายภูมิ เราเติมสิ่งที่เกิดจากทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ซึ่งเป็นโลภะ โทสะ โมหะ อยู่แล้ว ถ้าไม่รู้ธัมมะ(ธมฺม)ของพระพุทธเจ้า เวลาจะเติมธัมมะที่เป็นญาณะหรือพูดธัมมะที่เป็นกุสลถูกต้องไม่มี จะนึกถึงธัมมะเป็นสรณะก็ไม่มี มีแต่พอใจ ไม่พอใจ น้อยใจ เสียใจ ถูกใจ ไม่ถูกใจ โกรธ เกลียด อาฆาต พยาบาท จองเวร เครียด กลุ้ม ฟุ้งซ่าน รำคาญใจ ฯลฯ เพราะเหตุที่เราเติมแต่ อกุสล
ตามองเห็นคนนั้นคนนี้ คนนั้นทำไมอย่างนี้ คนนี้ทำไมอย่างนั้น
หูได้ยินเสียง เสียงคนนี้เราชอบ เสียงคนนี้เราไม่ชอบ รำคาญที่จะฟัง ไม่อยากฟัง
จมูกชอบกลิ่นหอม ไม่ชอบกลิ่นเหม็น
หูได้ยินเสียง เสียงคนนี้เราชอบ เสียงคนนี้เราไม่ชอบ รำคาญที่จะฟัง ไม่อยากฟัง
จมูกชอบกลิ่นหอม ไม่ชอบกลิ่นเหม็น
ลิ้นลิ้มรสอาหาร อาหารทำไมขาดเค็ม ขาดหวาน ขาดเปรี้ยว ขอเกลือ ขอน้ำตาล ขอมะนาวหน่อย ก็โลภะอีก พอได้มาไม่ถูกใจก็โทสะ
กายสัมผัส เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ความพอใจ ความไม่พอใจก็บังเกิดขึ้น
ใจนึกคิดต่าง ๆ นานา ล้วนเป็นไปในโลภะ โทสะ โมหะ
ไม่มีกุสลจิตฺตให้เจอะเจอ หรือมีก็น้อยมาก ล้วนพาให้เราเวียนว่ายในวัฏฏสงสาร(วฏฺฏสงฺสาร) เวียนว่ายตายเกิดชาติแล้วชาติเล่า จนกว่าเราจะได้รับพุทธธัมมะคำสอน คนเกิดมาเวียนว่าย ในกามาวจร เต็มไปด้วยโลภะ โทสะ โมหะ เราต้องศึกษาเล่าเรียนหนังสือ ต้องประกอบอาชีพการงานต่าง ๆ ทุกอย่างทำไปเพื่อโลภะ โทสะ โมหะ เราต้องรู้ฐานะของตัวเราก่อนว่า เดี๋ยวนี้เราอยู่ในขั้นไหน ? ถ้าเรารู้ตัวเราแล้ว เราจะเริ่มหนีกฎตรงนี้ ถ้าเรารู้อีกว่าเราอยู่ใน กฎของอปายภูมิ ทำอย่างไร? เราจึงจะหนีอปายภูมิได้ เรามีที่พึ่งเพียงอย่างเดียวคือ “คำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า” และสิ่งที่เป็นพื้นฐานของชีวิตคือ “พระอภิธัมมะ(อภิธมฺม)” ที่มี ปรมัตถธัมมะ(ปรมตฺถธมฺม) ในเรื่องของ จิต(จิตฺต) เจตสิก(เจตสิก) รูป(รูป) นิพพาน(นิพฺพาน) น้อมนำเข้าสู่จิตใจของเรา เพื่อให้ พระพุทธเจ้า (ธัมมะของพระพุทธเจ้า) เป็นผู้นำทางให้จิตของเราเข้าสู่กระแสธัมมะ
ความตรัสรู้ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งทรงเทสนาโปรดเวไนยสัตว์เป็น “พระพุทธวจนะ(พุทธวจน)” หรือที่เรียกว่า “ปริยัตติ(ปริยตฺติ)” คือ “พระไตรปิฎก(ติปิฏก)” ซึ่งประมวล “พระธัมมะ ๘๔,๐๐๐ พระธัมมขันธะ” ประกอบด้วย :
๑. พระวินัย(วินย) ๒๑,๐๐๐ พระธัมมขันธะ(ธมฺมขนฺธ)
๒. พระสูตร(สุตฺตนฺต) ๒๑,๐๐๐ พระธัมมขันธะ
๓. พระอภิธัมมะ(อภิธมฺม) ๔๒,๐๐๐ พระธัมมขันธะ
พระพุทธวจนะ ล้วนเป็นธัมมะที่เป็น “ญาณะ” ความรู้ถูกที่ออกมาจากพระโอษฐ์ของพระผู้มีพระภาคเจ้า ซึ่งมาจากมหากิริยาจิตของพุทธะ เมื่อถึง วันเพ็ญขึ้น ๑๕ ค่ำ วิสาขมาส (เดือน ๖) ซึ่งเป็น “วันตรัสรู้ พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ” พระพุทธดำรัสซึ่งเริ่มจาก “พระธัมมจักกัปปวัตตนสูตร (ธมฺมจกฺกปฺปวตฺตนสุตฺต)” เป็นต้นไป ตลอด ๘๔,๐๐๐ พระธัมมขันธะ ล้วนเป็นธัมมะแห่งการดำเนินสู่สุคติภูมิของมนุษย์ เทวดา และพรหม เป็นธัมมะที่เป็น “มัชฌิมาปฏิปทา(มชฺฌิมาปฏิปทา)” น้อมนำไปสู่กระแส “โลกุตตระ” คือ วีสติอริยมัคคะ(วีสติอริยมคฺค ) วีสติสามัญญผละ(วีสติสามญฺผล) เอกนิพพานะ(เอกนิพฺพาน) ทั้งสิ้น
“จิตปุถุชน” เป็นจิตที่ตกอยู่ใน โลภเหตุ ๘ โทสเหตุ ๒ โมหเหตุ ๑๒ ซึ่งมีจิตที่เป็นมหากุสลจิตตะ ๘ น้อยมาก พร้อมที่จะตกอปายภูมิได้ตลอดเวลา ดังนั้น เมื่อไม่ต้องการที่จะตกอปายภูมิ จึงต้องเติมความรู้ถูกจากพระผู้มีพระภาคเจ้า จิตที่พร้อมจะรับความรู้จากการตรัสรู้ของพระผู้มีพระภาคเจ้าคือ จิตฝ่าย “ญาณสัมปยุตตจิตตะ” เริ่มตั้งแต่ กามาวจรโสภณฝ่ายมหากุสลจิตตะ เป็นต้นไป เป็นจิตที่พร้อมจะรับธัมมจากพระผู้มีพระภาคเจ้า ซึ่งเป็น ปริยัตติ(ปริยตฺติ) นำไปสู่ ปฏิปัตติ(ปฏิปตฺติ) เพื่อให้ถึงซึ่ง ปฏิเวธะ(ปฏิเวธ) เพื่อหลุดพ้นออกจาก สังสารวัฏฏะ อันประกอบด้วย ๓๑ ภูมิ คือ อรูปพรหม ๔ รูปพรหม ๑๖ เทวตา ๖ มนุสสะ ๑ และอปายภูมิ ๔ คือ สัตวนรกะ เปตะ อสุรกายะ และสัตวติรัจฉานะ
เนื่องจากธัมมะที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงโปรดเวไนยสัตวะนั้น เป็นธัมมะที่สุขุม ลุ่มลึก คัมภีระ ยากที่ปุถุชนจะเข้าใจได้ถ่องแท้ ดังพระพุทธรำพึงว่า : “ธัมมะ(ธมฺม)ที่ตถาคต ได้บรรลุแล้วนี้ ลึก ซึ้ง
เห็นได้ยาก รู้ตามได้ยาก สงบ ประณีต(ปณีต) มิใช่วิสัยแห่งตรรก(ตกฺก) คือ คิดเอาเองไม่ได้ หรือไม่ควรลงความเห็นด้วยการเดา แต่เป็นธัมมะที่บัณฑิต(ปณฺฑิต)พอจะรู้ได้” การสิกขาธัมมะ(สิกฺขาธมฺม)ในพระพุทธศาสนานี้ จะต้องตั้งใจแน่วแน่ที่ว่าจะสิกขาธัมมะที่เป็นพระพุทธวจนะใน พระติปิฎกะ สิ่งที่ปรากฏในพระติปิฎกะ คือ สัจจธัมมะ(สจฺจธมฺม) แต่เมื่อเราอ่านแล้วไม่เข้าใจ เนื่องจากพื้นธัมมะที่เราได้สะสมมานั้นมีน้อย ไม่สามารถเข้าใจธัมมะได้ถ่องแท้ แจ่มแจ้ง แต่พระอริยบุคคล(อริยปุคฺคล)ท่านเข้าใจได้เป็นอย่างดี และสามารถบรรลุธัมมะได้เฉียบพลัน เพราะเหตุที่ท่านได้สะสมภูมิธัมมะมาดีแล้วด้วยความอดทน ด้วยความมุ่งมั่น ชาติแล้วชาติเล่า ตายแล้วเกิด เกิดแล้วตาย ถ้าตายแล้วได้เกิดเป็นมนุษย์(มนุสฺส)ก็โชคดีหน่อย เพราะได้พบพระพุทธศาสนา(พุทธสาสนา)แล้วได้มาสิกขาธัมมะ(สิกฺขาธมฺม) แต่ถ้าเกิดเป็นมนุษย์แล้วไม่พบพระพุทธศาสนาก็โชคร้าย หรือเกิดมาพบพระพุทธศาสนาแล้วก็ไม่สนใจอีกต่างหาก นับว่าเป็นผู้โชคร้ายเป็นอย่างยิ่ง
ต้นไม้ทั้งหลายที่ออกดอกออกผล ถ้ามีอาหารอุดมสมบูรณ์ ไม่ว่าอยู่บนอากาศ บนหิน ดิน ทราย ถ้ามีอาหารสมบูรณ์ก็ปลูกขึ้นได้ หรือเราใส่ปุ๋ย รากต้นไม้ก็จะดูดอาหาร แบ่งปันกันกับวัชชพืชทั่วไป เสร็จแล้วก็เจริญเติบโต ออกดอกออกผลงอกงาม ใบสมบูรณ์งดงาม เป็นอย่างนี้เพราะรากต้นไม้ได้รับอาหารที่ถูกต้อง เมื่อถูกต้องมีการปรุงกันภายใน แล้วผลิตกันภายใน ออกมาเป็นใบเป็นดอกเป็นผล เช่นเดียวกัน เราเปรียบปุ๋ยต้นไม้นี้ คือ หลักธัมมะคำสอน ของพระผู้มีพระภาคเจ้า เราสิกขาถูกต้องตาม พุทธธัมมะ ๘๔,๐๐๐ พระธัมมขันธะ เมื่อสิ่งที่ใส่เข้าไปในจิตถูกต้อง สิ่งที่สิกขาก็มาจากตา หู จมูก ลิ้น กาย ของเราที่รับธัมมะส่งเข้าไปในจิต และในที่สุดก็ออกดอกออกผลมาเป็นธัมมะ ถ้าไม่มีอะไรใส่เข้าไป แล้วจะมีอะไรออกมา เปรียบเหมือนคอมพิวเตอร์ เมื่อเราเติมข้อมูลที่ถูกต้องเข้าไปในคอมพิวเตอร์ ผลที่ออกมาก็ถูกต้อง แต่ถ้าเติมข้อมูลผิด ผลที่ออกมาก็ผิด การที่บอกว่านั่งแล้วจะรู้เอง มีตัวผู้ผุดขึ้นมาเอง เมื่อไรธธัมมะจะออกมา เราไม่ใช่วิสัยพุทธะที่จะได้รู้เองได้ ถ้าเป็นวิสัยพุทธะก็เป็นอีกอย่าง เพราะปรารถนาพุทธภูมิ แต่เราไม่มีอะไรเลย มีแต่โลภะ โทสะ โมหะ มีกุสลบ้างก็นิดหน่อย เราต้องสิกขาธัมมะที่ถูกต้องใส่เข้าไปในจิต แล้วรอผลที่จะเกิดขึ้น เหมือนเราเติมปุ๋ยให้ต้นไม้ต้องรอคอยวันเวลาจนกว่าต้นไม้จะเจริญเติบโต ออกดอกออกผล เมื่อไรเราไม่รู้ เราไม่มีธัมมะอยู่ในตัว มีแต่ โลภะ ความโลภ เห็นอะไรก็อยากได้ เห็นอะไรก็อยากซื้อไปหมด แล้วก็มี โทสะ น้อยใจ เสียใจ ไม่พอใจ โกรธ เกลียด อาฆาต พยาบาท แล้วก็มี โมหะที่ประกอบอยู่ในโลภะ โทสะ และโมหะ มีแต่โลภะ โทสะ โมหะ แล้วจะไม่ให้เราฟุ้งซ่านได้อย่างไร ? จะไม่ให้เราปวดหัวได้อย่างไร ? จะไม่ให้เราคิดมากได้อย่างไร ? จะไม่ให้เราเจ็บช้ำน้ำใจได้อย่างไร ? เราทำตัวเราเอง ไม่มีใครมาทำให้เรา แต่เรามักจะโทษผู้อื่น ไม่เคยโทษตัวเองเลยสักครั้งเดียว ปุถุชนก็จะเป็นเช่นนี้เสมอ
เราทำงานมีความหวังการเลื่อนตำแหน่ง ๒ ขั้น เรามุ่งมั่นทำงานหนักระดับนี้ ต้องได้ ๒ ขั้น เกิดเราได้ครึ่งขั้นขึ้นมา อะไรจะเกิดขึ้น ? โทสะเกิด คิดมากอย่างหนัก เราเติม โลภะ โทสะ โมหะ ก็ออกผลเป็น โลภะ โทสะ โมหะ เพราะฉะนั้นชีวิตประจำวันของเรา ก็มีแต่โลภะ โทสะ โมหะ ไม่ได้มีกุสลเลย เพราะเราเติมแต่อกุสล เติมอกุสลเป็นปุ๋ย เป็น ปุ๋ยโลภะ ปุ๋ยโทสะ ปุ๋ยโมหะ ฉะนั้น จะไม่ให้เราไม่เครียดได้อย่างไร ? ชีวิตเราเครียดตลอดเวลา เครียดเพราะ เรากินโลภะ ๘ กินโทสะ ๒ กินโมหะ ๒ ตรงนี้เราเรียก “เหตุ” เรากินโลภเหตุ ๘ กินโทสเหตุ ๒ กินโมหเหตุ ๑๒ เป็นอกุสลเหตุ ๒๒ ผลออกมาก็เป็น โลภะ โทสะ โมหะ พาไป อปายภูมิ โดยแน่นอน
บางครั้งเราจะพูดว่า “เราอยากได้ดี เราอยากบรรลุธัมมะ เมื่อไรจะได้ ปฏิบัติ(ภาษาไทย)มานานแล้วไม่เห็นจะได้อะไรเลย” ความจริงแล้วเราทำมาไม่เท่าไร ทำมาไม่กี่วัน ทำมาไม่กี่วินาทีเท่านั้นเอง นอกนั้นมีแต่ โลภะ โทสะ โมหะ พอจะอ่านพระติปิฎกะก็บอกว่ายาก อ่านไม่เข้าใจ ปิดหนังสือดีกว่า พอจะมาฟังพูดธัมมะก็บอกว่ายาก ฟังไม่เข้าใจ ไม่ฟังดีกว่า พอบอกให้ท่อง จิต(จิตตะ) เจตสิก(เจตสิกะ) รูป(รูปะ) พระสูตร(พระสุตตันตะ)ต่างๆ ก็ว่าคนอื่นเขาท่อง เขาเจริญธัมมะได้กันหมดแล้ว เอ ! เราจะท่องได้หรือไม่นี่ ทำให้เกิดความท้อใจ ไม่ท่องดีกว่า เพราะคิดว่าตามคนอื่นไม่ทัน จะเสียหน้า ! โทสะทำงาน ไม่มีญาณะ โทสะทำให้ปวดศีรษะ เพราะไปเปรียบเทียบกับคนอื่นที่เขาเจริญธัมมะได้แล้ว เพราะเขาขยันกว่าเรา
ในชีวิตประจำวันของเราล้วนแล้วไปด้วย โลภะ โทสะ โมหะ เช่น เราเห็นแจกันดอกไม้ตั้งอยู่บนโต๊ะ เป็นโลภะ มีคนมาขยับเปลี่ยนที่ตั้งของแจกัน ก็ว่าใครนะ!มาเปลี่ยนที่แจกัน เกิดโทสะ หรือมีคนมาทำแจกันแตก เกิดโทสะ หรือมีคนมาจัดดอกไม้ในแจกันผิดแบบก็ว่า จัดแบบนี้ไม่ดี ไม่งาม ควรจัดแบบนี้ แบบโน้น เกิดโทสะอีก และโมหะก็มีอยู่ในโทสะ เรามีแต่โลภะ โทสะ โมหะในชีวิตประจำวัน รับประทานอาหารก็เป็นโลภะ
สำหรับพระภิกขุ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงวางพระวินัย(วินย)ไว้ให้ว่า เมื่อพระภิกขุรับบิณฑบาต(ปิณฺฑปาต)แล้ว ก่อนฉันภัตตาหาร ต้องยะถาปัจจะยัง ฯ พิจารณาปิณฑปาตะ ขณะฉันภัตตาหาร ต้องปะฏิสังขาโย ฯ หลังจากฉันภัตตาหารเสร็จแล้ว ต้องอัชชะมะยา ฯ หรือพิจารณาปัจจัย ๔ ไม่ว่าจะเป็น จีวร(จีวร) บิณฑบาต(ปิณฺฑปาต) เสนาสนะ(เสนาสน) คิลานเภสัช(คิลานเภสชฺชปริขาร) พระพุทธองค์ไม่ให้เกิดความว่างเว้น ไม่ว่ายืน เดิน นั่ง นอน สารพัดทุกอย่าง ทรงป้องกันพุทธสาวกไว้ให้หมด แทบไม่ให้ออกนอกธัมมะ
เราทุกคนไม่มีภูมิธัมมะอันใดทั้งสิ้น เราเกิดมาเพื่อพึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าเท่านั้น เราไม่ได้มีความรู้ใดๆ ต้องอาศัยภูมิธัมมะของพระพุทธองค์ แล้วดำเนินรอยตาม ให้พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นผู้นำทาง พระพุทธเจ้าทรงชี้เรื่องโลภะเป็นอย่างไร โทสะเป็นอย่างไร โมหะเป็นอย่างไร ญาณะเป็นอย่างไร เพื่อให้ถึงมัคคะ ผละ นิพพานะ จิตของเราต้องนำธัมมะของพระพุทธองค์ใส่เข้าไปอย่างเดียวแล้วแต่จะออกมาอย่างไร แต่ต้องเติมธัมมะใส่เข้าไป วันใดวันหนึ่งจะออกผลมาแน่นอน ออกมาเป็นของถูกต้อง เป็นธัมมะถูกต้อง เหมือนคอมพิวเตอร์ เมื่อใส่ข้อมูลถูกผลจะออกมาถูก แต่ถ้าใส่ข้อมูลผิด ผลก็จะออกมาผิด ธัมมะ(ธมฺม)ก็เช่นกัน ถ้าใส่ข้อมูลผิด เป็นมิจฉาทิฏฐิ ไปอบายภูมิ(อปายภูมิ)
ใครที่ชอบดูหมอดูลายมือ ทำนายโชคชะตาทั้งหลาย เมื่อดูแล้วได้รับคำตอบคำทำนายที่ไม่ถูกใจ ดูเสร็จแล้วเกิดความเศร้าหมอง วิธีแก้ ให้เจริญธัมมะสวดมนต์ไหว้พระรัตนตรัย คำว่า ”สวดมนต์” คือการนำ พระติปิฏกะ(พระไตรปิฎก)มาเจริญ คือ การเจริญธัมมะคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า
การที่พระภิกขุสวดมนต์ คือ การนำธัมมะของพระพุทธเจ้ามาแสดง "สวดมนต์ หรือ เจริญธัมมะ เป็น พุทธประเพณี" เราไม่รู้ นึกว่า สวดมนต์ คือ เอามนต์มาใส่ตัว สวดมนต์ เป็น พุทธประเพณี เกิดขึ้นเมื่อ พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จไปฉันภัตตกิจ(ภตฺตกิจฺจ) ฉันภัตตาหารเสร็จแล้ว จะทรงแสดงธัมมะ ธัมมะที่พระพุทธองค์ทรงแสดงออกมาจะเป็นพระสูตรต่างๆ เป็นพระธัมมวินัยจำนวนถึง ๘๔๐๐๐ พระธัมมขันธะ ไม่ว่าที่ใด ถ้าวัตรใด นำธัมมะเรื่อง พระวินัย...พระสูตร...และพระอภิธัมมะ มาแสดง คือ การแสดงธัมมะ
ฉะนั้น เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ หรือ เสด็จดับขันธปรินิพพานไปแล้ว เมื่อพระภิกขุสงฆ์รับกิจนิมนต์ไปฉันภัตตกิจ ณ ที่ใดก็ตาม จะนำธัมมะที่ได้รับจากพระผู้มีพระภาคเจ้านั้นมาเจริญ เรียกว่า "สวดมนต์" คือ พระธัมมเทสนา มาสวด คือ มาเจริญ มาสิกขาพระไตรปิฎก(ติปิฏก) มาเจริญธัมมะ มาสิกขาพระธัมมเทสนาที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ ฉะนั้นเวลาพระภิกขุสงฆ์รับกิจนิมนต์ไปตามบ้านต่างๆ จะอัญเชิญธัมมะมาเจริญพร้อมกัน นั่นคือ นำธัมมะของพระพุทธองค์จริงๆ มาเจริญ เปิดหนังสือดูก็ได้ ไม่เปิดหนังสือดูก็ได้ใครเจริญได้โดยไม่เปิดหนังสือดูยิ่งดีใหญ่ เพราะได้รักษาปาละพระพุทธวจนะของพระพุทธเจ้าไว้ในจิต
การเปิดดูจากจิต(จิตฺต) เรียกว่า "ปาละ"รักษาไว้ในจิต
การไปสวดมนต์ คือ การเทสนาธัมมะ (เทสนาธมฺม)
มนต์ คือ พระไตรปิฎก (ติปิฏก)
เทสนาธัมมะ ที่มีในพระไตรปิฎก จึงเรียกว่า เจริญพระพุทธมนต์ บ้านนั้นจึงมีสิริมงคล หมายความว่า บ้านนั้นมีบุญ(ปุญฺญ)ทั้งสิ้น ถ้าเราได้เจริญธัมมะถูกต้องตามพระพุทธธัมมะคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า.
ฉะนั้น เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ หรือ เสด็จดับขันธปรินิพพานไปแล้ว เมื่อพระภิกขุสงฆ์รับกิจนิมนต์ไปฉันภัตตกิจ ณ ที่ใดก็ตาม จะนำธัมมะที่ได้รับจากพระผู้มีพระภาคเจ้านั้นมาเจริญ เรียกว่า "สวดมนต์" คือ พระธัมมเทสนา มาสวด คือ มาเจริญ มาสิกขาพระไตรปิฎก(ติปิฏก) มาเจริญธัมมะ มาสิกขาพระธัมมเทสนาที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ ฉะนั้นเวลาพระภิกขุสงฆ์รับกิจนิมนต์ไปตามบ้านต่างๆ จะอัญเชิญธัมมะมาเจริญพร้อมกัน นั่นคือ นำธัมมะของพระพุทธองค์จริงๆ มาเจริญ เปิดหนังสือดูก็ได้ ไม่เปิดหนังสือดูก็ได้ใครเจริญได้โดยไม่เปิดหนังสือดูยิ่งดีใหญ่ เพราะได้รักษาปาละพระพุทธวจนะของพระพุทธเจ้าไว้ในจิต
การเปิดดูจากจิต(จิตฺต) เรียกว่า "ปาละ"รักษาไว้ในจิต
การไปสวดมนต์ คือ การเทสนาธัมมะ (เทสนาธมฺม)
มนต์ คือ พระไตรปิฎก (ติปิฏก)
เทสนาธัมมะ ที่มีในพระไตรปิฎก จึงเรียกว่า เจริญพระพุทธมนต์ บ้านนั้นจึงมีสิริมงคล หมายความว่า บ้านนั้นมีบุญ(ปุญฺญ)ทั้งสิ้น ถ้าเราได้เจริญธัมมะถูกต้องตามพระพุทธธัมมะคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า.
ดังนั้น คน ในโลกนี้
เมื่อเป็น มนุษย์(มนุสฺส) ขึ้นมาแล้ว ประกอบด้วย โลภะ โทสะ โมหะ
ถ้าไป อบายภูมิ(อปายภูมิ) ก็ประกอบด้วย โลภะ โทสะ โมหะ
ไป เทวดา(เทวตา) ก็มี โลภะ โทสะ โมหะ
ไปเป็น พรหม ก็ยังมี โลภะ โทสะ โมหะ
ไปเกิดเป็น อรูปพรหม ก็ยังมี โลภะ โทสะ โมหะ
เหตุที่ยังมี โลภะ โทสะ โมหะ จึงทำให้ ไม่บรรลุธัมมะ ฉะนั้นคนที่เกิดมาใน กามาวจร ยังไม่ได้ ฌาน ก็จะเต็มไปด้วย โลภะ โทสะ โมหะ เมื่อเราประกอบไปด้วย โลภะ โทสะ โมหะ สถานที่เราจะไป คือ อปายภูมิ การที่เราไปศึกษาเล่าเรียนหนังสือ ไปประกอบอาชีพทำมาหากินอะไรก็ตาม ทุกอย่างที่ทำไปนั้น เป็นไปเพื่อ โลภะ โทสะ โมหะ เพราะเรายังต้องข้องอยู่ในโลก ถ้าตายไปในขณะนั้น เราก็ไปอปายภูมิ ไม่ได้ไปสวรรค์ อย่าไปนึกว่า เอ! เราทำดีแล้ว วันนี้อุโบสถ(อุโปสถ) พรุ่งนี้ก็อุโปสถ นึกว่าทำดี แต่เป็นอุโปสถของใคร? ของพระพุทธเจ้า หรือของใคร? สิ่งที่มาจับ ทำให้เราไปอปายภูมิทั้งสิ้น ถ้าไม่เป็นไปตามคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า พระพุทธองค์ตรัสว่า “มนุษย์ขึ้นสวรรค์เท่าเขาโค ลงนรกเท่าขนโค” ขณะนี้เริ่มมองเห็นชัดเจน เราก็อยู่ใน “ขนโค” นั้นด้วย แล้วอย่าไปนึกว่าเราทำดีแล้ว กำลังอยู่ใน “เขาโค” เรากำลังไต่ขึ้นไปเรื่อยๆ นั่นคือสิ่งที่เราต้องศึกษา(สิกฺขา ) ขณะนี้เรายังไม่ตาย ยังมีโอกาสแก้ตัว แต่ถ้าสิ้นชีวิตไปแล้วก็หมดโอกาส เราต้องเจริญธัมมะ(ธมฺม)ของพระพุทธองค์ใส่เข้าไว้ที่จิต(จิตฺต) คนในโลกนี้ถ้าได้พบพระผู้มีพระภาคเจ้า หรือแม้ขณะนี้จะไม่ได้พบพระพุทธองค์ เพราะทรงปรินิพพานไปแล้ว แต่พระพุทธธัมมะคำสอนยังคงมีอยู่ ถ้าเราได้สิกขาธัมมะของพระพุทธองค์ ได้ประพฤติธัมมะที่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอน บุคคล(ปุคฺคล)นั้นในโลกนี้จึงจะเป็น “เขาโค” แต่การสิกขาสัจจธัมมะคำสอนของพระพุทธเจ้ามิใช่เป็นเรื่องง่าย เพราะเรามักมีความท้อถอยเป็นเจ้าเรือน มีวิริยะอยู่ในตัว “วิริยะ” ถ้าอยู่ในอกุสล จะแปลว่า “ขี้เกียจ” ถ้าได้สิกขาคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว เราจะรู้ว่า วิริยะ เป็นอัญญสมานเจตสิก เข้าได้ทั้งกุสลและอกุสล แต่ถ้าอยู่ในกุสล จะแปลว่า “ความเพียร” ถ้าอยู่ในโลภะ โทสะ โมหะ จะแปลว่า “ขี้เกียจ” พอจะมาสิกขาธัมมะ เราจะมีความท้อถอย เขาจะบอกว่า “อย่ามาเลย เมื่อคืนนอนดึก ดูละครดึกเกินไป ตื่นเช้าไม่ไหว ขอนอนอีกหน่อยดีกว่า” คนไม่รู้ก็จะบอกว่า “มาร” โทษมารอีกแล้ว มารก็จะบอกว่า “ข้าฯ ไม่เกี่ยว คนพูดนั่นแหละเป็นมารเอง” ไม่ต้องไปโทษฟ้าดินอินทร์พรหมที่ไหน มารตัวจริง อยู่ที่เรา คือ โลภะ โทสะ โมหะ เรานั่นแหละคือ “มารที่แท้จริง”
เราเกิดมามีกำแพงกั้น คือ กำแพงโลภะ กำแพงโทสะ กำแพงโมหะ คอยกันเราตลอดเวลา กลายเป็นคนหลงงมงาย ไม่มีความคิดอ่านเป็นของตนเอง เราจึงเป็นมนุษย์(มนุสฺส))ที่รู้ผิดเพียงอย่างเดียว ไม่รู้ถูก เติมแต่สิ่งที่ผิด พอจะมารู้ถูก มาเติมธัมมะ ก็สู้ความคิดผิดไม่ได้ เพราะมีกำลังมากกว่า เราจึงหาหลักธัมมะไม่เจอ ดังนั้น เราจะต้องพยายามขวนขวายค้นหาความรู้ถูก ค้นหาหลักธัมมะคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้าที่ทรงประทานไว้ให้ เพื่อจิตจะได้พัฒนาจาก กามาวจรมหากุสล ไปสู่รูปาวจรมหากุสล ไปสู่อรูปาวจรมหากุสล ไปสู่โลกุตตรมหากุสล ไปเป็นลำดับ เมื่อจิตรู้ถูก เราก็จะอยู่ในกลุ่มเขาโค ไม่ตกอปายภูมิ ได้ชื่อว่าเป็น อนุพุทธสาวก ตลอดจนเป็น พุทธสาวก มีความเป็น พระอริยบุคคล(อริยปุคฺคล) ตั้งแต่ พระโสดาบัน(โสตาปนฺน) พระสกทาคามี(สกทาคามี) พระอนาคามี(อนาคามี) และพระอรหันต์(อรหนฺต) เป็นที่สุด เราจะค้นหาความรู้ถูก และหลักธัมมะของพระผู้มีพระภาคเจ้าที่ทรงประทานไว้ให้เมื่อ ๒๖๐๐ กว่าปีมาแล้ว ซึ่งพระอรหันตเถรเจ้าทั้งหลาย ท่านได้บันทึกจดจำไว้ในภวังคจิตเป็น “ปาละ”.และถ่ายทอดเป็น “มุขปาฐะ” จนมีการจารึกในใบลาน ใน การสังคายนาครั้งที่๕ ณ อโลกวิหาร มลัยชนบท ประเทศศรีลังกา เมื่อ พุทธศักราช ๔๓๓ สืบทอดต่อๆกันมาจนเป็น “พระไตรปิฎก (ติปิฏก)” อันล้ำค่าประเสริฐยิ่งในปัจจุบัน.
สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ
วิเสสลกฺขณมิตฺตา
ชมรมสิกขาธัมมะตามพระไตรปิฎก(ติปิฏกะ) ๘๔๐๐๐ พระธัมมขันธะ(กระทรวงอุตสาหกรรม)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น