คติธรรม ในการศึกษา(สิกฺขา) พระพุทธศาสนา
ในการศึกษา(สิกฺขา)ธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นของยาก เป็นของลึกซึ้ง คัมภีระไม่ใช่ของง่าย และการจะศึกษาธรรมให้เข้าใจจะต้องใช้กาลเวลา การจะน้อมนำไปสู่ความรอบรู้ก็ต้องใช้กาลเวลา จะใจร้อนไม่ได้ ต้องใจเย็นๆ ค่อยๆ ใคร่ครวญไปในธรรม ค่อยๆ เข้าใจในธรรม ค่อยๆ ลุ่มลึกในธรรม ไปตามลำดับ
ธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นธรรมค่อนข้างละเอียด ลึกซึ้ง เป็นธรรมสุขุม ลุ่มลึก คัมภีระ ละเอียดอ่อน สงบ ประณีต(ปณีต) จนไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเนื้อ ไม่สามารถพิสูจน์ด้วยวิชาใดๆ ในโลกทั้งสิ้น ต้องพิสูจน์ด้วยหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าเท่านั้น เพราะเป็นธรรมที่เกิดจากการตรัสรู้ที่พระพุทธเจ้าทรงสร้างพระบารมี(ปารมี)มา ๒๐ อสงไขย(อสงฺเขยฺย) กำไรแสนกัปป์(กปฺป) เพื่อนำพุทธธรรม ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์(ธมฺมขนฺธ)มาสั่งสอนเวไนยสัตว์(เวเนยฺยสัตตา ) เพื่อรื้อสัตว์ ขนสัตว์ ออกจากสังสารวัฎฎะ เป็นธรรมที่นำไปสู่การบรรลุธรรม
พระไตรปิฎก(ติปิฏก๗ ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ประกอบด้วย:
๑. พระวินัยปิฎก(วินยปิฏก๗ ๒๑,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ เป็นไปเพื่อความเป็นพระโสดาบัน(โสตาปนฺน) พระสกทาคามี(สกทาคามี) พระอนาคามี(อนาคามี) และพระอรหันต์(อรหนฺต)
๒. พระสุตตันตปิฎก(สุตฺตนฺตปิฏก) ๒๑,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ เป็นไปเพื่อความเป็นพระโสดาบัน(โสตาปนฺน) พระสกทาคามี(สกทาคามี) พระอนาคามี(อนาคามี) และพระอรหันต์(อรหนฺต)
๓. พระอภิธรรมปิฎก(อภิธมฺมปิฏก) ๔๒,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ เป็นไปเพื่อความเป็นพระโสดาบัน(โสตาปนฺน) พระสกทาคามี(สกทาคามี) พระอนาคามี(อนาคามี) และพระอรหันต์(อรหนฺต)
เราต้องอาศัยกาลเวลาอย่างต่อเนื่องในการศึกษาธรรมโดยไม่ขาดสาย เพื่อไปให้ถึงจุดเป้าหมาย คือการบรรลุธรรม จนกว่าจะถึงซึ่งพระนิพพาน(นิพฺพาน) วิชาการทางโลกทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นวิทยาการใดๆ เช่น แพทยศาสตร์ วิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ เกษตรศาสตร์ รัฐศาสตร์ ศิลปศาสตร์ใดๆ ในโลกทุกประเภทเราสามารถเรียนจบในแต่ละครั้งในชาตินี้ แต่ธรรมของพระพุทธเจ้านั้น เราต้องสะสมธรรมไปโดยไม่มีวันจบสิ้นชาติแล้วชาติเล่า ไปจนกว่าจะบรรลุธรรม จนกว่าจะไม่มีธรรมให้ศึกษา(สิกฺขา) จนกว่าไม่มีกิจ(กิจฺจ)ที่จะต้องทำอีกแล้วคือการเป็นพระอรหันต์
เราต้องอาศัยกาลเวลาอย่างต่อเนื่องในการศึกษาธรรมโดยไม่ขาดสาย เพื่อไปให้ถึงจุดเป้าหมาย คือการบรรลุธรรม จนกว่าจะถึงซึ่งพระนิพพาน(นิพฺพาน) วิชาการทางโลกทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นวิทยาการใดๆ เช่น แพทยศาสตร์ วิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ เกษตรศาสตร์ รัฐศาสตร์ ศิลปศาสตร์ใดๆ ในโลกทุกประเภทเราสามารถเรียนจบในแต่ละครั้งในชาตินี้ แต่ธรรมของพระพุทธเจ้านั้น เราต้องสะสมธรรมไปโดยไม่มีวันจบสิ้นชาติแล้วชาติเล่า ไปจนกว่าจะบรรลุธรรม จนกว่าจะไม่มีธรรมให้ศึกษา(สิกฺขา) จนกว่าไม่มีกิจ(กิจฺจ)ที่จะต้องทำอีกแล้วคือการเป็นพระอรหันต์
ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราสะสมไว้ในชีวิตของเรา ถ้าเป็นทรัพย์สมบัติภายนอก เป็นวัตถุสิ่งของ เมื่อเราลาลับจากโลกนี้ไปแล้ว เราก็ไม่สามารถจะนำพาติดตัวไปได้ แม้แต่ร่างกายของเราเอง ยังต้องทิ้งกลับคืนไว้กับโลกนี้ แต่มีสิ่งที่ติดไปกับจิต(จิตฺต)เราได้แน่นอนในทางโลกคือ โลภะ โทสะ โมหะ นำไปสู่อบายภูมิ(อปายภูมิ) การกระทำของเราทุกอย่างไม่ว่าทางกายกรรม(กายกมฺม) วจีกรรม(กมฺม) หรือมโนกรรม(มโนกมฺม) ไม่ว่าจะเป็น กุศลกรรมบถ(กุสลกมฺมปถ) ๑๐ หรือ อกุศลกรรมบถ(อกุสลกมฺมปถ) ๑๐ จะถูกบันทึกไว้ในจิต เมื่อเราตายไปแล้ว จิตจะนำกรรมนั้นๆ ติดไปด้วยแน่นอน
ในทางอกุศล(อกุสล)
โลภะ ไปเป็น เปรต (เปต) อสุรกาย(อสุรกาย)
โทสะ ไปเป็น สัตว์นรก (นิรยสตฺตา)
โมหะ ไปเป็น สัตว์เดรัจฉาน (ติรจฺฉาน)
ส่วนในทางธรรม เริ่มตั้งแต่ “มหากุศลจิต(มหากุสลจิตฺต)” นำไปสู่สุคติภูมิ มนุษย์ (มนุสฺส) เทวดา(เทวตา) พรหม อรูปพรหม โลกุตตระ(โลกุตฺตร )ในภพชาติต่อ ๆ ไป
ก่อนอื่นการจะศึกษา(สิกฺขา)พระพุทธศาสนาให้ลึกซึ้ง จะต้องระลึกถึงอะไรบ้างในพระพุทธศาสนา เราต้องมีมาตรฐานเป็นหลักยึด ในพระพุทธศาสนาต้องยึด “คติธรรม (คติธมฺม)” เป็นแนวทางในการศึกษา(สิกฺขา) ถ้าเราไม่มีคติธรรม ไม่มีแนวทางเราจะจับหลักที่จะเข้าใจธรรมได้ แล้วเราจะนึกว่าธรรมของพระพุทธเจ้านั้นง่ายเหลือเกิน เป็นของตื้นเขิน ใครๆก็ทำได้ เราจะปรามาสในธรรม เราจึงต้องมีหลักธรรมประจำใจ เป็นคติธรรมในการศึกษา(สิกฺขา)พระพุทธศาสนา เบื้องต้นจะต้องคำนึงถึง
คติธรรม ๔ ประการ
๑. พระพุทธรำพึง
๒. พระพุทธดำรัส
๓. ลักษณะการสอนธรรม ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์
๔. หน้าที่ของพุทธปริสา ๔ (พุทธบริษัท ๔)
๑.พระพุทธรำพึง
หลังจากพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วและทรงเสวยวิมุตติสุขตามบริเวณ “สัตตมหาสถาน” จำนวน ๗ แห่ง เป็นเวลาแห่งละ ๗ วัน จนครบ ๗ สัปดาห์ไปตามลำดับคือ :
๑. รัตนโพธิบัลลังก์(รตฺนโพธิปลฺลงฺก) ภายใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ(สิริมหาโพธิ )-(อัสสัตถพฤกษ์)
๒. อนิมิสสเจดีย์(อนิมิสฺสเจติย)
๓. รัตนจงกรมเจดีย์(รตฺนจงฺกมเจติย)
๔. รัตนฆรเจดีย์(รตฺนฆรเจติย)
๕. อัชปาลนิโครธเจดีย์(อชปาลนิโครธเจติย)
๖. มุจจลินทเจดีย์(มุจจลินฺทเจติย)
๗. ราชายตนเจดีย์(ราชายตนเจติย)
ใน สัปดาห์ที่ ๘ ขณะประทับนั่ง ณ ควงไม้อัชปาลนิโครธ ทรงพุทธรำพึงว่า :
ธรรม(ธมฺม) ที่ตถาคตได้บรรลุแล้วนี้ ลึก ซึ้ง เห็นได้ยาก รู้ตามได้ยาก สงบ ประณีต(ปณีต) มิใช่วิสัยแห่งตรรก(ตกฺก) คือ คิดเอาเองไม่ได้ หรือไม่ควรลงความเห็นด้วยการเดา แต่เป็นธรรมที่ปัณฑิตะ บัณฑิต(ปณฺฑิต ) พอจะรู้ได้
อนึ่งเล่า สัตวะทั้งหลายส่วนมากยังถูกอวิชชาครอบงำ ยินดีในความอาลัย เริงรมย์และชื่มชมในอาลัย คือ กามคุณ สัตวะเหล่านั้นจะไม่รู้ซึ้งถึงธรรมของตถาคต สัตวะผู้เห็นปานนั้น ยากนั้นที่จะเห็นปฏิจจสมุปบาท(ปฏิจฺจสมุปฺปาท)และพระนิพพาน ซึ่งมีสภาพบอกคืนกิเลศ(กิเลส)ทั้งมวล ทำตัณหาให้สิ้น ดับทุกข์ ตถาคตจะพึงแสดงธรรมหรือไม่หนอ ถ้าแสดงไปแล้วคนอื่นรู้ตามไม่ได้ ตถาคตก็จะพึงลำบากเปล่า โอ! อย่าเลย อย่าประกาศธรรม ที่ตถาคตได้บรรลุแล้วเลย ธรรมนี้อันบุคคล(ปุคฺคล)ผู้เพียบแปล้ไปด้วย ราคะ โทสะ โมหะ จะรู้ได้โดยง่ายมิได้เลย บุคคลที่ยังยินดีพอใจให้กิเลศ(กิเลส)ย้อมจิต ถูกความมืดคืออวิชชาหุ้มห่อแล้ว จักไม่สามารถเห็นได้ซึ่งอมตธรรม อันจะยังสัตวะให้ถึงซึ่งพระนิพพาน ซึ่งเป็นธรรมที่ทวนกระแสจิตอันละเอียด ประณีต ลึก ซึ้ง เห็นได้ยากนี้
ลำดับนั้น ท้าวสหัมบดีพรหม(สหมฺปตีพฺรหฺม) ทรงทราบพระปริวิตกก(ปริวิตฺกก)ของพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงดำริว่า : “ท่านผู้เจริญ โลกจักพินาศ(วินาโส )หนอ ท่านผู้เจริญ โลกจักพินาศ(วินาโส )หนอ เพราะจิตของพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า น้อมไปเพื่อความขวนขวายน้อย ไม่น้อมไปเพื่อการทรงแสดงธรรมฯ”
ลำดับนั้น ท้าวสหัมบดีพรหม จึงหายวับจากพรหมโลกมาปรากฏ ณ สำนักของพระบรมศาสดา พร้อมทรงพาท้าวสักกเทวราช ท้าวสุยามเทวราช ท้าวสันตุสิตเทวราช ท้าวนิมมานรตีเทวราช ท้าวปรนิมมิตวสวัตตีเทวราช และท้าวมหาพรหมทั้งหลายจากหมื่นจักรวาล มาทูลอาราธนาให้พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงธรรม การเสด็จมาของท้าวมหาพรหมเปรียบเสมือนบุรุษ(ปุริสา) ผู้มีกำลังเหยียดแขน คู้แขนฉะนั้น ต่างพากันเสด็จไปประดิษฐานเฉพาะพระพักตร์พระทสพลญาณ
ครั้นแล้ว ท้าวสหัมบดีพรหม จึงห่มผ้าลดไหล่ข้างหนึ่ง คุกเข่าขวาลง ณ พื้นปฐพี ประนมอัญชลีไปทางพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วกราบทูลว่า “ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ขอพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพระมหากรุณาธิคุณโปรดประทาน
พระสัทธรรมแด่เวไนยสัตว์ทั้งหลาย ของพระสุคตเจ้าทรงโปรดแสดงธรรมเถิด สัตวะทั้งหลายผู้มีธุลีในจักขุน้อย (มีอกุศลจิตน้อย) ยังมีอยู่ แม้มิได้สดับรับรสแห่งพระสัทธรรม ก็จะเสื่อมสูญจากพระอริยมัคคญาณ ผลญาณ จะสูญเสียประโยชน์อันใหญ่หลวง อนึ่งสัตวะผู้บำเพ็ญบารมีมา แต่ในสมเด็จพระพุทธเจ้าในอดีตกาล บริบูรณ์ประดุจดอกปทุมชาติ พร้อมที่จะบานเมื่อได้รับแสงพระสุริยา มีความปรารถนาจะได้รับฟังพระสัทธรรม แม้เพียงพระคาถาเดียวก็จะหยั่งลงในอริยภูมิ สำเร็จมัคค ผลได้ ส่วนสัตวะที่มีอุปนิสัยที่จะบรรลุธรรมนั้นมีมากต่อมาก ขอพระสุคตเจ้าผู้ทรงสร้างสมติงสปารมีมาสิ้นกาลนาน จนบัดนี้ได้บรรลุพระสัพพัญญุตญาณแล้ว ขอทรงมีพระมหากรุณาแก่สรรพสัตว์ หากแม้นมิได้ตรัสพระสัทธรรมเทศนา(สทฺธมฺมเทสนา) สัตวโลกทั้งหลายจะแสวงหาที่พึ่งจากที่ใดเล่า” ดัง พระคาถาอาราธนาธรรม ว่า:
พรหฺมา จ โลกาธิปตี สหมฺปติ กตญฺชลี อนธิวรํ อยาจถ
สนฺตีธ สตฺตา อปฺปรชกฺชชาติกา เทเสหิ ธมฺมํ อนุกมฺปิมํ ปชนฺติฯ
ภควา โลกาธิปตี นรุตฺตโม กตญฺชลีพฺรหฺมคเณหิ ยาจิโต
สนฺตี ธ ธีราปฺปรชกฺขชาติกา เทเสตุ ธมฺมํ อนุกมฺปิมํ ปชํ ฯ
เทเสตุ สุคโต ธมฺมํ เทเสตุ อมตํปทํ
โลกานมนุกมฺปาย ธมฺมํ เทเสตุ นายก ฯ
สมฺปนฺนวิชชาจรณสฺส ตาทิโน ชุตินฺธรสฺสนฺติมเทหธาริโน
ตถาคตสฺสปฺปฏิปุคฺคลสฺส อุปฺปชฺชิ การุญฺญตา สพฺพสตฺเต ฯ
ตํ สุตฺวา ภควา สตฺถา อิทํ วจนมพรวิ (วะจะนะมะพะระวิ)
อปารุตา เต อมตสฺส ทฺวารา เยโสตวนฺโต ปมุญฺจนฺตุ สทฺธํ
วิหึสสญฺญี ปคุณํ น ภาสึ ธมฺมํ ปณีตํ มนุเชสุ พฺรเหฺมติ (พรหมเมติ) ฯ
การที่ท้าวสหัมบดีพรหมมาทูลอาราธนาธรรม เพื่อให้พระผู้มีพระภาคเจ้าโปรดเวไนยสัตว์ เพื่อแสดงให้เห็นว่า พระพุทธธรรม ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าจะทรงประกาศต่อไปนี้เป็นหลักธรรมที่มีความลึก ซึ้ง สุขุม คัมภีระ เป็นธรรมที่เป็นไปเพื่อความเป็นพระอรหันต์ทั้งสิ้น เป็นพระพุทธวจนะล้วน แม้จะเป็นถ้อยคำของอรรถกถาจารย์ ๒,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ แต่เมื่อพระพุทธองค์ทรงรับรองแล้ว นั่นคือ พระพุทธวจนะเช่นกัน และเพื่อประกาศว่าชาวพุทธทั้งสิ้นจะต้องยึดหลักพระพุทธรำพึง จะต้องสิกขาธรรมด้วยความคัมภีระ เพราะธรรมที่ประกาศนั้นไม่ใช่ความคิดของปุถุชนคนกิเลศ(กิเลส)หนา ไม่ใช่ความคิดของสัตว์นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน มนุษย์ เทวดา พรหม หรือ อรูปพรหม
แต่เป็นธรรมที่เกิดจากการตรัสรู้ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้ามีแต่พระพุทธเจ้าเท่านั้นที่จะนำพาเราไปสู่ความลุ่มลึกของธรรมนั้นได้
พระพุทธรำพึงเป็นตัวบ่งบอกว่า จากนี้ไปเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงธรรมคราวใดนั้น ธรรมที่ทรงแสดงนั้นจะต้องมีความสุขุม ลุ่มลึก ไม่ใช่เอามาคิดกันง่ายๆ ไม่ใช่เอามาพิจารณาตื้นๆ ไม่มีการลงความเห็นด้วยการเดา การที่จะมีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ในพุทธันดรหนึ่งเป็นเรื่องแสนยาก ถ้าไม่มีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ ก็ยากนักที่จะมีเวไนยสัตว์บรรลุธรรม แม้สุคติภูมิ (มนุษย์ เทวดา พรหม อรูปพรหม) ก็เป็นอันหวังได้ยาก ดังนั้นเวไนยสัตว์ ๓๑ ภูมิ (อบายภูมิ๔ มนุษย์๑ เทวดา๖ พรหม๑๖ และอรูปพรหม๔) ต่างรอคอยความตรัสรู้ของพระผู้มีพระภาคเจ้า ธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นธรรมที่ละเอียด ยากต่อการที่บุคคลจะตรึกระลึกเอาเอง แล้วจะสามารถรู้แจ้งแทงตลอด พระพุทธเจ้าจึงมาบังเกิดเพื่อโปรดเวไนยสัตว์ให้ได้ถึงซึ่งโลกุตตระ
“ธรรมที่ตถาคตบรรลุแล้วนี้ ลึก ซึ้ง” ลึก มาจาก คัมภีระ เมื่อ “ลึก” แล้วจึง “ซึ้ง” ไม่มีพิจารณาตื้นเขิน นั่นหมายความว่า ธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าจะทรงประกาศต่อไปนี้ ต้องเป็นธรรมที่ไม่ใช่คนธรรมดาจะคิดได้ แต่เป็นธรรมที่เกิดจากความตรัสรู้ ความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าที่ทรงใช้เวลา ๒๐ อสงไขย กำไรแสนกัปป์ หรือหลังจากรับพยากรณ์แล้วจากพระพุทธเจ้า พระองค์ใดพระองค์หนึ่ง
พระโพธิสัตต์ (โพธิสตฺโต ) ที่ยังไม่ได้รับพยากรณ์ เรียกว่า “อนิยตโพธิสัตต์”
พระโพธิสัตต์ (โพธิสตฺโต ) ที่ได้รับพยากรณ์แล้ว เรียกว่า “นิยตโพธิสัตต์”
พระโพธิสัตต์ ทรงนึกในใจว่าจะเป็นพระพุทธเจ้า ๗ อสงไขยทรงสร้างมหากุศล(มหากุสล) เปล่งพระวาจาว่าจะเป็นพระพุทธเจ้าอีก ๙ อสงไขย และเมื่อได้รับพยากรณ์ของพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่ง เป็น “นิยตโพธิสัตต์” ทรงสร้างพระปารมีต่ออีก ๔ อสงไขย กำไรแสนกัปป์ จนได้ตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณเป็น “พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า” ณ ควงไม้ พระศรีมหาโพธิ ในวันเพ็ญ ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ วิสาขมาส สถานที่นั้นปัจจุบันนี้คือ พุทธคยา ตำบลคยา ประเทศอินเดีย
พระโพธิสัตต์ ทรงนึกในใจว่าจะเป็นพระพุทธเจ้า ๗ อสงไขยทรงสร้างมหากุศล(มหากุสล) เปล่งพระวาจาว่าจะเป็นพระพุทธเจ้าอีก ๙ อสงไขย และเมื่อได้รับพยากรณ์ของพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่ง เป็น “นิยตโพธิสัตต์” ทรงสร้างพระปารมีต่ออีก ๔ อสงไขย กำไรแสนกัปป์ จนได้ตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณเป็น “พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า” ณ ควงไม้ พระศรีมหาโพธิ ในวันเพ็ญ ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ วิสาขมาส สถานที่นั้นปัจจุบันนี้คือ พุทธคยา ตำบลคยา ประเทศอินเดีย
ความหมายของ อสงไขย และ กัปป์
* อสงไขย หรือ อสังเขยยะ (อสงฺเขยฺย) = เป็นปริมาณหรือจำนวนที่มีการกำหนดที่นับประมาณมิได้ อุปมาเปรียบเทียบเอาไว้ว่า : ฝนตกใหญ่อย่างมโหฬารทั้งวันทั้งคืน เป็นเวลานานถึง ๓ ปีไม่ได้ขาดสายเลย จนกระทั่งน้ำฝนท่วมเต็มขอบจักรวาล ซึ่งมีระดับความสูง ๘๔,๐๐๐ โยชน์ หากว่ามีใครสามารถนับเม็ดฝนที่ตกลงมาตลอดทั้ง ๓ ปี นับได้เท่าไร นั้นคือจำนวนเม็ดฝน ๑ อสงไขย
อนึ่ง คำว่า อสงไขย มาจากภาษามคธว่า อสงฺเขยฺย หมายถึง นับไม่ได้ หรือ นับไม่ถ้วน
พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒ ระบุ
จำนวนอสงไขย = โกฏิ ยกกำลัง ๒๐
หรือ ๑ อสงไขย = 1 x 10140 ปี
* กัปป์ หรือ กัปปะ(กปฺป) มีความหมายอยู่ ๒ ความหมาย คือ:
๑. จาก ปัพพตสูตร พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค อุปมาเปรียบเทียบไว้ว่า : ภูเขาหินลูกใหญ่ยาว ๑ โยชน์ กว้าง ๑ โยชน์ สูง ๑ โยชน์ (๑ โยชน์ = ๑๖ กิโลเมตร) ภูเขาไม่มีช่อง ไม่มีโพรง เป็นแท่งทึบ บุรุษพึงเอาผ้าแคว้นกาสี (ผ้าใยบางเบาเหมือนควันบุหรี่) มาปัดภูเขานั้น ๑๐๐ ครั้งต่อปี จนกว่าภูเขานั้นจะเตียนราบ ระยะเวลานั้น = ๑ กัปป์
๒. จาก สาสปสูตร พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค อุปมาเปรียบเทียบไว้ว่า : นครทำด้วยเหล็กยาว ๑ โยชน์ กว้าง ๑ โยชน์ สูง ๑ โยชน์ เต็มไปด้วยเมล็ดพันธุ์ผักกาด มีเมล็ดพันธุ์ผักกาดรวมกันเป็นกลุ่มก้อน บุรุษพึงหยิบเอาเมล็ดพันธุ์ผักกาดเมล็ดหนึ่งๆ ออกจากนคร โดยใช้เวลา ๑๐๐ ปีต่อ ๑ เมล็ด จนกว่าเมล็ดพันธุ์ผักกาดนั้นจะหมดสิ้นไป ระยะเวลานั้น = ๑ กัปป์
เราสิกขาธรรมของพระผู้มีพระภาคเจ้าเท่ากับความลึก ๔ อสงไขย กำไรแสนกัปป์
ธรรมของพระพุทธเจ้านั้น ไม่ใช่ความคิดของ ปุถุชนคนกิเลสหนา
ธรรมของพระพุทธเจ้านั้น ไม่ใช่ความคิดของ สัตว์นรก
ธรรมของพระพุทธเจ้านั้น ไม่ใช่ความคิดของ เปรต
ธรรมของพระพุทธเจ้านั้น ไม่ใช่ความคิดของ อสุรกาย
ธรรมของพระพุทธเจ้านั้น ไม่ใช่ความคิดของ สัตว์เดรัจฉาน
ธรรมของพระพุทธเจ้านั้น ไม่ใช่ความคิดของ มนุษย์
ธรรมของพระพุทธเจ้านั้น ไม่ใช่ความคิดของ เทวดา
ธรรมของพระพุทธเจ้านั้น ไม่ใช่ความคิดของ พรหม
ธรรมของพระพุทธเจ้านั้น ไม่ใช่ความคิดของ อรูปพรหม
ความคิดที่มีอยู่ในโลกเป็นของยาก เช่นความคิดของเทวดา พรหม อรูปพรหม แต่ความคิดของพระพุทธเจ้านั้นมีความลุ่มลึกยิ่งกว่าวิสัยปุถุชนคนธรรมดาจะระลึกได้ การจะไปถึง ๔ อสงไขย กำไรแสนกัปป์ ต้องมีพระพุทธเจ้าเป็นผู้นำทางเราไปสู่ความลุ่มลึกนั้น เราไม่สามารถจะไปขุดความลึกซึ้งนั้นได้ เพราะเป็นธรรมคัมภีระ ในความเป็นธรรมคัมภีระ ไม่ว่าจะลึก ซึ้ง สงบ ประณีต นั้นก็คือ
สงบ คือ เวทนา
เวทนา คือ ฌาน
ฌาน คือ พระอรหันต์
ธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าประกาศต่อไปนั้น คือ พระพุทธองค์ทรงประกาศให้เห็นว่าหลักสัจจธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้านั้น เป็นธรรมที่เป็นไปเพื่อความเป็นพระอรหันต์ทั้งสิ้น ทรงประกาศหลักธรรมลึกซึ้งรวม ๘๔,๐๐๐ พระธรรมมขันธ์ เป็นพระพุทธวจนะล้วน ๘๒,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ และอีก ๒,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ เป็นคำสอนจากพระพุทธสาวก เมื่อพระพุทธองค์ทรงยอมรับนั่นคือ พระพุทธวจนะ
หน้าที่ของเวไนยสัตว์ทั้งหลาย คือ มีหน้าที่ฟัง ฟัง ฟัง แล้วใคร่ครวญ ตรึกตรองในหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า แม้จะนั่งหลับตาก็คิดใคร่ครวญธรรมอยู่ในใจ ไม่ใช่ไปนึกคิดเอาเองตามใจเรา หรือตามคำสอนของลัทธิต่างๆ เพราะในยุคกึ่งพุทธกาลนี้จะมีลัทธิต่างๆ เกิดขึ้นมากมายดังดอกเห็ด และนำคำสอนต่างๆ มาสอนโดยไม่สนใจพระไตรปิฎก(ติปิฏก)ซึ่งเป็น พระพุทธวจนะ เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าโดยแท้
พระไตรปิฎก(ติปิฏก) เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าอันเกิดจากความตรัสรู้ด้วยพระบารมีที่สร้างมา ๒๐ อสงไขย กำไรแสนกัปป์ (สำหรับพระพุทธเจ้าปัญญาธิกะ) ถ้าเราไม่เอาพระไตรปิฎก เท่ากับว่าเราไม่เอาพระพุทธเจ้า ชาวพุทธที่สนใจในพระพุทธศาสนาก็คือผู้ที่สนใจศึกษา(สิกฺขา)ในหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่สนใจศึกษาแต่พุทธประวัติ หรือสนใจแต่พระสูตร หรือสนใจแต่พระวินัย แต่หลักธรรมที่สำคัญยิ่งคือ พระอภิธรรม(อภิธมฺม)ที่ประกอบด้วย ปรมัตถธรรม(ปรมตฺถธมฺม) ๔ คือ จิต(จิตฺต) เจตสิก(เจตสิก) รูป(รูป) นิพพาน(นิพฺพาน) การสิกขาธรรมต้องเริ่มตั้งแต่ “อนุบาล (อนุปาล)”
แล้วจะไปจบเมื่อไรอย่าไปสนใจ ต้องนึกถึงว่า พระพุทธศาสนาไม่ใช่ของง่าย แต่เป็นของยากที่สุด พระพุทธศาสนาจึงไม่ง้อคน พระพุทธเจ้าไม่ได้ไปอ้อนวอน ขอร้อง หรือบังคับให้เชื่อ พระพุทธศาสนาถือว่าเป็นเพชรล้ำค่า ไม่ง้อให้คนฟัง ไม่ได้ง้อให้คนนับถือ ถือเสียว่า “ใครทำ ใครได้” พระพุทธองค์ทรงมีหน้าที่ “ชี้ทางให้เดินสู่นิพพาน” แล้วแต่ใครจะมีบุญ(ปุญฺญ)ได้เดินตามหรือไม่เท่านั้น
พระพุทธเจ้า ทรงชี้ เข้าไปใน จิต ของเรา
พระพุทธเจ้า ทรงชี้ เข้าไปใน เจตสิก ของเรา
พระพุทธเจ้า ทรงชี้ เข้าไปใน รูป ของเรา
เมื่อพระพุทธเจ้าทรงชี้เข้าไปในจิต เจตสิก รูป ของเราแล้ว ทำให้เรารู้ตามพระพุทธองค์ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ คือ เมื่อพระพุทธเจ้า “ตรัส” เราจึง “รู้” ตามพระพุทธองค์
การ “ชี้” คือ การสดับธรรมตามหลักพุทธธรรมคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า ก่อนพระพุทธองค์จะทรงเทศนา(เทสนา) ก่อนพระพุทธองค์จะประกาศธรรม พระพุทธองค์ทรงพุทธรำพึงว่า : “ธรรมที่ตถาคตตรัสรู้แล้วนี้ ลึก ซึ้ง เห็นได้ยาก รู้ตามได้ยาก สงบ ประณีต มิใช่วิสัยแห่งตรรก คือ คิดเอาเองไม่ได้ หรือไม่ควรลงความเห็นด้วยการเดา...”
การที่ทรงพุทธรำพึงเพื่อประกาศว่า “คำสอนของพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์นั้นเป็นธรรมที่สุขุม คัมภีระ ลุ่มลึก ยากที่เวไนยสัตว์จะรู้ได้ด้วยตนเอง” การประกาศพระพุทธศาสนาเพื่อให้พุทธบริษัท๔(พุทธปริสา๔) คือ ภิกษุ(ภิกฺขุ) ภิษุณี(ภิกฺขุนี) อุบาสก(อุปาสก) อุบาสิกา(อุปาสิกา) ถึงพระพุทธศาสนาคือมี ศรัทธา(สัทธา) ที่มาจากสัทธาเจตสิก เป็นโสภณเจตสิก ทำงานกับกุศลจิต(กุสลจิตฺต)อย่างเดียว มีความหมายว่ากั้นบาป กั้นอกุศล(อกุสล) กันอกุสลไม่ให้เข้ามา ถ้าเราไม่ถึงพระพุทธเจ้า ทำให้เราขาดโอกาสที่จะสิกขาธรรมให้เข้าใจ พระพุทธเจ้าทรงมีพุทธรำพึงเพื่อประกาศว่า : “บริษัท๔(ปริสา ๔) ทั้งหลายถ้าท่านถึงสัทธาเมื่อไร ท่านจะถึงสติ” สัทธานี้ คือ พระพุทธเจ้า การที่เราจะสัทธาพระพุทธเจ้านั้น คือเราต้องฟังธรรมคำสอนของพระพุทธองค์เราต้องสิกขาธรรมของพระพุทธองค์ไปตามลำดับ เพื่อก่อให้เกิดผลในอนาคตภายหน้า
ในความหมายของพระพุทธรำพึงนี้ ผู้ที่จะรับฟังความคิดคำนึงในจิตของพระพุทธเจ้าได้คือ ท้าวสหัมปตีพรหม พระอรหันต์ชั้นอกนิฏฐกาสุทธาวาส ท่านได้ยินกระแสพุทธดำรัสจากพุทธรำพึงในจิต ณ ต้นอชปาลนิโครธ (ต้นไทร) และกระแสพุทธรำพึงนี้ไปถึงชั้นอกนิฏฐกาพรหม ชั้นสุทธาวาส ซึ่งท่านท้าวสหัมปตีพรหม ท่านมีหน้าที่จะต้องมาอาราธนา แม้พระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ก็จะมีลักษณะอย่างนี้ เป็นการประกาศพระพุทธศาสนา ซึ่งไม่ใช่การประกาศธรรมดา แต่เป็นการประกาศว่า : “ธรรมที่พระพุทธเจ้าจะทรงแสดงต่อไปนี้ ไม่ใช่ของง่าย ธรรมที่พระพุทธเจ้าจะทรงประกาศต่อไปนี้ เป็นหลักธรรมที่นำพาเวไนยสัตว์ ไปสู่มัคค ผล นิพพาน พ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดใน๓๑ ภูมิ”
พระพุทธเจ้าทรงพุทธรำพึงและท้าวสหัมปตีพรหมทรงรับทราบ และทรงทูลอาราธนาธรรมว่า : “สัตวะทั้งหลายผู้มีกิเลสธุลีในนัยน์ตาน้อย (มีอกุศลจิตน้อย) ยังมีอยู่ในโลกนี้ ยังสามารถฟังธรรมเข้าใจ และสามารถบรรลุธรรมได้ ขอพระพุทธองค์ทรงโปรดอนุเคราะห์แสดงธรรม เพื่อโปรดเวไนยสัตว์ให้ออกจากสังสารวัฏฏะด้วยเถิด”
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพิจารณาเวไนยสัตว์เปรียบประดุจบัว ๔ เหล่า คือ
๑. อุคฆฏิตัญญู คือบุคคลที่อาจรู้ธรรมโดยเฉียบพลัน เพียงแต่ท่านยกหัวข้อธรรมขึ้นแสดง มีปัญญาเฉียบแหลม ฟังหัวข้อธรรมก็เข้าใจ เพียงได้รับธรรมก็เข้าใจ เปรียบเสมือนบัวที่พ้นน้ำ อันน้ำไม่ติดแล้ว เพียงได้รับแสงอาทิตย์ก็บานทันที ได้แก่ “ติเหตุกบุคคล(ติเหตุกปุคฺคล)” ผู้มีจิต ๑๓ คือ :
ติเหตุกบุคคล จิต ๑๓ : กามาวจรญาณสัมปยุตตมหากุสลจิต ๔
รูปาวจรมหากุสลจิต ๕
อรูปาวจรมหากุสลจิต ๔
ไม่มีอกุศลจิต(อกุสลจิตฺต) ๑๒ คือ โลภจิต๘ โทสจิต๒ โมหจิต๒ ขึ้นมากั้นธรรม บุคคลประเภทนี้ได้แก่ : พรหมผู้ได้ฌาน ผู้ได้สมาธิมีปัญญาตัดกิเลส เพราะมีสมาธิเป็นฐานของปัญญา พร้อมที่จะบรรลุธรรมโดยเฉียบพลัน และเป็นผู้มี กุสลเหตุ ๓ คือ :
๑. อโลภเหตุ
๒. อโทสเหตุ
๓. อโมหเหตุ (ปัญญาเจตสิก ตัดกิเลส)
หรือมี เหตุอีก ๓ คือ :
๑. พระวินัยปิฎก(วินยปิฏก) ๒๑,๐๐๐ พระธรรมขันธ์
๒. พระสุตตันตปิฎก(สุตฺตนฺตปิฏก) ๒๑,๐๐๐ พระธรรมขันธ์
๓. พระอภิธรรมปิฎก(อภิธมฺมปิฏก) ๔๒,๐๐๐ พระธรรมขันธ์
ได้แก่ บุคคลในสมัยพุทธกาล แม้เพียงฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าเพียงอรรถธรรมเดียวก็บรรลุธรรม เป็นบุคคลผู้เกิดมาด้วย “ญาณสัมปยุตมหาวิปากจิต”
๒. วิปจิตัญญู คือ บุคคลผู้อาจรู้ธรรมต่อเมื่อท่านอธิบายขยายความความหมายของหัวข้อนั้นๆ เปรียบเสมือนบัวปริ่มน้ำ พร้อมที่จะบานในวันต่อไป ได้แก่บุคคลผู้เป็น “ทวิเหตุกบุคคล(ทวิเหตุกปุคฺคล)” บุคคลผู้มีจิต ๑๔ คือ :
ทวิเหตุกบุคคล จิต ๑๔ : โลภมูลจิต ๘
โทสมูลจิต ๒
กามาวจรญาณวิปปยุตตมหากุสลจิ ๔
บุคคลผู้มีญาณวิปปยุตตจิต ๔ ยังมี :
กุสลเหตุ ๒ คือ อโลภเหตุ ๑ และ อโทสเหตุ ๑
อกุสลเหตุ ๒ คือ โลภเหตุ ๑ และ โทสเหตุ ๑
บุคคลประเภทนี้จะฟังธรรมพระพุทธเจ้าได้ แต่จะเข้าใจยาก จะบรรลุธรรมยาก เพราะยังมีโลภเหตุ และโทสเหตุ จะเข้าใจธรรมต่อเมื่อมีการขยายข้อธรรม ต้องสะสมภูมิธรรมไปอีกนับอเนกอนันตชาติ จะต้องใช้เวลาอีกเนิ่นนาน บุคคลประเภทนี้ได้แก่ เทวดาตั้งแต่ชั้น ตาวตึงสา ยามา ตุสิตา นิมมานรตี ปรนิมมิตวสวัตตี ผู้ยังอยู่ในกามาวจรภูมิ เกิดมาด้วย “ญาณวิปปยุตมหาวิปากจิต”
๓. เนยยะ คือ บุคคลที่พอจะแนะนำได้ คือพอจะฝึกสอนอบรมให้เข้าใจธรรมได้ เมื่อได้รับการขยายอธิบายข้อธรรมให้กระจ่างมากยิ่งขึ้นกว่าวิปจิตัญญู เปรียบเสมือนบัวที่อยู่ใต้น้ำ พร้อมที่จะบานในวันต่อๆ ไปคือบุคคลที่เป็น “สุคติอเหตุกบุคคล(สุคติอเหตุกปุคฺคล)” ต้องใช้เวลาในการใคร่ครวญธรรม ส่วนมากเป็นคนที่ไม่มีโอกาสได้ฟังธรรม หรือมีโอกาสฟังธรรมแล้วแต่ไม่สนใจ และไม่รู้ธรรม และชอบคิดเอาเองไม่ฟังพระพุทธเจ้า ได้แก่คนในยุคนี้ บุคคลประเภทนี้เรียกว่า “สุคติอเหตุกบุคคล(สุคติอเหตุกปุคฺคล)” ไม่มีเหตุ ๖ มาทำงาน คือ :
กุสลเหตุ ๓ คือ อโลภเหตุ ๑ อโทสเหตุ ๑ อโมหเหตุ ๑
อกุสลเหตุ ๓ คือ โลภเหตุ ๑ โทสเหตุ ๑ โมหเหตุ ๑
ได้แก่ คนผู้มาเกิดด้วย อุเปกขาสันตีรณอเหตุกกุสลวิปากจิต มีจิตทำงาน ๑๖ คือ :
สุคติอเหตุกบุคคล จิต ๑๖ : โลภจิต ๘
โทสจิต ๒
โมหจิต ๒
กามาวจรญาณวิปปยุตตมหากุสลจิต ๔
บุคคลประเภทนี้ เป็นคนไม่มีเหตุผล เมื่อฟังพระพุทธเจ้าไม่เข้าใจ ไม่รู้เรื่อง ต้องเริ่มต้นสะสมธรรมใหม่ เริ่มมีวินัย และทำตามวินัยของพระพุทธเจ้า ได้แก่ คน มนุษย์ และเทวดาชั้นจาตุมหาราชิกา
๔. ปทปรมะ คือบุคคลที่ไม่สามารถจะเข้าใจธรรม ไม่สามารถรู้ธรรม หมดโอกาสบรรลุธรรม เปรียบเสมือนบัวที่อยู่ในโคลนตม มีแต่จะเป็นอาหารของเต่า ปู ปลา ฯลฯ คือบุคคลผู้เป็น “ทุคติอเหตุกบุคคล(ทุคติอเหตุกปุคฺคล)” คือ บุคคลผู้มีจิต ๑๒ ทำงานอยู่เป็นประจำคือ :
๔. ปทปรมะ คือบุคคลที่ไม่สามารถจะเข้าใจธรรม ไม่สามารถรู้ธรรม หมดโอกาสบรรลุธรรม เปรียบเสมือนบัวที่อยู่ในโคลนตม มีแต่จะเป็นอาหารของเต่า ปู ปลา ฯลฯ คือบุคคลผู้เป็น “ทุคติอเหตุกบุคคล(ทุคติอเหตุกปุคฺคล)” คือ บุคคลผู้มีจิต ๑๒ ทำงานอยู่เป็นประจำคือ :
ทุคติอเหตุกบุคคล จิต ๑๒ : โลภมูลจิต ๘
โทสมูลจิต ๒
โมหมูลจิต ๒
บุคคลประเภทนี้มีอกุศลจิต(อกุสลจิตฺต) ๑๒ ทำงานพร้อมด้วยอกุศลเจตสิก(อกุสลเจตสิก) บุคคลประเภทนี้ได้แก่ อบายสัตว์(อปายสัตว์)ในอปายภูมิ ๔ คือ สัตวนรก เปรต อสุรกาย และสัตว์เดรัจฉาน ผู้ไม่สามารถจะรู้ธรรมได้ หมดโอกาสบรรลุธรรม มีแต่อกุสลเหตุมาทำงานคือ :
โลภเหตุ ๑ โทสเหตุ ๑ โมหเหตุ ๑
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเป็นพระสัพพัญญูพุทธเจ้า ทรงทราบความเป็นไปของสัตวะทั้งหลายด้วยความตรัสรู้ วิชชา ๓ คือ :
๑. ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ทรงทราบเรื่องราวในอดีตภพ (อตีตภว) ย้อนกลับไปถึงพันชาติ หมื่นชาติ แสนชาติ นับจะประมาณมิได้ ว่าทรงเกิดเป็นอะไร มีชื่อ โครตได้เสพสุข ทุกข์มาอย่างไร
๒. จุตูปปาตญาณ ทรงมีทิพพจักขุ ล่วงรู้ถึงกำเนิดหรือจุติ หรืออุปัตติของสัตวะทั้งหลาย รู้ถึงกรรม(กมฺม)
และบารมี(ปารมี)ที่สัตวะสั่งสมมาว่าจะบรรลุธรรมด้วยธรรมใด
และบารมี(ปารมี)ที่สัตวะสั่งสมมาว่าจะบรรลุธรรมด้วยธรรมใด
๓. อาสวักขยญาณ ทรงตรัสรู้การทำอาสวะให้สิ้น บรรลุถึงพระสัมมาสัมโพธิญาณ เป็น พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าและเพื่อประกาศให้โลกเห็นเป็นธรรมบัญญัติ(ธมฺมปญฺญตฺติ)ว่า ธรรมของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้นเป็นธรรมที่ละเอียด สุขุม คัมภีรภาพ ต้องฟังและใคร่ครวญตามธรรมของพระพุทธองค์เท่านั้น จึงจะลึก ซึ้ง และสงบ ประณีตได้ ไม่ใช่มานั่งสงบของเราเอง
ถ้าจะสงบ ต้องสงบ โดยพุทธธรรม
ถ้าจะลึกซึ้ง ต้องลึกซึ้ง โดยพุทธธรรม
ถ้าจะปณีตะ ต้องปณีตะ โดยพุทธธรรม
๒.พระพุทธดำรัส
“ดูก่อน ภิกษุ(ภิกฺขุ)ทั้งหลาย มหาสมุทรย่อมลึกลงไปตามลำดับ ลาดลงตามลำดับ ไม่โกรกชันเหมือนภูเขาขาด ฉันใด ธรรมวินัย(ธมฺมวินย)นี้ก็ ฉันนั้น มีการสิกขาไปตามลำดับ การปฏิปัตติ(ปฏิปตฺติ)ตามลำดับ การบรรลุธรรมตามลำดับ ลุ่มลึกลงตามลำดับ”
ความงามของพระพุทธวจนะ ความลาดลุ่มลึกแห่งพุทธธรรม คือความเป็น “คัมภีระ” หลักธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีความลาดลุ่มลึก เป็นอัศจรรย์ดุจห้วงมหาสมุทร เหมาะสมแก่สติปัญญาของชนทุกระดับชั้น หลักธรรมในพระพุทธศาสนาจะมีความลึกซึ้ง และลุ่มลึกเป็นอัศจรรย์เข้าไปสู่จิตของเวไนยชน จนกว่าจะถึงอริยมัคค อริยผล
จนกว่าจะถึงโลกุตตระ
จนกว่าจะถึงโลกุตตระ
เรื่องความอัศจรรย์ของมหาสมุทรนี้ องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ตรัสกับอสูรชื่อ “ปหาราทะ” ดังปรากฏใน “ปหาราทสุตตะ” ในอัฏฐกนิปาต อังคุตตรนิกายความว่า :
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ ควงไม้สะเดาที่ นเรฬุยักษ์สิงสถิตอยู่ ใกล้เมืองเวรัญชา ครั้งนั้น ท้าวปหาราทะ จอมอสูรได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วยืนอยู่ ณ ที่สมควร พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสถามท้าวปหาราทะจอมอสูรว่า :
พระผู้มีพระภาคเจ้า : ปหาราทะ พวกอสูรย่อมอภิรมย์ในมหาสมุทรบ้างหรือ?
ท้าวปหาราทะ : ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พวกอสูรย่อมอภิรมย์ในมหาสมุทร
พระผู้มีพระภาคเจ้า : ปหาราทะ ในมหาสมุทรมีธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยปรากฏสักเท่าไรที่พวกอสูรเห็น แล้วย่อมอภิรมย์
ท้าวปหาราทะ : ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ มี ๘ ประการ พุทธเจ้าข้า
พระผู้มีพระภาคเจ้า : ๘ ประการ อะไรบ้าง?
ท้าวปหาราทะ : ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ประการที่ ๑ มหาสมุทรลาดลุ่มลึก ลงไปตามลำดับ หาได้โกรกชันเหมือนเหวไม่
ประการที่ ๒ มหาสมุทรเต็มเปี่ยมอยู่เสมอ ไม่ล้นฝั่ง
ประการที่ ๓ มหาสมุทรไม่เกลื่อนด้วยซากศพ เพราะในมหาสมุทรคลื่นย่อมซัดเอาซากศพเข้าหาฝั่ง ให้ขึ้นบกทันที
ประการที่ ๔ แม่น้ำสายใหญ่ๆ บางสาย คือ แม่น้ำคงคา แม่น้ำยมุนา แม่น้ำอจิรวดี แม่น้ำสรภู แม่น้ำมหึ แม่น้ำเหล่านั้นไหลไปถึงมหาสมุทรแล้ว ย่อมละนามและโครตเดิมหมด
ประการที่ ๕ แม่น้ำทุกสายในโลก ย่อมไหลไปรวมยังมหาสมุทร และสายฝนจากอากาศตกลงสู่มหาสมุทร มหาสมุทรก็มิได้ปรากฎว่าพร่อง หรือเต็มเพราะน้ำนั้นๆ
ประการที่ ๖ มหาสมุทรมีรสเดียว คือ รสเค็ม
ประการที่ ๗ มหาสมุทรมีรัตนะมากมายหลายชนิด ในมหาสมุทรมีรัตนะเหล่านี้ คือ แก้วมุกดา แก้วมณี แก้วไพฑูรย์ สังข์ สิลา แก้วประพาฬ เงิน ทอง ทับทิม มรกต
ประการที่ ๘ มหาสมุทรเป็นที่พำนักอาศัยของสิ่งมีชีวิตใหญ่ๆ และสิ่งมีชีวิตในมหาสมุทร มีดังนี้ ปลาติมิ ปลาติมิงคละ ปลาติมิรมิงคละ พวกอสูร นาค คนธรรพ์ แม้ที่มีร่างกายประมาณ ๑๐๐ โยชน์ ๒๐๐ โยชน์ ๓๐๐ โยชน์ ๔๐๐ โยชน์ ๕๐๐ โยชน์ ก็มีอยู่
จากนั้น ท้าวปหาราทะ ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า : ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็ภิกษุ(ภิกฺขุ)ทั้งหลายย่อมอภิรมย์ในพระธรรมวินัยมีบ้างหรือ?
พระผู้มีพระภาคเจ้า : ปหาราทะ ภิกษุ(ภิกฺขุ)ทั้งหลายย่อมอภิรมย์ในพระธรรมวินัยนี้
ท้าวปหาราทะ : ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ในพระธรรมวินัยนี้ มีธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยปรากฏสักเท่าไรที่ภิกขุทั้งหลายเห็น แล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่
พระผู้มีพระภาคเจ้า : มีอยู่ ๘ ประการ ปหาราทะ ๘ ประการ เป็นไฉน?
๑.ปหาราทะ มหาสมุทรลาด ลุ่มลึก ลงไปตามลำดับ ไม่โกรกชันเหมือนเหวฉันใด ในพระธรรมวินัยนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน มีการศึกษา(สิกฺขา)ไปตามลำดับ มีการกระทำไปตามลำดับ มีการปฏิปัตติ(ผลที่ปรากฏ)ไปตามลำดับ มิใช่จะมีการบรรลุอรหัตตผลโดยตรง ข้อนี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยปรากฏ ประการที่ ๑ ในพระธรรมวินัยนี้ ที่ภิกขุทั้งหลายเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่
๒.ปหาราทะ มหาสมุทรเต็มเปี่ยมอยู่เสมอ ไม่ล้นฝั่งฉันใด สาวกทั้งหลายของตถาคตก็ฉันนั้นเหมือนกัน ไม่ล่วงสิกขาบทที่ตถาคตปัญญัตติไว้ แม้เพราะเหตุแห่งชีวิต ข้อนี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยปรากฏ ประการที่ ๒ ในพระธรรมวินัยนี้ ที่ภิกขุทั้งหลายเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่
๓.ปหาราทะ มหาสมุทรไม่เกลื่อนด้วยซากศพ เพราะในมหาสมุทรคลื่นย่อมซัดเอาซากศพเข้าหาฝั่ง ให้ขึ้นบกฉันใด ปหาราทะ ฉันนั้นก็เหมือนกัน บุคคลผู้ทุศีล(ทุสีล) มีบาปธรรม(ปาปธมฺม) มีสมจาระไม่สะอาด น่ารังเกียจ ปกปิดกรรม(กมฺม)ชั่ว มิใช่สมณะ แต่มีปฏิญาณว่าเป็นสมณะ มิใช้ผู้ประพฤติพรหมจรรย์ แต่มีปฏิญาณว่าประพฤติพรหมจรรย์ เน่าใน ชุ่มด้วยราคะ เป็นเพียงดังหยากเยื่อ สงฆ์(สงฺฆ)ย่อมไม่อยู่ร่วมกับบุคคลนั้น ประชุมกันยกวัตรเธอเสียแล้วทันที แม้เขาจะนั่งอยู่ท่ามกลางภิกษุสงฆ์(ภิกฺขุสงฺฆ)ก็จริง ถึงกระนั้น เขาก็ชื่อว่าห่างไกลจากสงฆ์ สงฆ์ห่างไกลจากเขา ข้อนี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยปรากฏ ประการที่ ๓ ในพระธรรมวินัยนี้ ที่ภิกขุทั้งหลายเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่
๔.ปหาราทะ แม่น้ำสายใหญ่ๆ บางสาย คือ แม่น้ำคงคา แม่น้ำยมุนา แม่น้ำอจิรวดี แม่น้ำสรภู แม่น้ำมหึ แม่น้ำเหล่านั้นไหลไปถึงมหาสมุทรแล้ว ย่อมละนามและโครตเดิมหมด ถึงความนับว่ามหาสมุทรนั้นเองฉันใด ปหาราทะ ฉันนั้นก็เหมือนกัน วรรณะ ๔ เหล่านี้คือกษัตริย์ (ขตฺติย) พราหมณ์ (พฺราหฺมณ) แพศย์(เวส) ศูทร ออกบวช(ปัพพัชชา ) เป็นบรรพชิต(ปพฺพชิต)ในพระธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้ว ย่อมละนามและโครตเดิมเสีย ถึงความนับว่าเป็น
สมณศากยบุตรทั้งนั้น ข้อนี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยปรากฏประการที่ ๔ ในพระธรรม
วินัยนี้ ที่ภิกขุทั้งหลายเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่
สมณศากยบุตรทั้งนั้น ข้อนี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยปรากฏประการที่ ๔ ในพระธรรม
วินัยนี้ ที่ภิกขุทั้งหลายเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่
๕.ปหาราทะ แม่น้ำทุกสายในโลก ย่อมไหลไปรวมยังมหาสมุทร และสายฝนจากอากาศตกลงสู่มหาสมุทร มหาสมุทรก็มิได้ปรากฎว่าพร่อง หรือเต็มเพราะน้ำนั้นๆฉันใด ปหาราทะฉันนั้นก็เหมือนกัน ถึงแม้ภิกขุเป็นอันมากจะปรินิพพานะด้วยอนุปาทิเสสนิพพานะธาตุ นิพพานธาตุก็มิได้ปรากฏว่าพร่องหรือเต็มด้วยภิกขุนั้น ข้อนี้เป็นธัมมะที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยปรากฏ ประการที่ ๕ ในพระธัมมวินยะนี้ ที่ภิกขุทั้งหลายเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่
๖.ปหาราทะ มหาสมุทรมีรสเดียว คือ รสเค็มฉันใด ปหาราทะฉันนั้นก็เหมือนกัน พระธรรมวินัยมีรสเดียว คือ วิมุตตรส ข้อนี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยปรากฎ ประการที่ ๖ ในพระธรรมวินัยนี้ ที่ภิกขุทั้งหลายเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่
๗.ปหาราทะ มหาสมุทรมีรัตนมากมายหลายชนิด ในมหาสมุทรมีรัตนะเหล่านี้ คือ แก้วมุกดา แก้วมณี แก้วไพฑูรย์ สังข์ สิลา แก้วประพาฬ เงิน ทอง ทับทิม มรกต ฉันใด ปหาราทะ ฉันนั้นก็เหมือนกัน พระธรรมวินัยนี้มีรัตนะมากมายหลายชนิด รัตนะในพระธรรมวินัยมีดังนี้ คือ สติปัฏฐาน(สติปฏฺฐาน)๔ สัมมัปปธาน(สมฺมปฺปธาน)๔ อิทธิปาท(อิทฺธิปาท)๔ อินทรีย์(อินฺทริย)๕ พละ(พล)๕ โพชฌงค์(โพชฌงฺค)๗ อริยมัคค(อริยมคฺค)มีองค์ ๘ ข้อนี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยปรากฏ ประการที่ ๗ ในพระธรรมวินัยนี้ ที่ภิกขุทั้งหลายเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่
๘. ปหาราทะ มหาสมุทรเป็นที่พำนักอาศัยของสิ่งมีชีวิตใหญ่ๆ และสิ่งมีชีวิตในมหาสมุทร มีดังนี้ ปลาติมิ ปลาติมิงคละ ปลาติมิรมิงคละ พวกอสูร นาค คนธรรพ์ แม้ที่มีร่างกายประมาณ ๑๐๐ โยชน์ ๒๐๐ โยชน์ ๓๐๐ โยชน์ ๔๐๐ โยชน์ ๕๐๐ โยชน์ ก็มีอยู่ ฉันใด ฉันนั้นก็เหมือนกัน พระธรรมวินัยนี้ก็เป็นที่พำนักอาศัยของสิ่งมีชีวิตใหญ่ๆ สิ่งมีชีวิตในพระธรรมวินัยนี้ มีดังนี้ คือ :
โสตาปัตติมัคคะ ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อกระทำให้แจ้งซึ่ง โสตาปัตติผละ
สกทาคามิมัคคะ ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อกระทำให้แจ้งซึ่ง สกทาคามิผละ
อนาคามิมัคคะ ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อกระทำให้แจ้งซึ่ง อนาคามิผละ
อรหัตตมัคคะ ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อกระทำให้แจ้งซึ่ง อรหัตตผละ
ข้อนี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยปรากฏ ประการที่ ๘ ในพระธรรมวินัยนี้ ที่ภิกขุทั้งหลายเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสถึงความอัศจรรย์ของมหาสมุทร เปรียบความลุ่มลึกของมหาสมุทร กับที่สุดของพระธรรมวินัย คือได้เป็นอริยบุคคล ๘ มีพระอรหันต์เป็นที่สุด
ธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงชี้ อย่าเข้าใจว่า มหาสมุทรคือ มหาสมุทร มหาสมุทร คือ พระพุทธเจ้า เวลาพระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมเทศนา(ธมฺมเทสนา) เป็นไปด้วยความสุขุม คัมภีระ ลุ่มลึก เข้าไปในจิตของเรา
มหาสมุทรย่อมลึกลงไปตามลำดับ เรามองมหาสมุทร คือ ธรรมของพระพุทธเจ้าที่ทรงเทสนาสั่งสอน ทุกท่านที่สดับธรรมมีกุสลเดิมมาตั้งแต่อดีต จะมีความลุ่มลึกในธรรมไปตามลำดับ ดังบุคคล ๑๒ ประเภท คือ :
๑. ทุคติอเหตุกบุคคล(ทุคติอเหตุกปุคฺคล) ได้แก่ อปายภูมิ ๔ : สัตว์นรก เปรต อสุรกาย และสัตว์เดรัจฉาน
๒. สุคติอเหตุกบุคคล(สุคติอเหตุกปุคฺคล ) ได้แก่ คน มนุษย์ และเทวดาชั้นจาตุมหาราชิกา
๓. ทวิเหตุกบุคคล(ทวิเหตุกปุคฺคล ) ได้แก่ เทวดาตั้งแต่ชั้นตาวติงสา ยามา ตุสิตา นิมมานรตี ปรนิมมิตวสวัตตี
๔. ติเหตุกบุคคล(ติเหตุกปุคฺคล) ได้แก่ พรหมผู้ได้ฌาน ผู้ได้สมาธิ
๕. โสตาปัตติมัคคบุคคล(โสตาปตฺติมคฺคปุคฺคล)
๖. โสตาปัตติผลบุคคล(โสตาปตฺติผลปุคฺคล)
๗. สกทาคามิมัคคบุคคล(สกทาคามิมคฺคปุคฺคล)
๘. สกทาคามิผลบุคคล(สกทาคามิผลปุคฺคล)
๙. อนาคามิมัคคบุคคล(อนาคามิมคฺคปุคฺคล)
๑๐. อนาคามิผลบุคคล(อนาคามิผลปุคฺคล)
๑๑. อรหัตตมัคคบุคคล(อรหตฺตมคฺคปุคฺคล)
๑๒. อรหัตตผลบุคคล(อรหตฺตผลปุคฺคล)
“ลาดลงตามลำดับ” คือ หลักธรรมจะต้องมีเบื้องต้น ท่ามกลาง และที่สุด ในหลักธรรมนั้นจะต้องมองว่า นี่คือ พระพุทธวจนะที่ว่า ทางที่ลาดไปตามลำดับ คือ ทางที่พระพุทธเจ้าทรงสอน จะค่อยๆ ลุ่มลึกไปตามลำดับ คือค่อยๆ ลาดไปทีละนิดๆ เราต้องรู้ตั้งแต่เริ่มต้นคือ อนุบาล(อนุปาล) เหมือนทางโลกเริ่มเรียนตั้งแต่ อนุบาล ประถม มัธยม อุดมศึกษา บัณฑิตศึกษา มหาบัณฑิต ดุษฎีบัณฑิต เช่นเดียวกันในทางธรรม ก็ต้องเริ่มตั้งแต่พื้นฐานคือ เรื่องของจิต(จิตฺต) เจตสิก(เจตสิก) และรูป(รูป)
“ไม่โกรกชันเหมือนภูเขาขาด” คำว่า “โกรกชัน” คือทางที่เต็มไปด้วยโลภะ โทสะ โมหะ ถ้าบุคคลยังมีความโกรกชันเหมือนภูเขาขาด คือเต็มไปด้วยโลภะ โทสะ โมหะ ก็จะรับธรรมไม่ได้ ภูเขาที่โกรกชันก็จะไม่มีอะไรติดค้างอยู่ ธรรมของพระพุทธเจ้าไปถึงบุคคลที่โกรกชันก็จะไม่มีธรรมติดอยู่ ไม่มีที่ตรึกระลึกนึกถึงธรรม บุคคลที่ฟังธรรมจะเป็นผู้โกรกชันหรือเปล่า เราก็จะรู้ได้ด้วยตัวเองว่า เราจะเชื่อฟังธรรมหรือไม่?
“ธรรมวินัยนี้ก็ฉันนั้น” หลักธรรมของพระพุทธเจ้าก็เช่นกัน มีการศึกษา(สิกฺขา) ไปตามลำดับ การนำธรรมขั้นสูงมากระทำ เช่น การเพ่งกสิน การทำมหาสติปัฏฐาน การเพ่งรูปนาม เรียกว่า ไม่เป็นไปตามลำดับ พระพุทธองค์ตรัสว่าต้องมีการสิกขาไปตามลำดับ มีการปฏิปัตติ(ได้รับผล)ไปตามลำดับ บรรลุธรรมไปตามลำดับ ไม่มีการข้ามขั้น การนำธรรมขั้นสูง ชั้นยอดมากระทำโดยไม่รู้พื้นฐาน จะทำให้เราพบภัยพิบัติ(วิปตฺติ) คือ ทางจิต เราไม่รู้ว่าจะไปทางไหน จะมีอุปสรรค ถ้าเราค่อยๆ สิกขาไปตามลำดับ รู้ไปตามลำดับ เราก็จะไม่มีอุปสรรค จะราบเรียบไปเรื่อยๆ
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า : “ดูกรภิกขุทั้งหลาย มหาสมุทรย่อมลึกลงไปตามลำดับ” คำว่า “ภิกษุ (ภิกฺขุ)” หมายรวมถึง ภิกษู และภิกษุณี ถ้าเราสิกขาไปตามลำดับ เราก็จะไม่มีปัญหา ธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นของลุ่มลึก ต้องฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าอย่างเดียว การจะได้ฌานก็ได้จากคำสอนของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ไปนั่งเอาเอง
สรุป คือ พุทธดำรัสของพระบรมศาสดา ชี้ว่า การจะเข้าถึงหลักธรรมนั้นจะต้องพากเพียรพยายาม ไม่ใช่ในชาตินี้ชาติเดียว พระอริยบุคคล ท่านก็บำเพ็ญเพียรมาแล้วนับอเนกอนันตชาติ กว่าท่านจะประสบผลสำเร็จ เรามาอ่านพบตอนที่ท่านสำเร็จแล้ว เราก็นึกว่าธรรมเป็นของง่าย แต่เราไม่ใช่พระอริยเจ้าที่ท่านสั่งสมบารมีธรรมมาแล้วจากอดีต ดังนั้น การสิกขาธรรมของเรานั้นต้องสิกขาตามขั้นตอนไปตามลำดับ ต้องรู้จักจิต เจตสิก รูป จึงจะถึงซึ่งพระนิพพาน ต้องรู้จัก อกุสล กุสล จนกระทั่งไปสู่ฌาน และโลกุตตระ พระพุทธเจ้าทรงชี้ให้เห็นว่า ธรรมนั้นมีความลุ่มลึก พุทธบริษัท ๔ (พุทธปริสา ๔) คือ ภิกขุ ภิกขุนี อุปาสก อุปาสิกา อย่าได้ท้อถอย การสิกขาธรรมจะลุ่มลึกไปตามลำดับจนกว่าจะได้รับผล
๓. ลักษณะการสอนธรรม ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์
อาการที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน :
๑. อภิญฺญา ทรงสั่งสอนเพื่อให้ผู้ฟัง รู้ยิ่ง เห็นจริง ในธรรมที่ควรรู้ ควรเห็น
๒. สนิทาน ทรงสั่งสอน มีเหตุที่ผู้ฟัง อาจตรองตามให้เห็นจริงได้
๓. สปฺปาฏิหาริย ทรงสั่งสอนเป็นอัศจรรย์ คือผู้สิกขาตามย่อมได้ประโยชน์โดยสมควรแก่การสิกขาธรรมนั้น
๑. อภิญฺญา พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสั่งสอน ให้ผู้ฟังให้รู้ยิ่งเห็นจริงในธรรมที่ควรรู้ ควรเห็น
คำว่า “รู้ยิ่ง” เท่ากับ ความเป็นพระอรหันต์ ต้องรู้ตามพระพุทธเจ้า
คำว่า “เห็นจริง” คือ เห็นตามพระพุทธเจ้า ธรรมที่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนให้ผู้ฟังให้รู้ยิ่ง เห็นจริง คำว่า “เห็นจริง” คือ เห็นตั้งแต่พื้นฐานธรรมดา เห็นตั้งแต่จิต เห็นตั้งแต่เจตสิก เห็นตั้งแต่รูป แล้วเห็นไปจนถึงนิพพาน
การที่เราสิกขาธรรมผิด ประพฤติธรรมผิด เพราะเราไปเห็นเอง ไม่ได้รู้แจ้งเห็นจริงตามพระพุทธเจ้า ถ้าเราสิกขาพระพุทธศาสนาถูกต้องมาตั้งแต่ต้น จนมาถึงปัจจุบัน พระพุทธศาสนาจะยิ่งใหญ่ที่สุด แต่เนื่องจากบุญกุศล(ปุญญกุสล)ของแต่ละคนที่เกิดมา จะมีธรรมในอดีตมาขนาดไหน จึงมาสดับธรรมต่อเนื่อง ในยุคพุทธกาล ผู้ที่มาพร้อมที่จะบรรลุธรรมนั้นมีมาก ดังนั้นพระพุทธองค์จึงไม่ต้องทรงสอนมาก แต่จะบอกหลักเกณฑ์ไว้สำหรับชนรุ่นหลังว่า จะต้องไตร่ตรอง ใคร่ครวญธรรมของพระพุทธองค์อย่างไร ธรรมนั้นมีสภาพคงเดิม ไม่มีผันแปรที่เรียกว่า “ตาทิ” คือ “คงที่” หมายความว่า ถ้าสิกขาตามคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้าก็จะเป็นไปตามนี้ คือต้องรู้ยิ่งและเห็นจริงด้วย คือ ธรรมที่พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้ แล้วจะมาอยู่ที่จิตเรา เราต้องเริ่มต้นด้วยสัจจธรรมคำสอนเท่านั้น จึงจะเข้ากฎว่า รู้ยิ่ง เห็นจริง
ธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นอภิญญา ผู้ฟัง ผู้ได้สะสมภูมิธรรมมาดีแล้ว จึงจะรู้ยิ่ง เห็นจริง เข้าถึงธรรมนั้น
๒. สนิทาน ทรงสั่งสอนมีเหตุที่ผู้ฟังอาจตรองตามให้เห็นจริงได้ ธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นสนิทาน เป็นเรื่องราวที่บุคคลได้สร้างกุสลไว้ในอดีต สามารถที่จะตรองตามธรรม และเข้าถึงธรรมได้ ดังบุคคลในสมัยพุทธกาล ธรรมของพระผู้มีพระภาคเจ้ามีเหตุและผลรับกันตลอด แต่ผู้ฟังอาจตรองตามให้เห็นจริงได้ หรืออาจตรองตามไม่ทัน คืออาจจะต้องใช้เวลายาวนานเป็นแสนล้านชาติ จึงจะรู้ยิ่ง เห็นจริง แต่เราก็โชคดีที่ชาตินี้ได้เกิดมาพบพระพุทธษศาสนา และมาสิกขาข้ออัตถธรรม และถือเป็นปุญญะ(บุญ) เป็นอย่างยิ่งที่ได้มาสิกขาธรรม แม้อย่างน้อย ท่องจำจิตได้ ๑ จิต ก็คือเห็นจริงไปแล้ว ๑ ข้อ
จิตเกิดจากความหยั่งรู้ของพระพุทธเจ้า เกิดจากความเห็นจริงของพระพุทธเจ้า แล้วเราจะไม่มีบุญได้อย่างไร แต่เนื่องจากเรานำหลักธรรมคำสอนของพระพุทธองค์มาเรียนแปล ทำให้เราเข้าไม่ถึงธรรม ต้องเรียนแปลภาษาโลก แล้วกลับเข้าสู่ภาษาธรรม เมื่อเราไม่มีธรรมของพระพุทธองค์อยู่ในจิต ก็แสดงว่า เรายังไม่มีการรู้ยิ่ง เห็นจริง ในธรรมที่ควรรู้ ควรเห็น การตรัสรู้ไม่ใช่เกิดที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย แต่เกิดที่จิต การเป็นพระโสดาบัน(โสตาปนฺน) พระสกทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์เป็นที่จิต พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมีอาสวักขยญาณดับปฏิจจสมุปปาท ดับการเวียนว่ายตายเกิดใน ๓๑ ภูมิ สามารถทำให้สิ้นอาสวกิเลส แล้วทำทุกคนให้สิ้นอาสวกิเลสด้วย ถ้าฟังธรรม สิกขาธรรมตามพระพุทธเจ้า อย่านึกคิดเอาเอง อย่าพูดเอาเอง โดยไม่มีหลักธรรมคำสอนของพระพุทธองค์
๓. สปฺปาฏิหาริย ธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นสัปปาฏิหาริยะ ทรงสั่งสอนเป็นอัศจรรย์ ผู้สิกขาตามย่อมได้ประโยชน์โดยสมควรแก่การสิกขาธรรมนั้น คือจะสามารถบรรลุธรรมไปตามลำดับ ตั้งแต่พระโสดาบัน(โสตาปนฺน) พระสกทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์
เราเกิดมาเชื่อคำสั่งสอนของปุถุชน เราก็ไปตามทางของปุถุชน ปุถุชนคือผู้มีกิเลสหนา หนาด้วยโลภะ หนาด้วยโทสะ หนาด้วยโมหะ ปุถุชนคืออปายภูมิ ๔ แต่ถ้าเราเชื่อคำสอนของพระพุทธเจ้า เราก็ไปมัคคะ ผละ นิพพานะ เมื่อเราอยู่ในทางโลก ก็ต้องแบ่งเวลาให้ทางธรรมด้วย เวลาของเราคือต้องฟังธรรม ฟังพระไตรปิฎก(ติปิฏก) จดจำธรรม ค่อยๆ พัฒนาจิต ตามธรรมของพระพุทธองค์ จนกว่าจะถึงธรรมไปตามลำดับ
๔ . พุทธบริษัท ๔(พุทธปริสา ๔) และหน้าที่ของพุทธบริษัท ๔
พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงประกาศ พุทธบริษัท ๔
พุทธบริษัท ๔ เกิดขึ้น ในสมัยที่พระยาปรนิมมิตวสวัตตีมาราธิราช ทูลอาราธนาพระผู้มีพระภาคเจ้าให้เสด็จปรินิพพาน ครั้งเสวยวิมุตติสุข ณ ต้นอชปาลนิโครธในสัปดาห์ที่ ๕ หลังตรัสรู้ว่า : “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าจงปรินิพพาน ขอพระสุคตจงปรินิพพานในบัดนี้เถิด บัดนี้เป็นเวลาปรินิพพานของพระผู้มีพระภาคเจ้า”
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า : “ดูก่อนมารผู้มีบาป (ผู้มีบาป ผู้ที่ยังไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้า) บริษัททั้ง ๔ คือ ภิกษุบริษัท(ภิกขุปริสา) ภิกษุณีบริษัท(ภิกขุนีปริสา) อุบาสกบริษัท(อุปาสกปริสา) อุบาสิกาบริษัท(อุปาสิกาปริสา) ผู้เป็นสาวกของตถาคต จักยังไม่ฉลาด ไม่ได้รับการแนะนำ ยังไม่แกล้วกล้า ไม่เป็นพหูสูต ไม่ทรงธรรม ไม่สิกขาธรรมสมควรแก่ธรรม ไม่ปฏิบัติชอบ ไม่ประพฤติตามธรรม เรียนกับอาจารย์ของตน จักบอก จักปัญญัตติ จักแต่งตั้ง จักเปิดเผย จักจำแนก จักทำให้ตื้น จักแสดงธรรมมีปาฏิหาริยะ (คำสอนที่เห็นผลได้จริง) ข่มขี่ปรับปวาทะ (คำโต้แย้งของลัทธิอื่น) ที่เกิดขึ้นให้เรียบร้อยโดยสหธรรม (ความเห็นตรงกัน) ไม่ได้ เพียงใด ดูก่อนมารผู้มีบาป ตถาคตจักยังไม่ปรินิพพานเพียงนั้น”
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประกาศให้ทราบว่า พระพุทธศาสนาต้องประกอบด้วย พุทธบริษัท๔(พุทธปริสา๔ )คือ ภิกษุบริษัท(ภิกขุปริสา ) ภิกษุณีบริษัท(ภิกขุนีปริสา ) อุบาสกบริษัท(อุปาสกปริสา) และอุบาสิกาบริษัท(อุปาสิกาปริสา) จะขาดบริษัทใด บริษัทหนึ่ง มิได้
หน้าที่พุทธบริษัท๔(พุทธปริสา๔ )พึงกระทำ
๑. พุทธบริษัท๔(พุทธปริสา ๔ ) ต้องเป็นผู้รู้ เข้าใจ และสามารถประพฤติธรรมได้ถูกต้อง ตามพระพุทธธรรมคำสอน ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์(พระพุทธวจนะ, พระไตรปิฎก)
๒. พุทธบริษัท๔(พุทธปริสา ๔ ) ต้องสามารถ แนะนำ สั่งสอนผู้อื่นให้ประพฤติตามได้อย่างถูกต้อง ตามพระธรรมวินัย ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ (พระวินัย พระสุตตันตะ พระอภิธรรม)
๓. เมื่อมีผู้กล่าว ติเตียน จ้วงจาบ แสดงคำสอน ผิด พลาด พุทธบริษัท๔(พุทธปริสา ๔ )ต้องสามารถ ชี้แจง แก้ไข ให้ถูกต้องตาม หลักธรรมของพระพุทธศาสนา (พระพุทธวจนะ)
จึงเป็นหน้าที่ของพุทธบริษัท๔(พุทธปริสา ๔) ที่จะต้องรักษาพระพุทธศาสนาไว้ให้ลูกหลานต่อไปภายหน้ายิ่งชีวิต
· พุทธปริสา๔ = พุทธบริษัท ๔
ได้แก่ : ๑. ภิกขุ (สามเณร)
๒. ภิกขุนี (สามเณรี สิกขมานา)
๓. อุบาสก(อุปาสก)
๔. อุบาสิกา(อุปาสิกา)
การทูลอาราธนาปรินิพพานของพระยามาราธิราช เป็นเหตุให้สมเด็จพระสมณโคตมพุทธเจ้า ทรงตั้งพุทธบริษัท๔(พุทธปริสา๔) และกำหนดธรรม ๓ ประการ ซึ่งเป็นหน้าที่ของพุทธบริษัท๔(พุทธปริสา ๔) การจะเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องมีพุทธบริษัท๔(พุทธปริสา๔) รองรับเป็นพุทธสาวก ถ้าเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าไม่ต้องมีพุทธบริษัท๔(พุทธปริสา ๔)
พระยามาราธิราช เป็นพระโพธิสัตว์ที่จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคตกาลภายหน้า ทรงพระนามว่า “สมเด็จพระธรรมสามีพุทธเจ้า” ซึ่งจะต้องทำหน้าที่ของพระพุทธเจ้าเช่นเดียวกัน ท่านจะต้องเรียนรู้กิจจะนี้ จึงได้มีการทูลอาราธนาให้พระผู้มีพระภาคเจ้าปรินิพพานอยู่เสมอ
การที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงวางหลักไว้ว่า ศาสนาของพระพุทธองค์จะต้องมีพุทธบริษัท๔(พุทธปริสา ๔) คือ ภิกขุปริสา ภิกขุนีปริสา อุปาสกปริสา และอุปาสิกาปริสา ไม่ใช่มีเพียงบริษัท ๓ (ปริสา ๓) โดยขาดภิกษุณีบริษัท(ภิกขุนีปริสา) เพราะเข้าใจกันในปัจจุบันว่า ภิกษุณีบริษัท(ภิกขุนีปริสา)หมดสิ้นไปแล้ว แต่โดยที่พระพุทธองค์กำหนดไว้ว่าต้องมีพุทธบริษัท๔(พุทธปริสา๔) ถ้าขาดบริษัทใดบริษัทหนึ่ง เหลือเพียง บริษัท๓ จะต้องสืบต่อให้ครบบริษัท๔ ดังเช่นประเทศศรีลังกา ยามใดที่เหลือบริษัท๒ คือ อุปาสกบริษัท และอุปาสิกาบริษัท ประเทศศรีลังกาก็ขอภิกขุบริษัทจากประเทศไทย ประเทศไทยเป็นสยามวงศ์ ภิกขุลังกาได้รับสืบทอดเป็นสยามวงศ์ และประเทศไทยก็ได้รับภิกขุสืบทอดมาจากลังกาวงศ์ จนบัดนี้ประเทศศรีลังกามีพุทธบริษัท๔ ครบถ้วน แต่ประเทศไทยยังคงมีบริษัท๓ โดยไม่ยอมรับภิกขุนีบริษัทที่ไปบวชมาจากประเทศอื่น ซึ่งขณะนี้ก็เริ่มมีภิกขุนีบริษัทบ้างแล้ว แต่ยังไม่เป็นที่แพร่หลาย
พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อตรัสรู้แล้วทรงฝากพุทธศาสนาไว้กับพุทธบริษัท๔(พุทธปริสา๔) ไม่ได้ฝากไว้กับบริษัทใดบริษัทหนึ่ง เมื่อเกิดความผิดพลาด พุทธบริษัท๔(พุทธปริสา๔) ต้องช่วยกันแก้ไขให้ถูกต้องตามพระธรรมวินัย และบริษัททั้ง ๔ นี้จะเป็นเนื้อนาปุญญะ พร้อมนำธรรมไปสู่การสิ้นอาสวะ
การจะสิ้นอาสวะนั้นไม่ใช่ของง่าย และการตรัสรู้ของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ต้องบำเพ็ญเพียรถึง ๒๐ อสงไขย กำไรแสนกัปป์ นั่นคือตั้งความปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าไว้ในใจ ๗ อสงไขย ประกาศพระวาจาว่าจะเป็นพระพุทธเจ้าอีก ๙ อสงไขย รวมเป็น ๑๖ อสงไขย หลังจากนั้นต้องรอคอยการพยากรณ์ (ยืนยัน) จากสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่ง
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประกาศสัจจธรรมคำสอนแล้ว ทรงมอบให้พุทธบริษัท๔(พุทธปริสา ๔) ก่อนที่พระพุทธเจ้าจะเสด็จปรินิพพานนั้น พระพุทธองค์ไม่ได้ทรงตั้งสาวกองค์ใดให้รับตำแหน่งเป็นพระศาสดาปกครองคณะสังฆะสืบต่อจากพระองค์ เมื่อพระพุทธองค์ปรินิพพานไปแล้ว
พระบรมศาสดาตรัสบอกพระมหาอานนทเถระว่า : “ดูก่อนอานนท์ ธรรมก็ดี วินัยก็ดี ที่ตถาคตได้แสดงไว้ และปัญญัตติไว้ด้วยดี นั่นแหละจักเป็นพระศาสดาของพวกท่านสืบแทนตถาคต เมื่อตถาคตล่วงไปแล้ว” (จาก มหาปรินิพพานสุตตะ)
ดังนั้น พระธรรมวินัย หรือ พระไตรปิฎ(ติปิฏก) ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ จึงเป็นศาสดาในพระพุทธศาสนานี้แทนองค์สมเด็จพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
พุทธบริษัท๔(พุทธปริสา๔)ทั้งหลายจะต้องไปหาพระศาสดา คือ พระพุทธวจนะ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ที่เราเรียกว่า “พระไตรปิฎก” แม้เราจะท่องจำพระไตรปิฎก ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ เราทำปุญญกิริยาวัตถุเป็นประจำโดยไม่รู้หลักธรรม เรารักษาพระวินัยอย่างเคร่งครัด เรารู้จักพระสูตรอย่างถ่องแท้ เราก็ได้เพียง “อุเปกขาสันตีรณ อเหตุกกุสลวิปากจิต(อุเปกฺขาสนฺตีรณ อเหตุกกุสลวิปากจิตฺต)” เท่านั้น เป็นเพียง สุคติอเหตุกบุคคล ที่สะสมกุสลอันน้อยนิด ยังไม่เป็นมหากุสลจิต(มหากุสลจิตฺต)ที่จะสะสมเป็น “กามาวจรมหาวิปากจิตตะ(กามาวจรมหาวิปากจิตฺต)” เมื่อเรามาสิกขาธรรมคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้าในพระอภิธรรม ซึ่งเป็นเรื่องของเหตุ จึงจะเป็นกุสลแท้ ไปอยู่ในกามาวจรมหาวิปากจิต๘(กามาวจรมหาวิปากจิตฺต ๘) เป็นทวิเหตุกบุคคล ที่จะพัฒนาต่อไป
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประกาศว่า ในศาสนาของพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ ต้องมีพุทธบริษัท๔(พุทธปริสา๔) และในพุทธบริษัท๔(พุทธปริสา๔ )นั้นจะต้องฟังธรรมของพระพุทธเจ้าอย่างเดียว ถ้าฟังแล้วจะเข้าใจธรรม ไม่ใช่ไปฟังธรรมจากคนนอกลัทธิที่นำมาเผยแพร่กันเหมือนดอกเห็ด
หน้าที่ของพุทธบริษัท๔(พุทธปริสา ๔)
๑. ภิกษุ(ภิกขุ ) ต้องฟัง พระพุทธเจ้า
๒. ภิกษุณี(ภิกขุนี ) ต้องฟัง พระพุทธเจ้า
๓. อุบาสก(อุปาสก) ต้องฟัง พระพุทธเจ้า
๔. อุบาสิกา(อุปาสิกา )ต้องฟัง พระพุทธเจ้า
ถ้าใครไม่ฟังพระพุทธเจ้า (คำสอนของพระพุทธเจ้า) ในพุทธบริษัท๔(พุทธปริสา๔) จะต้องไปชี้แจง ไปบอก ว่ากล่าวตักเตือน เพื่อช่วยให้เดินทางได้อย่างถูกต้อง พุทธบริษัท๔(พุทธปริสา ๔ )ต้องช่วยกันเอง ทุกท่านมีหน้าที่ในการฟังธรรมจนสามารถรู้และเข้าใจธรรม จนสามารถแนะนำสั่งสอนผู้อื่นได้
หน้าที่ของพุทธบริษัท๔(พุทธปริสา ๔) ต้องกระทำ คือ :
๑. พุทธบริษัท๔(พุทธปริสา๔) ต้องเป็นผู้รู้ เข้าใจ และสามารถประพฤติธรรมได้ถูกต้อง ตามพระพุทธธรรมคำสอน ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ (พระพุทธวจนะ พระไตรปิฎก)
หน้าที่ของพุทธบริษัท๔(พุทธปริสา ๔) ต้องเป็นผู้รู้ เข้าใจธรรมของพระพุทธเจ้า การศึกษาทางโลกจนจบปริญญาตรี ปริญญาโท ปริญญาเอก ฯลฯ มีความรู้ทางโลกมากมาย เช่น วิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ คณิตศาสตร์ อักษรศาสตร์ เกษตรศาสตร์ ฯลฯ ศาสตร์ทางโลกทั้งหมดเป็นเรื่องของทิฏฐิ ผู้รู้อย่างนี้เป็นทิฏฐิ เราต้องมีความรู้และเข้าใจทางธรรมของพระพุทธเจ้าจึงจะเป็นญาณ มีความรู้ที่เป็นกุสล ที่จะพัฒนาจิตให้สูงไปตามลำดับ ความรู้ทางโลกเป็นแต่เรื่องของโลภะ โทสะโมหะ เป็นเรื่องของสัญญา ๓ คือ กามสัญญา โคจรสัญญา และมรณสัญญา เช่นเดียวกับสัตว์เดรัจฉานทั้งหลาย แต่มนุษย์สามารถรู้ธรรมสัญญาได้ ซึ่งสัตว์เดรัจฉานไม่สามารถมีได้
เราเป็นผู้สิกขา (ศึกษา) พุทธธรรมคำสอน ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ต้องรู้และเข้าใจหลักธรรมด้วย ไม่ใช่จำแบบนกแก้ว นกขุนทอง เราต้องสิกขาให้ถูกต้องตามพระพุทธวจนะ ถูกต้อง ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า เราต้องสิกขาทั้งพระวินัย พระสูตรและพระอภิธรรม
พระวินัย(วินย) เป็นเรื่องของ ผล
พระสูตร(สุตฺตนฺต) เป็นเรื่องของ ผล
พระอภิธรรม(อภิธมฺม) เป็นเรื่องของ เหตุ
การเวียนว่ายตายเกิดเป็นผลที่มาจาก เหตุ มี จิต เจตสิก รูป การจะดับเหตุต้องรู้เรื่องเหตุ เหตุคือพระอภิธรรมที่กล่าวถึงเรื่องของ จิต เจตสิก รูป จึงจะถึงซึ่งพระนิพพาน ถ้าเราได้มีโอกาสได้สิกขาธรรมแล้ว เราจะสิกขาไปตามลำดับ ถ้าเราไม่สิกขาธรรม เราก็จะไม่รู้ และจะไม่รู้ตลอดไป สิ่งที่เราต้องรู้คือเรื่องของปรมัตถธรรม ที่ประกอบด้วยเรื่องของ จิต เจตสิก รูป และ นิพพาน ซึ่งเป็นเรื่องของชีวิตของเราเอง
๒. พุทธบริษัท๔(พุทธปริสา ๔ ) ต้องสามารถแนะนำ สั่งสอนผู้อื่นให้ประพฤติตามได้อย่างถูกต้อง ตามพระธรรมวินัย ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ (พระวินยะ พระสุตตันตะ พระอภิธัมมะ)
พุทธบริษัท๔(พุทธปริสา๔ ) ต้องสามารถนำธรรมที่ได้สิกขามา รู้ตามธรรมของพระพุทธเจ้าแล้ว เป็นธรรมที่ถูกต้อง เมื่อเข้าใจธรรมแล้ว สามารถนำไปแนะนำสั่งสอนผู้อื่น ให้รู้ตามธรรมนั้นได้ไปตามลำดับ เช่น
- ไม่ใส่ในบาตร(ปตฺต) ด้วยวัตถุอนามาส เช่น เงิน ทอง ข้าวสาร อาหารแห้ง ฯลฯ
- ไม่ถวายสังฆทานที่มีอาหาร หลังเที่ยงไปแล้ว
- ไม่ถวายจีวร นอกจีวรกาล
- ไม่ทำสังฆทานเวียน
- ไม่ชวนภิกขุสนทนา ขณะท่านกำลังฉันภัตตาหาร
- ไม่ถวายหมากพลู บุหรี่ ยาเสพติดทั้งหลาย
- ไม่ถวายบัตรเครดิต
- ไม่ถวายโทรศัพท์ที่ทำให้ท่านต้องอาบัติ(อาปตฺติ)
- ไม่ถวายเครื่องบำรุงบำเรอความสุขทางโลกทั้งปวง
ฯลฯ
พระอภิธรรม เป็นธรรมแห่งความตรัสรู้ เป็นธรรมที่จะรื้อสัตวะขนสัตวะ ออกจากการเวียนว่ายตายเกิด เมื่อพุทธบริษัท๔(พุทธปริสา๔) ได้สิกขารู้ตามธรรมแล้ว ต้องสามารถนำธรรมนี้ไปแนะนำสั่งสอนผู้อื่น เพื่อช่วยให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ไปด้วย ซึ่งเป็นจุดประสงค์หลักของพระพุทธศาสนา
ธรรมของพระพุทธเจ้า เป็นธรรมที่สุขุม ลุ่มลึก คัมภีระ จำเป็นต้องใช้กาลเวลา พุทธบริษัท๔(พุทธปริสา๔) จะต้องทนฟัง และฟังทนไปจนกว่าจะรู้ธรรมนั้น
๓.เมื่อมีผู้กล่าว ติเตียน จ้วงจาบ แสดงคำสอน ผิด พลาด พุทธบริษัท๔(พุทธปริสา๔) ต้องสามารถชี้แจง แก้ไข ให้ถูกต้อง ตามหลักธรรมของพระพุทธศาสนา
เมื่อมีผู้กล่าวจาบจ้วงพระธรรมวินัย ว่า :
- อย่าเชื่อปริยัติ(ปริยตฺติ)
- อย่าเชื่อพระไตรปิฎก(ติปิฏก)
- พระไตรปิฎกมีเพียงเล่มเดียว นอกนั้นแต่งขึ้นมาใหม่
- ใครจะจำพระไตรปิฎกได้มากมายอย่างนี้
- บางคนบอกว่า ไม่เชื่อว่าพระมหาโพธิสัตว์ ขณะเมื่อประสูติกาลทรงย่างพระบาทได้ ๗ ก้าว
- บางคนอ่านพระไตรปิฎกไม่เข้าใจ ก็จะบอกว่า พระอภิธรรมแต่งขึ้นมาภายหลัง ฯลฯ
พุทธบริษัท๔(พุทธปริสา๔) ต้องช่วยกันชี้แจง แก้ไขข้อผิดพลาดทั้งหลาย อย่านิ่งดูดาย การจะแก้ไขได้ ต้องมีความรู้ในพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ต้องสิกขาให้รู้ในพระธรรมวินัยให้รู้กระจ่างชัด ต้องฟังธรรมของพระพุทธองค์ว่าจะแก้ไขได้อย่างไร ต้องรู้เหตุรู้ผล การจะรู้เหตุรู้ผล ต้องรู้เรื่องจิต เจตสิก รูป เพราะธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นธรรมคัมภีระ ลุ่มลึก และลึกซึ้ง
ธรรมของพระพุทธเจ้า เรียกว่า “ปริยัติ” หรือ “ปริยัตติ” คือ “ปริยัตติธรรม”
“คำสอนของพระพุทธเจ้า” คือ “พระธรรมวินัย”
“ปริยัติ(ปริยตฺติ)” คือ “พระพุทธวจนะ ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์” ซึ่งเป็นเหตุ เราต้องฟังคำสอนของพระพุทธเจ้า แล้วจึงได้รับผลจากการฟังคำสอน คือ “ปฏิบัติ(ปฏิปตฺติ)” เป็น “พระอริยบุคคล ๘ ประเภท” แล้วจึงถึงซึ่ง “ปฏิเวธ(ปฏิเวธ)” คือ “พระนิพพาน(นิพฺพาน)”
ปริยัตติ คือ พระพุทธวจนะ ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์
ปฏิปัตติ คือ พระอริยบุคคล ๘ ประเภท
๑. พระโสตาปัตติมัคคบุคคล ๒. พระโสตาปัตติผลบุคคล
๓. พระสกทาคามิมัคคบุคคล ๔. พระสกทาคามิผลบุคคล
๕. พระอนาคามิมัคคบุคคล ๖. พระอนาคามิผลบุคคล
๗. พระอรหัตตมัคคบุคคล ๘. พระอรหัตตผลบุคคล
ปฏิเวธ คือ พระนิพพาน
สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ
หลัก ในการสิกขาธรรมของพระพุทธเจ้า
๑. สุตฺต หรือ สวน (สะวะนะ) คือ ฟังพระพุทธเจ้าเท่านั้น
สุตฺต = โสต = ฟัง
การสิกขาธรรม คือ ต้องฟังพระพุทธเจ้า ว่าพระพุทธเจ้าทรงสอนว่าอย่างไร ไม่ใช่ฟังจากครูอาจารย์ แล้วปักใจเชื่อโดยไม่เทียบเคียง เปรียบเทียบกับพระไตรปิฎก(ติปิฏก)
การได้เป็นพระอริยบุคคล เริ่มต้นที่พระโสดาบัน(โสตาปนฺน)
โสดา = โสตา = โสต = ฟัง คือต้องฟัง ทุกคนที่บรรลุธรรมในพระสุตตันตปิฎกะ ล้วนต้องฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า ที่พระสาวกนำมาแสดง ไม่มีผู้ใดที่ไม่ฟังพระพุทธเจ้าแล้วจะบรรลุธรรมได้เลย
๒. การสิกขาธรรมของพระพุทธเจ้าให้คิดไว้เสมอว่า เราต้องเป็นเพียงเด็กอนุบาลเท่านั้น ในทางโลกกว่าเราจะเรียนจบปริญญาตรี ปริญญาโท ปริญญาเอก กว่าเราจะอ่านออกเขียนได้ มีวุฒิจบปริญญาในระดับต่างๆ มีอาชีพ มียศ มีตำแหน่ง มีฐานะ จบเปรียญธรรมขั้นสูง เราก็ต้องเริ่มเรียนตั้งแต่ เรียนก.ไก่ – ฮ.นกฮูก ผสมสระ พยัญชนะ วรรณยุกต์ จากชั้นอนุบาล ประถม มัธยม อุดมศึกษา จนจบปริญญา เช่นเดียวกันในทางธรรม ซึ่งเป็นธรรมคัมภีระ เราต้องสิกขาตั้งแต่พื้นฐานของธรรม คือต้องสิกขาในเรื่อง จิต เจตสิก รูป ซึ่งเป็นปรมัตถธรรม จนกว่าจะไปสู่ขั้นการบรรลุธรรม เป็นพระโสตาปันนะ จนถึง พระอรหันตะ
สิ่งที่เราเรียนมาทางโลก เป็นไปได้ใน สัญญา ๓ คือ กามสัญญา โคจรสัญญา และ มรณสัญญา เพื่อใช้ทำมาหากิน เลี้ยงชีวิต เมื่อตายลงเป็นเหตุให้ไปอบายภูมิเท่านั้น ส่วน ธรรมสัญญาของพระพุทธเจ้าเป็นไปเพื่อมัคคะ ผละ นิพพานะ
๓. การสิกขาธรรมให้คิดเสมอว่า เราต้องทนฟังและฟังทนเท่านั้น เพราะธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นไปเพื่อการหลุดพ้น การจะหลุดพ้นได้ต้องใช้เวลายาวนานเป็นอสงไขยชาติ (อสงฺเขยยชาติ) พระผู้มีพระภาคเจ้า (ปัญญาธิกะ) ต้องใช้เวลาถึง ๒๐ อสงไขย กำไรแสนกัปป์ เพื่อตรัสรู้ธรรมที่จะนำมาสั่งสอนเวไนยสัตว์(เวเนยฺยสัตตา)ให้พ้นทุกข์(ทุกฺข) ข้อธรรมล้วนเป็นธรรมคัมภีระ ลึกซึ้ง เห็นได้ยาก และรู้ตามได้ยาก จำเป็นต้องใช้เวลายาวนาน และต้องอดทน
๔. อย่าใจร้อน อย่าด่วนได้ อย่าเอาแต่ใจ อย่ามักง่าย ต้องใคร่ครวญธรรมให้ลึกซึ้ง อย่ายกตนเทียบบุคคลในสมัยพุทธกาล อย่าตีตนเสมอพระพุทธเจ้า อย่าปัญญัตติธรรมเอาเอง อย่าได้คิดเอาเอง หรือลงความเห็นด้วยการเดา
บุคคลในสมัยพุทธกาล ท่านได้สะสมข้อธรรมมามากมาย เมื่อท่านเกิดมา ท่านพร้อมที่จะบรรลุธรรม แม้เพียงฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าเพียงเล็กน้อย ก็สามารถเข้าใจและบรรลุธรรมได้ เราเกิดมาโชคดีได้พบพระพุทธศาสนา ได้สิกขาตัวอย่างพระอริยบุคคลในพระไตรปิฎก ทำให้เรามีข้อคิดแล้วว่า :
เราจะต้องแก้ไขตนเองอย่างไร จึงจะถึงธรรมได้อย่างท่าน?
สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ
หลักในการอ่านพระไตรปิฎก(ติปิฏก)ให้เข้าใจ
๑. ต้องคำนึงถึง คติธรรมในการศึกษา(สิกฺขา)พระพุทธศาสนา
๑.๑ พระพุทธรำพึง ที่ว่า : “ธรรมที่ตถาคตตรัสรู้แล้วนี้ ลึกซึ้ง เห็นได้ยาก รู้ตามได้ยาก สงบ ประณีต(ปณีต) มิใช่วิสัยแห่งตรรก(ตกฺก) คือ คิดเอาไม่ได้ หรือไม่ควรลงความเห็นด้วยการเดา...”
๑.๒ พระพุทธดำรัส ที่ว่า : “ดูกรภิกขุ ทั้งหลาย มหาสมุทรย่อมลึกลงไปตามลำดับ ลาดลงตามลำดับ ไม่โกรกชัน เหมือนภูเขาขาด ฉันใด ธรรมวินัยนี้ก็ ฉันนั้น มีการสิกขาไปตามลำดับ การปฏิปัตติตามลำดับ การบรรลุธรรมตามลำดับ ลุ่มลึกลงตามลำดับ”
๒. เราเป็นปุถุชนคนธรรมดาในยุคปัจจุบัน เป็นเพียง สุคติอเหตุกบุคคล มีจิต ๑๖
สุคติอเหตุกบุคคล จิต ๑๖ : โลภจิต ๘
โทสจิต ๒
โมหจิต ๒
กามาวจรญาณวิปปยุตตมหากุสลจิต ๔
อย่าได้คิดเปรียบเทียบกับบุคคลในสมัยพุทธกาลที่ท่านฟังธรรมแล้วบรรลุธรรมได้ง่ายดาย เพราะท่านเป็น ติเหตุกบุคคล มีจิต ๑๓
ติเหตุกบุคคล จิต ๑๓ : กามาวจรญาณสัมปยุตตจิต ๔
รูปาวจรมหากุสลจิต ๕
อรูปาวจรมหากุสลจิต ๔
ท่านผู้มีญาณสัมปยุตตจิต ๔ รูปาวจรมหากุสลจิต ๕ และ อรูปาวจรมหากุสลจิต ๔ มีฌานแล้ว มีสมาธิแล้ว แล้ว พร้อมที่จะบรรลุธรรม
๓. อย่าได้ปรามาสพระภิกขุ พระภิกขุนี อุปาสก อุปาสิกา ที่ท่านเป็นปฐมปัญญัตติ เป็นผู้มีหน้าที่มาวางรากฐานด้านต่างๆ ให้แก่ พระพุทธศาสนา เช่นพระฉัพพัคคีย์ เป็นต้น เป็นต้นปัญญัตติในเรื่องของพระวินัยหลายประการ และในที่สุด ภิกขุแต่ละท่านที่มาเป็นต้นปัญญัตติ ซึ่งไม่ต้องอาปัตติ ก็สามารถบรรลุธรรมได้ การจะมีพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น และจะตั้งพระพุทธศาสนาได้ จะต้องมีผู้อาสาสมัครมาสร้างเหตุของพระวินัย เป็นต้นปัญญัตติ และพระพุทธองค์จึงจะวางพระวินัยเป็นสิกขาบทได้ แม้ในพระสุตตะ ก็จะมีผู้มาบรรลุธรรมในลักษณะต่างๆ เพื่อให้มีเรื่องราวครบถ้วนบริบูรณ์ไว้ในพระพุทธศาสนา เพื่อจะได้ไม่มีผู้มากล่าวคัดค้านได้
๔. หลักธรรมใดที่เราอ่านแล้วยังไม่เข้าใจ ต้องคิดว่าภูมิธรรมของเรายังไม่มี หรือมีแล้ว แต่ยังไม่สุขุม คัมภีระ ก็ควรอ่านผ่านไปก่อน อย่าไปวิพากษ์วิจารณ์ธรรมของพระพุทธเจ้า
๕. การเรียนแปล พระพุทธวจนะ ให้เป็นไปตามความหมายภาษาโลก จะยังเข้าไม่ถึงความหมายที่สุขุม ลุ่มลึก คัมภีระ เหมือนกับภาษาธรรมของพระพุทธเจ้า เช่น :
โลภะ เราแปลภาษาโลกว่า อยากได้ของเขา แต่ภาษาธรรมหมายถึง โลภจิต ๘ ซึ่งจะต้องมีบุคคละผู้มี จิต ๑๒๑ เจตสิก ๕๒ รูป ๒๘ มีกระบวนการทำงาน จนเข้าสู่ความเป็นพระอรหันต์
๖. การอ่านพระไตรปิฎก(ติปิฏก) เช่นอ่านพระวินัย และพระสุตตันตะมีความรู้เรื่องพระพุทธประวัติ พระพุทธกิจจะตลอด ๔๕ พระพรรษา ประวัติพุทธสาวก ฯลฯ เป็นการอ่านเรื่องราวที่เป็นวิปาก เป็นผลสำเร็จมาแล้ว ว่ามีบุคคลใด ทำอะไรไว้ ที่ไหน ทำแล้วเกิดผลอย่างไร แต่ยังไม่รู้ถึงเหตุที่ทำให้เกิดผลนั้น การจะรู้เหตุต้องสิกขาในพระอภิธรรม ซึ่งเป็นเรื่องของปรมัตถธรรม ประกอบด้วยเรื่องของจิต(จิตฺต) เจตสิก และรูป จึงจะถึงพระนิพพาน
๗. การตีความหมายธรรมของพระพุทธเจ้า จะไม่มีคำแปล จะมีแต่ความรู้ลึกซึ้ง ขยายเข้าไปสู่ภาษาธรรม คือ รู้เข้าไปในเรื่องของ จิต เจตสิก รูป และกระบวนการทำงานของวิถีจิตในเรื่องนั้นๆ ซึ่งเป็นเรื่องของปรมัตถธรรมในพระอภิธรรมเท่านั้น จึงจะเข้าไปรู้ถึงเรื่องเหตุ แล้วจึงไปดับเหตุนั้นได้ โดยพระพุทธเจ้าทรงนำพาไปเท่านั้น
๘. เราท่านทั้งหลายจำเป็นต้องสิกขาภาษาธรรม คือ เรื่องของพระอภิธรรมจึงจะเข้าใจพระไตรปิฎก(ติปิฏก)ได้ลึกซึ้ง คัมภีระ เข้าไปสู่ความเข้าใจถูกต้องในหลักธรรมอย่างแท้จริง จึงจะมีธรรมเข้าไปรักษา คุ้มครองจิต ให้พ้นภัยจากการเวียนว่ายตายเกิดในสงสารวัฏฏะ๓๑ ภูมิได้
สงสารวัฏฏะ๓๑ ภูมิ ได้แก่ : อบายภูมิ ๔ มนุษย์ ๑ เทวดา ๖ พรหม ๑๖ อรูปพรหม ๔.
สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ
รวบรวมเรียบเรียงโดย.........วิเสสลกฺขณมิตฺตา
ชมรมสิกขาธัมมะตามพระไตรปิฎก(ติปิฏก) ๘๔๐๐๐ พระธัมมขันธะ(กระทรวงอุตสาหกรรม)
วันที่ ๖ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๕๔
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น