วันเสาร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2554

สัญญา ๓ - สัญญา ๔

สัญญา ๓สัญญา ๔

   สัตวะ(สตฺต)ทั้งหลายในสังสารวัฏฏะ(สงฺสารวฏฺฏ)ล้วนมีสัญญา(สญฺ)  ตราบใดที่ยังไม่เป็นพระอรหันต์(อรหนฺต) ยังไม่เข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ(สญฺาเวทยิตนิโรธ) เพื่อดับเวทนาและสัญญา ตราบนั้นก็ยังมีสัญญาอยู่ สัญญาภาษาโลกตามพจนานุกรมมีความหมายว่า ความจำ สัญญาในภาษาธรรม หมายถึง สัญญาเจตสิก(สญฺาเจตสิก)” ซึ่งเป็นอัญญสมานเจตสิก(อญฺสมานเจตสิก) เป็นสัพพจิตตสาธารณเจตสิก(สพฺพจิตฺตสาธารณเจตสิก)  เข้าทำงานได้กับกุสลจิต(กุสลจิตฺต) และอกุสลจิต(อกุสลจิตฺต)ทั้ง๑๒๑ จิต ส่วนมากเราไม่รู้ว่า  สัญญา ๓  คืออะไร?” แต่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า  สัญญา ๓  นี้เป็นเรื่องของทั้งมนุษย์(มนุสฺส)และสัตวะ(สตฺต)ที่ยังอยู่ในอกุสล(อกุสล)  ทุกคน หรือ ทุกสัตวะจะมีสัญญา ๓ กันทุกตัวตน
            สัญญา ๓  ในภาษาโลก  คือ  :
๑.    กามสัญญา (กามสญฺ)
๒.  โคจรสัญญา (โคจรสญฺ)
            ๓.  มรณสัญญา (มรณสญฺ)

สัญญาทั้ง ๓  มีอยู่ในสัตวะทั้ง ๓๑   ภูมิ  เมื่อไรที่ยังไม่เป็นพระอรหันต์ ยังมีสัญญา ๓ อยู่ด้วย สัญญา ๓ ในความหมายที่แท้จริงเริ่มต้นที่อบายภูมิ(อปายภูมิ) หรือว่าสัตว์เดรัจฉาน(ติรจฺฉาน) เปรต(เปต)  อสุรกาย(อสุรกาย) และสัตวนรก(นิรยสตฺตา) ที่มีสัญญา ๓  หมายความว่า ยังไม่สามารถพัฒนาไปสู่ความหลุดพ้น  หรือไปสู่หลักธัมมะ(ธมฺม)คำสอนของพระพุทธเจ้าได้  สิ่งที่เป็น สัญญาที่๔ เป็นสัญญาที่เนื่องด้วย การได้พบ พระพุทธธัมมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า(สมฺมาสมฺพุทฺธ) การที่ได้พบหลักพุทธธัมมะคำสอนของพระพุทธเจ้าเท่านั้น จึงจะเพิ่มเป็น สัญญา ๔  คือ ธัมมสัญญา(ธมฺมสญฺ) คำว่า สัตวะ หมายถึง สัตว์ที่ยังมีสัญญา ๓ ครองอยู่ แต่เรายกคำว่า สัตว์ นี้ไปให้กับสัตว์เดรัจฉาน ที่จริงทุกคนที่ยังไม่ได้พบหลักธัมมะคำสอนของพระพุทธเจ้าที่แท้จริง เรียกว่า สัตวะ ทั้งสิ้น และยังเวียนว่ายในสังสารวัฏฏะ  ที่จริงเราก็เป็น สัตว์มนุษย์  สัตว์เทวดา  สัตว์พรหม  สัตว์อรูปพรหม  สัตว์เปรต   สัตว์อสุรกาย แล้วก็สัตว์นรก ทั้งหมดเป็นสัตว์ คนที่ยังได้ชื่อว่าเป็น สัตว์ หรือ สัตวะ คือ บุคคลที่มีสัญญา ๓ ประการ คือ :

๑. กามสัญญา(กามสญฺ) : บางทีเราไม่รู้จักคำว่า สัญญา สัญญา คืออะไร?  สัญญาที่เราตั้งแต่ตื่นขึ้นมา จำอะไรได้ทุกอย่าง ทั้งจำ ทั้งเรียนหนังสือ  ทั้งทำอะไรทุกๆ อย่าง เขาเรียกว่า สัญญาทั้งสิ้น การจะยกมือ การจะยืน เดิน นั่ง นอน ทำอะไรทั้งหลาย เกิดจากกระบวนการที่เรียกว่า จำ แล้วก็ คิด  ความคิด คือ ความจำ รู้ คือ ความจำ เรียน ก.ไก่ ถึง ฮ.นกฮูก เขาเรียกว่า จำ ก.ไก่ ถึง ฮ.นกฮูก หรือ A ถึง Z หรือว่าเรียนภาษาจีน ภาษาญี่ปุ่น ภาษาอังกฤษ เรียนอะไรก็ตาม เราเรียน เราจำได้ทุกอย่าง เป็นภาษาไทย เรียก สัญญา พอไปภาษาต่างประเทศ ก็เรียกต่างกัน ภาษาอังกฤษเรียก ความจำว่า memory” ภาษาจีนเรียกอย่างไร  ภาษาญี่ปุ่นเรียกอย่างไร  ภาษาฝรั่งเศสเรียกอย่างไร นั่นก็คือเกี่ยวกับสัญญา ที่จริงก็คือระบบ ทุกคนต้องมีหน่วยความจำ  ซึ่งต้องจำ  การสร้างความจำนี่  เราไม่รู้  เรานึกว่าจำจากสมองในกะโหลกศีรษะ  หรือว่ามันสมองเป็นความจำ แต่พระพุทธองค์ไม่ได้ตรัสอย่างนั้น ความจำนี้อยู่ที่ส่วนไหนเขาสร้างมาแล้ว เมื่อมาเกิดแล้วเขามาบันทึกไว้ นี่ต้นมะม่วง นี่ต้นมะพร้าว ต้นขนุน นี่วัว ควาย กระต่าย สุกร  สุนัข  กา ไก่ ฯลฯ ล้วนเป็นความจำทั้งหมด  แล้วแต่สมมติเรียกว่าอะไร ภาษาทุกภาษาที่เราสามารถบันทึกความจำได้ แต่อย่าลืมว่า สัญญานี่  ไม่ใช่เราจำอย่างเดียว  สัตว์เดรัจฉาน(ติรัจฉาน)ที่เราเห็นชัดๆ เขาก็จำ  เขาออกลูกมาแล้ว  สัตว์เดรัจฉานก็จำลูกได้  แล้วลูกที่เกิดมาก็จำได้อีก  อย่างลูกของจิงโจ้  แม่มีถุงหน้าท้อง   พอเกิดออกมาเขาก็ไต่ไปอยู่ในถุงได้อย่างนี้ ล้วนเป็นความจำ เป็นสัญญา ความจำนี้ไม่ใช่จำมาตั้งแต่ชาตินี้  เขาสร้างความจำมาตั้งแต่อดีตชาติ  การที่เราสร้างความจำมาตั้งแต่อดีตชาติ  เรียกว่า กามสัญญา
             
กามสัญญานี่ มีกามาสวะ(กามาสว)  ต้องจำมาจากอดีต  จำจนชินแล้ว  ไม่ว่าสัตว์ทุกชนิด  เขารู้จัก วัวออกจากคอกก็ไปหาหญ้ากิน  มีใครสอนบ้าง สัญญาแบบนี้ การที่คนจะพัฒนามากขึ้นก็ต้องมีการเรียนรู้ แต่สัตว์เดรัจฉานเขาต้องมีการสอน มีการฝึก เช่น  การฝึกสุนัข ฝึกให้สุนัขรู้จักเรียนรู้ที่จะทำอย่างไร  ส่วนสุนัขเขารู้เขามีคุณสมบัติของเขาอยู่แล้ว เราฝึกให้เขามีเพิ่มขึ้น เช่น สุนัขดมสารยาเสพติด ก็คือกลุ่มพวกนี้ ทุกคนเกิดมาจะมีสัญญา สัญญาที่จดจำไว้เรียบร้อยแล้ว เขาจะบันทึก การบันทึกตั้งแต่สัญญานี้ เขาเรียกว่า     สัญญาที่เกิดจากกาม(กามสัญญา)   พูดถึงกามให้นึกถึง ๑๑ ชั้น คือ  เทวดา  (เทวตา )    มนุษย์(มนุสฺส)     อบายภูมิ(อปายภูมิ)        นี่เขาเรียกว่า   กาม จะพูด กาม เลยจากนี้ไปไม่ได้ แต่ว่าเนื่องจากเรามองไม่เห็นเทวดา  เปรต  อสุรกาย  สัตวนรก    ที่เรามองเห็นเหลือแต่ คน กับ สัตว์เดรัจฉาน จะเห็นว่า คนกับ สัตว์เดรัจฉาน เหมือนกัน มีความต้องการ เหมือนกัน มีความปรารถนาเหมือนกัน อยากสุขสบาย เหมือนกันหมด ฉะนั้น คน ก็ไม่ต่างจาก สัตว์เดรัจฉาน ฉะนั้น คน คือ สัตว์เดรัจฉานนั่นเอง สัตว์เดรัจฉาน ก็คือ คน เพราะว่า คน ก็อยู่ในกามสัญญาเหมือนกัน  ก็ไม่ต่างจากสัตว์เดรัจฉาน  และ สัตว์เดรัจฉาน ก็ไม่ต่างกันจากคน  แต่คนมีโอกาสดีกว่าที่เอาเปรียบเบียดเบียนเขาได้ สัตว์เดรัจฉานก็เบียดเบียนเขาได้ แต่เขาจะเบียดเบียนสิ่งที่เขาจะต้องเบียดเบียนใช่ไหม? ในโพรงที่เขาอาศัย  สัตว์ตัวไหนใหญ่กว่าก็ไปอยู่ได้  สัตว์ตัวไหนเล็กกว่าก็อยู่ไม่ได้  คนก็เบียดเบียนกันอยู่แล้วก็มี   แต่ยังรู้จักระงับบ้าง  แต่สัตว์เดรัจฉาน  ที่จริงเขาก็ระงับเหมือนกัน ถ้าเราศึกษาชีวิตสัตว์จะเห็นว่า สัตว์กับเราจะไม่ต่างกันเลย   เราจึงรักสัตว์  สัตว์ก็รักเรา  จะมีสัญญาความผูกพันกันอย่างนี้ที่เรียกว่า  กามสัญญา
             
พอมีจากอดีตก็จำได้หมด แต่สิ่งที่จำได้จำจนติดตัว สิ่งที่จำอยู่ติดตัว คือ สัญญาประเภทจำทุกอย่าง หิวแล้วต้องจำว่า กินอะไร  อย่างสัตว์เกิดมาแล้ว สามารถคลานไปหานมแม่ แล้วเขาก็มีพ่อกับแม่ ทำไมไม่ไปหานมพ่อ?  เขารู้! พอเขาเกิดจากแม่ทันทีก็ไต่ขึ้นมาหานมแม่  เพราะเขาเกิดจากแม่ ไม่ใช่เกิดมาแล้วไปหานมพ่อ  พ่อไม่มีน้ำนมให้เขาดื่ม เขารู้อย่างนี้เป็นสัญญา  ไม่เคยมีใครสอน  ไม่มีโรงเรียนสอน ที่เป็นอย่างนี้เรียกว่า กลุ่มสัญญา  กลุ่มสัญญาที่มีอยู่เป็น  กามสัญญา
           
เวลานกเขาจะมีไข่มีลูก  อย่างเช่นนกกระจาบ  เขาทำรัง มีใครสอนบ้างว่าต้องทำรังแบบนี้ ลูกนกจึงจะอยู่ได้ เช่นรังนกกระจาบ  ต้องมีรังเหมือนกรวยกระบอกยาวๆ ทำออกมาเป็นกระเปาะ  แล้วสามารถไปเอาหญ้ามาทีละใบ มาสานมาถักอย่างวิจิตร  มีใครเคยสอนบ้าง  แล้วเขาทำได้อย่างไร  ถ้าเราลองทำดูบ้าง ลองไปทำแบบนกระจาบบ้าง เราจะทำได้ไหม? เราทำไม่ได้  บางอย่างสัตว์เขาก็เก่งกว่าเรา บางทีบางอย่างเราก็เก่งกว่าสัตว์  แต่ว่าไม่ใช่ตีเสมอ เขาเปรียบเทียบให้เห็น  เรากับสัตว์ก็มีความสามารถบางอย่าง แต่คนยังต้องไปเรียนรู้ เรียนคอมพิวเตอร์  เรียนทำรถยนต์ ทำเครื่องมือวิทยาศาสตร์ ฝึกอะไรก็ตาม  การที่ฝึกอะไรก็ตามเป็นเหตุหนึ่งของเรา  คนจะเป็นแพทย์  เป็นนักดนตรี เป็นนักวิทยาศาสตร์ ต้องเรียน จะเห็นว่าสิ่งที่มี คนต้องเรียนรู้ เช่น  คนเรียนสร้างเครื่องบิน เพื่อจะได้เอาเครื่องบินให้บินไปได้  แต่นกไม่ต้องเรียนสร้างเครื่องบินเลย เขามีปีก ใครจะรู้ว่านกเขาจะบินได้ มีปีกก็สั่นบินได้แล้ว   อย่างนี้เรียกว่าสัญญา    สัญญายังมีเรื่องอีกมากมาย    ไม่มีโรงเรียนที่ไหนสอน ถ้าไม่มี เหตุเก่า จะจำไม่ได้   ฉะนั้น สัตว์ทุกชนิด ต้องมี เหตุ ทั้งสิ้น

นกกะลาหัวขวานมีลูกออกมา ก็มีโพรงอยู่แล้ว  พ่อแม่ไม่ได้มาสอนลูกว่าต้องเจาะโป๊กๆๆ แบบนี้นะ  แต่มันเป็นโดยอัตโนมัติ  อย่างนี้เหมือนกับที่เราเดินได้นี่ เราเป็นคน เราเดินได้ก็มาจากของเก่าทั้งหมด  เราพูดได้  เดินได้ ไม่ต้องไปสอน นกเขาก็พูด  พูดแบบนก เขารู้เรื่องกันเอง  แล้วเขาจะพูดคล้ายๆ กัน ถ้าเป็นนกกา ไปไหนก็ร้องก้าๆๆ ก็คือเป็นนกกา ถ้าไปเป็นไก่มันก็ร้องแบบไก่เหมือนกัน เป็นสุนัข  ไม่ว่าสุนัขที่ไหนเขาก็ร้องเหมือนกันหมด เวลาเห่าก็เห่าเหมือนกัน ไม่ใช่สุนัขประเทศไทยไปถึงยุโรปแล้วจะร้องแบบยุโรป  แต่คนแปลกแตกต่างจากสุนัข คนไทยพูดภาษาไทย  ไปยุโรปเกิดพูดภาษาอังกฤษ ภาษาฝรั่งเศส แล้วใครดีกว่ากัน? เห็นไหม คนต้องพูดเหมือนกัน  แต่เกิดไปพูดต่างกันอีก เพราะคนเกิดจากการเรียนรู้ การที่ตั้งสมมุติมา แต่สัตว์เขาไม่ต้องเรียน  แล้วเขาคุยกันรู้เรื่อง ไปถึงชาติไหน ไม่ต้องไปเรียน  กาไม่ต้องมาเรียนภาษาว่า ฉันจะไปยุโรปนะ  เมื่อไปถึงยุโรปแล้ว จะต้องพูดภาษากายุโรป  กาไทยบินไปถึงอินเดีย เขาต้องไปเรียนภาษาฮินดี้ไหม? เขาไปอยู่ที่ไหน เขาไม่เคยอดอยากเลย เขาบอกก้าๆๆ ที่ไหนก็ได้  เรากินข้าว มีอาหารแล้ว พอถึงภาษาไทย  กินข้าว   ภาษาจีน เจี๊ยะ  พอไปถึงอินเดีย  ถึงฝรั่งเศส  ถึงญี่ปุ่น  ถึงประเทศต่างๆ  ก็เรียกไปเรียกมาจนกระทั่งกินไม่ลง  คือไม่ได้กินเพราะไม่รู้ภาษา   แต่สัตว์เดรัจฉานเขารู้   สุนัขเขาจะเห่าโฮ่งๆ   แสดงว่าเขาจะกินอาหาร  ขู่แฮ่ๆ แสดงว่าเขาหวงอาหาร  เขารู้ภาษาโดยไม่ต้องมาสอน  ของเรานี่ต้องไปเรียกชื่อ ไม่อย่างนั้นต้องไปชี้  ไปพูด ถ้าพูดไม่ได้ก็ใช้ภาษาใบ้  กินนั่น  ชี้นั่น  กินนี่ ชี้นี่ แต่ก็ไม่ค่อยแน่ใจ  แต่นี่มันเป็นสิ่งอัตโนมัติมากับตัวของตัวเอง  เมื่อเกิดกันมาแต่ตัวของตัวเองอย่างนี้   เขาก็เลย เรียกว่า  สัญญา
             
สัญญาต้องมีเหตุ  สัตว์ทุกชนิดต่างกันมากมาย  ปลาเขาก็รู้  ปลาบางชนิดก็ไม่กินสิ่งมีชีวิต กินแต่แพลงตอน กินแต่หญ้า กินแต่ผัก แต่ปลาบางชนิด ปลาใหญ่กินปลาเล็ก  เขาก็รู้ แล้วใครเคยไปสอน?  แต่จะต้องมีเหตุ พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า สิ่งที่มีเหตุในปัจจุบัน เรียก เหตุ สิ่งที่เราไม่เคยรู้เลย  เรียกว่า เหตุปัจจุบัน  สัญญาปัจจุบัน  เหตุสัญญาปัจจุบัน เหตุที่เป็นอดีต  สัญญาที่เป็นเหตุในอดีต  พระพุทธเจ้าเรียก อุปปัตติเหตุ แปลว่า มีเรื่องราวดำเนินมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน  ฉะนั้น เหตุในปัจจุบัน  เพื่อสร้างไปในอนาคต  เรียนทำกับข้าว ทำแกงส้ม  ต้องมาจำใหม่ว่าแกงส้มมีอะไร  ชาตินี้รู้แกงส้มข้างหน้าไปเกิดไม่รู้แล้ว แต่รู้อย่างเดียวว่าต้องกิน แล้วมีอาการกินเหมือนกัน คนต้องกินเหมือนกัน กินเข้าทางไหน? กินเข้าทางปาก คือ มีปากเหมือนกันทุกชาติ  เป็นคนต้องมี ปาก (ชิวหา)  เพราะเราเป็นภาษากลาง  เราต้องเรียกปาก มีปากทุกคน  ปากเกิดจากสัญญา  แล้วใส่อาหารเข้าไป    เคี้ยวไหม?    เคี้ยว     ถ้าใส่น้ำเข้าไป  กลืน ไม่ใช่กินแล้วอม ไม่มี นี่เขาเรียกว่า สัญญา ลืมตาต้องเห็น  นี่เขาเรียกว่า สัญญา  มีหูต้องได้ยิน เรียกว่า กามสัญญา กามสัญญาทางจักขุ กามสัญญาทางโสตะ   กามสัญญาทางฆานะ  กามสัญญาทางชิวหา   และกามสัญญาทางกายะ  คือ  เขาสอนมาหมด การที่สอนในชาตินี้เขาเรียกว่า กามสัญญาในปัจจุบัน

๒. โคจรสัญญา (โคจรสญฺ) :  พอเราเกิดมาแล้ว  เราเริ่มเรียนหนังสือ เขาเรียก โคจรสัญญา  ทุกคนต้องทำมาหากิน  สัตว์เกิดมาแล้วต้องโคจร  เขาจึงอยู่นิ่งไม่ได้  มีสัตว์ตัวไหนบ้าง    พอเกิดแล้วอยู่กับที่  เขาก็ต้องแสวงหา   การแสวงหาต้องมีจมูก  ดมกลิ่นไปทั่ว มีสัญญาเกี่ยวกับกลิ่น  เขาจำได้หมด อย่างเช่นนกแร้ง  แม้อยู่ไกลซากสัตว์ตายเป็นสิบกิโล ยี่สิบกิโล ก็ยังได้กลิ่น ว่ามีอาหารแล้ว อย่างนี้เป็นกลุ่มโคจรสัญญา อย่างเราก็เหมือนกัน  มีโคจรของตัวเอง ต้องเรียนหนังสือ  ถ้าใครไม่เรียนเขาก็มีนาให้ทำ  มีอิฐให้แบก  มีทรายให้ขน  มีเหล็กให้ผูก  นั่นก็คือ ถ้าไม่เรียน ก.ไก่ ถึง ฮ.นกฮูก ไม่เรียนแม่สองถึงแม่สิบสอง ไม่เรียน เอ ถึง แซด (A-Z) ไม่เรียนภาษานั้นภาษานี้ ก็จะเป็นโคจรสัญญา  ต้องทำมาหากิน  เช้าขึ้นมาต้องหากินกันทุกคน  แล้วแต่ใครจะหากินแบบไหน ฉะนั้น  คนที่เกิดมา ถ้าคนเหมือนกัน ถ้าเรียนก็เรียนเหมือนกัน มีความจำดี  จำง่ายกับจำยาก  คนที่จำอะไรท่องไปเรื่อยเดือนหนึ่งยังจำไม่ได้ ก.ไก่ อยู่นั่นเอง อย่างนี้แล้วจะไปอย่างไร เขาก็มีทางให้โคจรสัญญา  ก็มีทางให้หากิน  จะหากินเป็นชาวประมง  เกษตรกร หาเช้ากินค่ำอะไรอย่างนี้  ก็เพราะว่าความจำอันนี้ ก็มีฐานะ  เขาเรียกว่า  โคจรเพื่อหากิน  นั่นเอง  ทำงานเพื่อเข้าปาก  เข้าชิวหา  ไม่ได้มีอะไรเลย  ที่ทำไปทางตา ทางหู ก็เพี่อที่จะหาเข้าปากเข้าท้อง  คิดวางโครงการใหญ่สร้างรังเหมือนนก  สร้างรังเหมือนสัตว์เดรัจฉานอีก สร้างรัง สร้างบ้าน สร้างที่อยู่อาศัย ใหญ่หน่อยก็สร้างประเทศ    ก็เกิดจากระบบโคจรสัญญา  ไม่อย่างนั้นจะไม่มีประเทศไทย  ไม่มีประเทศกัมพูชา  ไม่มีประเทศลาว  ไม่มีประเทศพม่า ไม่มียุโรป ไม่มีอเมริกา อย่างนั้นเขาเรียกว่า โคจรสัญญา  ทำไปทำมาจำได้ว่าฉันไม่เคยอยู่ที่เล็กๆ  บางคน ถ้าไม่มีเงินก็เช่าอยู่  พอเช่าไปเช่ามา พอมีเงินก็ซื้อที่  อยู่ไปอยู่มามีเงินมากขึ้น ที่ร้อยตารางวาไม่ได้แล้วต้องเป็นสองร้อยตารางวา  พอมีเงินอีกก็เป็นร้อยไร่  พันไร่ ทีนี้มีที่มากๆ  เขาเรียก ขัตติยะ  แปลว่า กษัตริย์ กษัตริย์มาจากเกษตร กษัตริย์ คือ เกษตร ฉะนั้นกษัตริย์คู่กับเกษตร  พอมามีที่มากๆ ขึ้น มีที่น้อยไม่ได้แล้ว  เกษตรต้องทำทั้งประเทศก็เลยได้ประเทศไทย  ได้ประเทศลาว  อย่างนี้เขาเรียกเกษตร อินเดียก็เป็นเกษตร  เกษตร ก็คือ พื้นที่แห่ง โคจรสัญญา  ฉะนั้น ในพื้นที่เกษตร ก็จะมีทรัพย์สมบัติ ก็ไปรู้จักขุดทองคำ มีสัญญาว่าทองคำเป็นโคจรสัญญาที่ดี  ขุดไปขุดมาเจอเพชร  เพชรก็เป็นโคจรสัญญาที่ดี  เพราะคนมีความจำว่าสวย มีราคาแพง  ที่จริงก็เป็นเพชร  ทั้งไก่  งู สัตว์เดรัจฉาน  เขาเห็นเพชร  เขายินดีไหม?  เขาไม่ยินดี เขารู้ว่า โคจรของเขานี่  เขากินไม่ได้  อะไรที่เขากินได้  เขาจึงโคจร  แต่คนไม่อย่างนั้น  โคจรสัญญาทุกเรื่อง  จำได้ว่านี่ต้อง เพชรน้ำงาม พลอยสวยๆ  พลอยนี่ต้องเป็นทับทิม  ต้องเป็นมรกต ฯลฯ    มีอะไรทั้งหลาย  มันก็เลยมาเป็นห่วงโซ่   แต่ว่าทุกอย่างมาเพื่อบริโภค ต้องกิน จึงเกิดการแลกเปลี่ยน เรียกว่า เศรษฐกิจ ขึ้นมา แลกเปลี่ยนความต้องการ  แลกเปลี่ยนผลประโยชน์ซึ่งกันและกัน  แต่ในที่สุด ก็คือ เข้าปาก เหมือนกัน  ได้เงินเอาไปซื้ออาหาร คนงานเจียระไนพลอย เจียระไนออกแรงไปเถอะ แต่ว่าที่สุดคือ กิน ฉะนั้น สัตว์เขาหาไปก็เพื่อกินเหมือนกันหมด  ทั้งสัตว์ทั้งคนเหมือนกันหมด มันไม่แตกต่างกันเพราะอยู่ในโคจรสัญญา     ทุกอย่างไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม      สุดท้ายของคนจะวิจิตรตระการตาอย่างไร  แต่ในที่สุดเป็นไปเพื่อกินอย่างเดียว กิน อยู่  หลับ นอน  แต่เราพูดง่ายๆ ว่ากิน ไม่กินอาหารอยู่ได้ไหม?  อยู่ไม่ได้  ต้องกินอาหารแล้วแต่จะเข้าทางไหน แล้วแต่วิทยาการก้าวหน้า เข้าตามตัวก็ได้  ให้น้ำเกลือก็กินน้ำเกลือเข้าทางเส้นเลือด  เข้าทางกล้ามเนื้อ    หยอดยาทางจมูกบ้าง  มีช่องเข้าได้หมด เพราะพระพุทธองค์ทรงสอนว่ารูปตัวเรามีช่อง เขาเรียก ปริจเฉทรูป  ที่ใหญ่หน่อย ต้องใช้ประจำ เข้าทางปาก เป็นที่รู้กันว่า ต้องกินอาหารเข้าทางนี้  เขาเรียก โคจรสัญญา เมื่อเป็นโคจรสัญญา  ทุกอย่างก็เป็นโคจรสัญญา คือ แสวงหาความอยู่ดีกินดี แล้วแต่จะเพิ่มพูนไปในกรณีใดๆ อย่างนี้ทั้งคนและสัตว์ต้องการเหมือนกัน  ไม่ได้แตกต่างกันเลย
            
 ทุกคนทำงานรู้จักเทคนิค  รู้จักกระบวนการ สัตว์เดรัจฉานก็รู้จักกระบวนการในการผลิตอาหาร ในการสะสมอาหาร สัตว์บางชนิด ในหน้าหนาวไปเก็บลูกผลไม้มาเก็บฝังไว้  บางตัวเก็บไว้ในแก้ม  ลิงเก็บอาหารไว้ในแก้ม วัวเก็บอาหารไว้ในแก้ม ควายเก็บอาหารไว้ในแก้ม  มันไม่ต่างกัน  แล้วเอาออกมาย่อย  หมดแล้วไปหาใหม่  เราก็เหมือนกัน เราก็สะสมอาหาร ของเราเป็นโคจรสัญญา  สะสมอาหาร ฝากเงินกับธนาคารอย่างนี้ ธนาคารก็วุ่นวายอีก  เพราะทุกคนโคจรสัญญา  บางคนนี้ ความพอเพียงอยู่ที่ไหน?  ความพอเพียงก็อยู่ที่ความพอใจ  ถ้าเราพอใจเราก็อยู่กับความพอเพียง  แต่ความพอเพียงในประเทศไทยกับในประเทศในทวีปยุโรปมีความพอเพียงต่างกัน  ความพอเพียงของคนรวยบางคน  ความพอเพียงของคนชั้นกลาง  ความพอเพียงของคนชั้นกรรมกร  คนแต่ละอาชีพก็จะมีความพอเพียงที่แตกต่างกัน  คนที่เป็นกรรมกรก็พอเพียง  พอเพียงก็อยากรวย   คนชั้นกลางพอเพียงก็อยากรวย  คนรวยก็พอเพียงเพราะอยากรวยต่อไป  มีเท่าไรจึงจะพอเพียง ทีนี้คำตอบของโคจรสัญญานี้มันไม่มีอะไรพอเพียง มันไม่มีอะไรที่พึงพอใจ ความพอเพียงนี้จะต้องมาอยู่ในธรรม   ธรรมจะสอนว่าจะอยู่ด้วยความพอเพียงอย่างไร 

ตอนนี้ เราเป็นโคจรสัญญา ไม่มีธรรม  ความพอเพียงจึงอยู่ที่ความพอใจ  ความพอใจจึงอยู่ที่ความพอเพียง  ฉะนั้น ในโคจรสัญญา คือ ใครมือยาวสาวได้สาวเอา  ไม่อย่างนั้น  ไม่มีคนรวย คนจน  คนจนก็ต้องการอย่างหนึ่ง  คนรวยก็ต้องการอย่างหนึ่ง  คนรวยต้องการความสุขสบาย  คนจนก็ต้องการความสุขสบายเหมือนกัน  แต่ว่าทำอย่างไรมันก็ไม่ถึงขั้น  เพราะการที่เราจดจำ การศึกษาอะไรทุกอย่างทั้งหมด องค์ประกอบที่จะทำให้เราก้าวไปสู่ในสิ่งที่ดี  การเรียนหนังสือ  จึงมีคนจบ  เมื่อก่อนไม่ต้องจบเพราะหนังสือที่เรียนมาจากคนที่ไม่ได้เรียนหนังสือ   หนังสือที่เราเรียนไม่ว่าภาษาใด  แต่งโดยคนไม่ได้เรียนหนังสือมาก่อน และเมื่อเรียนหนังสือแล้ว คนต่อๆมาก็เข้ามาสู่คนเรียนหนังสือ เพราะคนที่แต่งภาษาอังกฤษ เอ ถึง แซด  (A-Z) ก็มาจากคนไม่ได้รู้หนังสือ  แล้วก็เขียนว่า อักษรตัวนี้ เอ บี ซี ดี (A B C D) ไปถึงแซด (Z) คนที่เรียนภาษาจีนก็มาจากคนที่ไม่ได้รู้ภาษาจีนมาก่อน  แต่มาเป็นผู้กำหนดภาษา คนที่เรียนภาษาญี่ปุ่น ภาษาฝรั่งเศส  ภาษาเยอรมัน  ภาษาฮินดี้  ภาษาสิงหลก็เช่นเดียวกัน  ต่างก็มาโดยไม่มีภาษา  พอมีภาษาก็สร้างความอุปาทานให้กับคนต่อมา  เขาเรียก โคจรสัญญา  คือ  สร้างคุณสมบัติของคนต่อมาว่า  พอเรียนหนังสือแล้ว   เรียนหนังสือแล้วก็ไปตั้งจากหนังสือมาเป็นตัวอักษรหนังสือ    และเมื่อมาเป็นหนังสือแล้ว   เช่น    ภาษาไทยเมื่อก่อนก็มีภาษาต่างๆสับสนไปหมด เมื่อมีพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ท่านจารึกเป็นภาษา ท่านกำหนดเป็นภาษาไทยว่า ตัว ก.  เขียนอย่างนี้  ตัว ข. เขียนอย่างไร  ก็เป็นการเริ่มต้นของการวางหลักภาษา ภาษาก็เปลี่ยนแปลงไปจนกระทั่งเป็นภาษาที่ทุกคนเรียน  เรียนเพื่อใช้สื่อเหมือนกัน  ทั้งโลกก็แบบเดียวกัน  พอเรียนไปก็ตั้งว่า ถ้าใครไปตั้ง ก.ไก่  ถึง ฮ.นกฮูกได้ ก็ต้องตั้งสระ ๓๒ ได้  รู้จักสนธิ  สมาส  อ่าน ก.  อะ กะ    ก.  อา กา  ได้นี่ เขาเรียกว่า อยู่อนุบาล ๑ แล้วก็พัฒนาไปเรื่อย จนอยู่อนุบาล ๒  ก็เกิดมีการเรียนกันขึ้น  คนมาจากไม่ได้เรียน แล้วก็มีการเรียน  แล้วก็ยึดการเรียน  ถ้าไม่เรียนก็ไม่รู้  ต่อไปก็กำหนดว่าต้องจบ  ป.๔  พระราชบัญญัติการศึกษาของประเทศไทยต้องจบ ป.๔  ทุกคนก็ต้องจบ ป. ๔  ต่อไปตอนนี้ต้องจบ ป.๖  ทุกคนก็จบ ป.๖   ต่อไปจะมีการศึกษาภาคบังคับต่อไปถึง ม.๖  ขณะนี้ ม.๖ ไม่บังคับ  แต่ต่อไปอาจจะบังคับ ต่อไปบังคับถึงปริญญาตรี ต่อไปปริญญาโท  ต่อไปปริญญาเอก  ต่อไปทำงานต้องจบปริญญาเอก  เพราะทำงานต่อไปเป็นโคจรสัญญา
           
  เมื่อก่อนนี้แค่เรียนไม่จบอะไรก็รวยแล้ว  บางคนไม่ต้องจบก็รวย ทำไมคนไม่ได้เรียนหนังสือแล้วรวย  อย่างคนจีนที่ว่าเสื่อผืน หมอนใบ  มาจากประเทศจีน  มารวยล้นฟ้าที่เมืองไทยก็เพราะมาจากความไม่รู้อะไรเลย มาถึงเมืองไทยไม่ได้มาเรียนต่อ  ไม่ได้อ่านออกเขียนได้ มาประกอบโคจรสัญญาเป็นพ่อค้าโชวห่วย  ไม่เท่าไรก็มีเงินมีทรัพย์  แล้วก็ไม่ได้มาจากเรียนหนังสือ  คนจีนเขารู้แต่ภาษาจีน  ไม่รู้ภาษาไทยแต่ทำไมรวย  มาอยู่ที่เมืองไทยได้ ทั้งที่ไม่รู้ภาษาไทย เราต้องหาเหตุว่าตรงนี้คืออะไร? แล้วทุกคนมาจากความพอเพียงของตัวเอง พอเพียงที่จะเป็นพ่อค้า  พ่อค้าพอเพียงในการขยายฐานะ  ขยายไปขยายมาก็เป็นเศรษฐีไปตามๆ กัน มาจากยากจนไปสู่ความร่ำรวย  นั่นก็คือลักษณะของโคจรสัญญา การเรียนหนังสือต่อๆ ไป  เพื่อที่จะได้มีงานทำ  มีโคจรสัญญาที่ดีเช่นเดียวกัน   มีการแสวงหา   เมื่อมีการแสวงหาก็ไม่ต่างอะไรกับสัตว์เดรัจฉาน  เพราะ โคจรสัญญา เทียบเท่ากับ สัตว์เดรัจฉาน คนเมื่อไม่ได้พัฒนาตนเองก็เท่ากับสัตว์เดรัจฉาน เหมือนกัน อย่างเดียวที่เหมือนกันก็ คือกินเข้าไป  ถามว่าคนรวยกินหรือไม่?  กินเข้าทางไหน ทางปาก ฉะนั้น นี่เขาเรียก โคจร แล้ว สัตว์เดรัจฉานเหมือนกันไหม? เหมือนกันหมด  ฉะนั้น คนรวยก็เท่ากับสัตว์เดรัจฉาน  คนจนก็เท่ากับสัตว์เดรัจฉาน  มี ไม่มี คือ ต่างคนต่างแสวงหาเพียงแค่อาหารแต่ละมื้อ นั่นคือองค์ประกอบของคำว่าโคจรสัญญา  สัตวเดรัจฉานบางชนิด  เขาไปเก็บอาหารเขาไว้ได้  ก็เหมือนกับคน  คนยังมีเก็บอาหารได้  สัตว์เขาก็เก็บอาหารได้ เขาเก็บอาหารไว้กิน เช่นในฤดูหนาวเวลาที่หิมะตก ในฤดูหนาวเขาต้องเก็บอาหารไว้ เขาเก็บอาหารไว้ในตัว  ให้เกิดคาร์โบไฮเดรต  ไขมัน รักษาให้เกิดความอบอุ่นของร่างกาย นั่นก็คือ โคจรสัญญา  ต่างคนต่างที่จะทำอะไรก็ตาม  ให้ตัวเองอยู่เป็นสุขให้เหมือนกันหมด  ฉะนั้น สัตว์ไม่ได้แตกต่างจากคน  คนหนาวก็ต้องหาเสื้อกันหนาวคลุมไว้  ต้องแสวงหา  สัตว์ที่อยู่เมืองร้อน เสร็จแล้วเขาไปอยู่เมืองหนาว  เขาก็แสวงหาคำว่าขน  มีขนป้องกันตัว ให้มีขนป้องกันความหนาว  นั่นคือ ลักษณะทั้งหมดเหมือนกัน ฉะนั้น คนก็ไม่ต่างจากสัตว์  สัตว์ก็ไม่ต่างจากคน  แต่คนมีโอกาสดีกว่า  แต่อย่างไรก็ตามก็เหมือนกันหมด

๓. มรณสัญญา(มรณสญฺ)  : จากโคจรสัญญา ต่อไปก็คือ มรณสัญญา สัตว์ทุกชนิดรักชีวิตของตัวเอง คนก็รักชีวิตของตัวเอง ไม่มีใครอยากตายก่อนกำหนด  นอกจากที่อยากตายเพราะคิดมาก นั่นอีกเรื่องหนึ่ง เรื่ององค์ประกอบของมรณะ ในเรื่องความตาย ทุกคนทำไมกลัวตาย? บางลัทธิกล่าวว่า ผู้บันดาลประทานชีวิตสัตว์ทุกชนิดมาเลี้ยงสูเจ้าทั้งหลาย  บอกกันไปถึงอย่างนั้นเลย  ถ้าสัตว์เขาเป็นอย่างนั้นจริงๆ ตามคำสอนของลัทธินอกศาสนา  สัตว์ทุกชนิดเขาคงจะวิ่งเข้ามาหาเราเอง  จะบอกว่าฉันยอมตายเพื่อมาเป็นอาหารให้ท่าน  ฉะนั้น เขาก็จะยินดีตาย  มาถึงเราเอาหม้อใส่น้ำต้มไว้  สัตว์ทุกตัวกระโดดลงหม้อ  เราได้แกงหม้อหนึ่งแล้ว  วัว  ควาย  แพะ แกะทั้งหลายมาถึงร้องว่า  โอ้!  ฉันมาแล้วมาเชือดคอฉันได้  ฉันพร้อมให้เชือดคอ สัตว์ทุกชนิดถ้าเป็นอย่างนี้จริงๆ  ก็ต้องมาเป็นอาหารเลี้ยงเรา  แต่สัตว์ทุกชนิดก็เหมือนกับเราอีก  คือ กลัวตาย  เด็กเห็นสิ่งที่น่ากลัวจะร้องไห้ทันที  เขามีเงื่อนไขของสัญญาความกลัวตายติดตัวมาหมดแล้ว  และไม่มีใครสอน ตอนเป็นเด็ก  เด็กคลานไปคลานมาเห็นไฟฟ้าก็เอามือแหย่ๆ ไป โดยไม่รู้อะไร  พอรู้แล้ว  ก็จะไม่แหย่  รู้ว่าไฟฟ้าเป็นอันตราย  เดี๋ยวนี้ใครให้ไปแหย่ไฟฟ้า  เราไม่แหย่  เพราะกลัวไฟดูดตาย  ก็เหมือนกัน  สัตว์ทุกชนิดก็รักชีวิตของตัวเอง ต่างก็หนีกันตัวเป็นเกลียว  วัว  ควายที่เขาจะเอาไปเข้าโรงฆ่า รีบแหกจากกรงขังมาเพื่อหนีเอาตัวรอดเพราะกลัวตาย บางตัวหนีไม่ได้ก็จะร้องไห้น้ำตานองหน้า ก็เหมือนกันหมด  สัตว์ทุกชนิดรักชีวิตของตัวเอง คนกับสัตว์จึงเหมือนกันหมด  คนที่สอนลัทธิพวกนี้เขาก็รักตัวเอง หาความสะดวกสบาย  แล้วเขาก็กลัวตาย  ถ้าไม่กลัวตายเขาจะมีกองโจรไว้ทำอะไร  เขาก็สอนให้ไปฆ่าคนอื่น  แต่ว่าตัวเองต้องปลอดภัยไว้ก่อน  แต่ทุกอย่างมีกฎเดียวกัน  ถึงอย่างไรก็ตายเหมือนกันเรียก มรณสัญญา
        
 เมื่อถึงวัยแก่ชราก็จะถูกหลอกอีกว่า  ถ้าตายแล้วฉันจะช่วยท่านให้ขึ้นสวรรค์  เขาหลอกกันหลายทอด  คนมีสัญญาความกลัวตาย  กลัวอยู่แล้ว   ทุกคนก็เลยเชื่อ   เชื่อว่าความตายต้องแก้ไขได้  ต้องช่วยได้  อย่างเช่น ฮ่องเต้ของจีน  แสวงหายาที่กินแล้วไม่ตาย  ก็แสวงหากันหมด คนก็แสวงหาให้รอดพ้นจากการตาย เจ็บป่วยต้องรักษากันเต็มที่ ทุกคนก็อยู่ในกฎเหมือนกันหมด คือ:
๑. รักษาก็หาย 
๒.ไม่รักษาก็หาย
๓. รักษาจึงจะหาย
๔. ไม่รักษาไม่หาย
๕. รักษาก็ไม่หาย
๖.ไม่รักษาก็ไม่หาย  ตายอย่างเดียว 
รักษาอย่างไร เวลาป่วยไข้ต้องรักษา ไปโรงพยาบาล พึ่งหมอ  พึ่งแพทย์ ถ้าเวลายังไม่เจ็บป่วย ไปพึ่งใครก็ไม่รู้ (ผีที่ไหนก็ไม่รู้)มาบอกว่า ฉันจะช่วยท่านนะ  เพราะว่าฉันช่วยท่านได้   พูดตอนนี้ก็เพราะยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น ยังไม่เป็นอะไร  พอป่วยขึ้นมาไปหาหมอผี  หมอเวทย์มนต์กลคาถา    พอป่วยจริงๆ  ถ้าเป็นมะเร็งก็อ้อนวอนผู้บันดาลให้มาช่วย  โปรดช่วยรักษามะเร็ง  แต่ไม่มีใครมาช่วย ไม่มีใครช่วยรักษา  เราต้องช่วยตัวเราเอง เราต้องไปโรงพยาบาล หาหมอทางปัจจุบันรักษาด้วยยาและเครื่องมือแพทย์  ไม่เห็นมีไปอ้อนวอนใครให้มารักษา ถ้ารักษาหายก็คือหาย แต่ถ้าไม่หาย จนกระทั่งในที่สุดก็ถึงมรณะ เรียกว่า มรณสัญญา  จำไว้เลยว่าเกิดแล้วต้องตาย ฉะนั้น ถ้าไม่เกิดก็ไม่มีการตาย     อย่าง อิทธิบาท ๔(อิทธิปาท ๔) ที่บอก ไม่มีการตาย ก็เพราะ ไม่มีการเกิด  ถ้าเกิดก็ต้องมีการตาย  ถ้ามีการตายก็แสดงว่ามีเกิด เกิดต้องมาถึงตาย  ตายต้องมาเกิดอีก ถ้ายังไม่หมดกิเลศ(กิเลส)  ฉะนั้น เมื่อเราได้รู้อย่างนี้แล้ว ทุกคนหนีกฎมรณสัญญาไม่ได้เลย  คือ กฎสัญญาของคำว่า  มรณสัญญา  ทุกคนเกิดมาเพื่อตาย ถ้าเราพูดถึงตาย ก็คือ การสิ้นสูญไปตามลำดับ  จนกว่าเราจะสิ้นสูญไปตามเหตุปัจจัย  นี่แหละ  สิ่งที่เราเกิดแล้วก็ตาย  ตายแล้วก็เกิดอยู่อย่างนี้  ไม่มีอะไรที่หนีกฎสัญญา ๓ นี้ได้
           
 ฉะนั้น  เมื่อสัตว์เดรัจฉานก็ตาย  คนก็ตาย  ทั้งคนทั้งสัตว์เท่ากับเหมือนกัน  คนก็ไม่ต่างจากสัตว์  สัตว์ก็ไม่ต่างจากคน  แต่คนเอาเปรียบสัตว์  บางครั้งสัตว์ก็เอาเปรียบคน  แล้วแต่ว่า   สิ่งนั้นเป็นสิ่งอะไร     ทุกอย่างเกี่ยวเนื่องกันหมด  แต่เป็นลักษณะเดียวกัน ก็คือ มี สัญญา ๓  ต่างคนต่างรักตนเอง  รักชีวิตตนเอง  ไม่มีใครไม่รักชีวิตของตนเอง  นั่นก็คือ เรื่องของสัญญา ๓  แม้แต่ไม่ใช่คน สัตว์  สิ่งที่มองไม่เห็น ก็เช่นเดียวกัน  มีการเปลี่ยนแปลง  มีการพัฒนา  แต่เนื่องจากเรา จะไปยกเทวดาก็ไม่เคยเห็น  พรหมก็ไม่เคยเห็น  พูดไปก็ไม่มีใครเชื่อ เพราะว่ามองไม่เห็น  เราเห็นแต่สิ่งที่ตาเห็น  ที่ไม่เห็น อยู่ในรูก็มองไม่เห็น  อะไรอยู่ในรู?  เอามือล้วงลงไป งูเห่าอยู่ในรู  โดนกัดตายอีก  ฉะนั้น มันก็มีความกลัว  พอเห็นรูก็ไม่อยากเอามือยื่นเข้าไป  เพราะมรณสัญญา กลัวตาย เพราะเคยมีคนถูกงูเห่ากัดตาย  แต่ว่าบางคนงูเห่ากัดก็ไม่ตายอีก ก็แล้วแต่คน  แต่ว่าเราก็มีความไม่กล้า เห็นเหล็กแหลมขวางอยู่ข้างหน้า  เราก็ไม่กล้ากระโดดลงไป อยู่ตึกสูงเราก็ไม่กล้ากระโดดกลัวตกลงมาตาย  ถ้าจับแมวโยน แมวจะกระโดดได้รองรับด้วยสี่ขา  คน และสัตว์ทุกชนิดกลัวตายเหมือนกันหมด  แล้วใครเคยสอน เกิดมาก็มีความกลัวตาย ปลาฝูงใหญ่พอมีเสียงกระแอม ไอ นิดหนึ่ง  ปลาก็กระจายแตกฝูง  สัญญา ๓ เหมือนกันหมด  เราก็ไม่ต่างจากสัตว์ ฉะนั้น เรากับสัตว์ก็เหมือนกัน มีวิถีเหมือนกัน  วิถีหากินเหมือนกันหมด ฉะนั้น ความไม่แตกต่างนี้เอง ก็จะหาคนมาแก้ไขว่า ความแตกต่างอยู่ที่ใด? ฉะนั้น ใครก็ตอบไม่ได้  ไม่มีใครตอบได้ว่า การแก้ไขสัญญา ๓ ข้อนี้ ที่เป็นเหตุเป็นผลอยู่ที่ใด  อย่างที่พูดกันเรื่อยเปื่อย  เช่น :
             
ผู้บันดาลสร้างจักรวาล  สร้างดวงอาทิตย์  สร้างโลก  สร้างอวกาศ  สร้างมนุษย์  สร้างได้ทุกสิ่งทุกอย่าง   สร้างได้หมด  แต่ก็เป็นเรื่องไร้สาระ เพราะสร้างไม่ได้จริง  ถ้าสร้างได้จริง  คนต้องเหมือนกันหมด  ทำไมสร้างบางคนฉลาด? บางคนโง่  บางคนพิการ   บางคนสร้างหัวใหญ่   หัวเล็ก   สมองเสื่อม    บางคนเรียนเก่ง  เรียนจบแพทย์  จบกฎมาย  จบวิทยาศาสตร์ บางคนเรียนไม่ได้  จบเพียง ป.๔  ถ้าสร้างได้ ต้องสร้างให้สมดุล  แล้วก็ทำการรักษาให้เหมือนกัน  ไม่ใช่เลือกที่รักมักที่ชัง  มันเป็นเรื่องไร้เหตุผล ไร้สาระ  บอกว่าสร้างดวงอาทิตย์  สร้างโลกได้  ทำไมสร้างไฟฟ้า  สร้างถนนหนทางสักสายหนึ่งก็ไม่ได้  บอกว่าสร้างดวงอาทิตย์ได้เพราะว่าให้สมองมา  ถ้าอย่างนั้นไม่ต้องมีดวงอาทิตย์   ใช้สมองสร้างดวงอาทิตย์  สมองสร้างโลก แต่ไม่เป็นเช่นนั้น มันเป็นความสามารถของคนที่จะสร้างไฟฟ้า สร้างถนนหนทาง ไม่ได้เป็นความสามารถที่จะบันดาลได้ของใครในโลกนี้ ล้วนเป็นเรื่องของความงมงาย  หลอกลวง ไร้สาระโดยสิ้นเชิง
                                     
๔. ธรรม            ๔.ธัมมสัญญา(ธมฺมสญฺ) : เวลาเกิดมาเป็นคนแล้ว  พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนว่าต้องมี  สัญญาที่ ๔  เรียกว่า ธัมมสัญญา  พระพุทธองค์จะทรงสอนว่า  อะไรที่เป็นเหตุเป็นผล  ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์  โลก  ใครเป็นผู้สร้าง?  พระพุทธเจ้าตรัสว่า เราทุกคนเป็นคนสร้าง  ถ้าเราไม่สร้าง  เราจะอยู่บนโลกใบนี้ไม่ได้  มีดวงอาทิตย์ไม่ได้  โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์ไม่ได้  การที่เราอยู่บนโลกนี้ได้เพราะเราสร้างเอง เกิดจากแรงกรรมของผู้ที่อยู่บนโลกใบนี้ รวมทั้งมนุษย์และสัตว์เดรัจฉาน โดยเฉพาะแรงกรรมใหญ่ของ พระมหาโพธิสัตว์(โพธิสตฺโต) ผู้จะมาตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า(อรหนฺตสมฺมาสมฺพุทฺธ)บนโลกนี้ แรงกรรมของ พระปัจเจกพุทธเจ้า (ปจฺเจกพุทฺธ)  พระมหาอัครสาวก (มหาอคฺรสาวก) พระอสีติมหาสาวก (อสีติมหาสาวก) พระอรหันตสาวก(อรหนฺตสาวก) พระอริยเจ้าทั้งปวง ตลอดจนสัตวะทั้ง ๓๑ ภูมิ ที่มาอาศัยอยู่บนโลกนี้ ทำให้เกิดระบบสุริยจักรวาลนี้ได้ ในจักรวาลนี้ แต่ว่าดวงอาทิตย์กับโลกนี้เขาสร้างอยู่นาน  แต่มนุษย์เราอยู่เพียงไม่เกินร้อยปีก็ตาย ไม่ถึงร้อยปีก็ตาย  เกินร้อยปีก็ตาย  อยู่ที่ไหนก็ตายหมด  ถ้าเป็นเต่าก็มีอายุอยู่สองสามร้อยปี  สัตว์บางพวกก็อยู่ห้าหกร้อยปี   แต่ในที่สุดก็ตายเหมือนกันหมด    เมื่อตายก็สิ้นสุดแล้ว  คนรุ่นใหม่ที่เขามาเกิดก็ต้องสร้าง  เขาสร้างเขาก็อยู่บนโลกนี้ได้  ดวงอาทิตย์นี้มีระบบอากาศ  ออกซิเจน  ไฮโดรเจน ฯลฯ มีสิ่งที่เกื้อหนุนต่อการดำรงชีวิต  เกิดจากสิ่งที่เราสร้าง ถ้าเราไม่สร้างเราก็อยู่ไม่ได้  ตอนนี้เราเป็นคนใหญ่จริงๆ เลย แต่ไม่ใช่เราสร้างคนเดียว  สัตว์เดรัจฉานเขาก็สร้าง ถ้าเขาไม่สร้าง เขาจะอยู่บนโลกนี้ไม่ได้  ตอนนี้คนยังอยู่ในน้ำไม่ได้  ตั้งบ้านเรือนในน้ำไม่ได้  แต่ว่าสัตว์เขาดีกว่าคน  เพราะเขาตั้งบ้านเรือนเขาอยู่ในน้ำได้  เขาเป็นคนสร้างของเขาเอง  เขาจึงไปอยู่ได้  เรานี้สร้างเฉพาะบนบก  ไปอยู่ในน้ำจะต้องมีอุปกรณ์ดำน้ำ  แต่อยู่ได้ไม่เท่าไรก็ต้องรีบขึ้น  แต่สัตว์เขาอยู่ได้ทั้งในน้ำ ทั้งบนบก  และอยู่บนอากาศ  แต่เราอยู่ได้บนบก  ถ้าอยู่ในอากาศต้องมีต้นไม้รับรอง  มีเสามีหลัก  จะไปอยู่บนยานอวกาศก็อยู่ได้ไม่นานก็ต้องลงมาอีก  แต่นกเขาอยู่บนต้นไม้  เขามีที่อยู่ของเขาบนต้นไม้ เมื่อเทียบคนกับสัตว์  สัตว์บางชนิดเขามีคุณสมบัติดีกว่าคน  แต่คนก็ไม่ควรเป็นสัตว์  เพราะว่าสัตว์ไม่สามารถที่จะมีสัญญาที่ ๔ ได้
             
สัญญาที่ ๔  เรียกว่า  ธัมมสัญญา  ก็ต้องรู้ความเป็นมาเป็นไปของคน  ที่เราจะทำอย่างไร  เราถึงจะรู้จักธรรมที่ทำให้เป็นมนุษย์  ทำคนให้เป็นมนุษย์ทำอย่างไร?  ทำคนพ้นจากสัตว์  จากคนเป็นมนุษย์ ฉะนั้น ถ้าเรามีจิตใจเหมือนกัน มีเพียงสัญญา ๓ คือ  กามสัญญา  โคจรสัญญา  และ มรณสัญญา ก็เหมือนกับสัตว์ เราต้องดึง สัตว์ ให้มาเป็น คน  แล้ว คน ของเราต้องไปเป็น มนุษย์ 
จาก     สัตว์                ให้เป็น             คน
จาก     คน                  ให้เป็น              มนุษย์
  เมื่อพัฒนาสู่ ๓ ลำดับแล้ว ลำดับสุดท้าย คือ ธัมมสัญญา  เมื่อมีธัมมสัญญาแล้ว 
ธัมมสัญญา จะสอนให้  คน หนีจากความเป็น สัตว์ 
ฉะนั้น คนทุกคนที่เกิดมาไม่ว่าจะเป็นใหญ่เป็นโต  เป็นใครก็ได้ทั้งหมด  แม้รวยล้นฟ้า   ล้วนแต่มีใจเป็นสัตว์ทั้งสิ้น  เมื่อใจเป็นสัตว์ จะขึ้นสู่คนได้อย่างไร?  พระพุทธองค์จะทรงแสดงว่า ธัมมสัญญาจะบอกว่า สัตวะคือใคร ?   สัตวะ   คือ   ผู้แสวงหา   เขาเรียกว่า 
            ๑. แสวงหา โลภะ 
๒. แสวงหา โทสะ 
๓. แสวงหา โมหะ 

โลภะ ในภาษาธรรมพุทธวจนะ(ธมฺมพุทฺธวจน) หมายถึง โลภจิต(โลภจิตฺต) ๘ ประเภท     ซึ่งเกิดจาก อกุศลเจตสิก(อกุสลเจตสิก)ร่วมกับสัพพจิตตสาธารณเจตสิก(สพฺพจิตฺตสาธารณเจตสิก) ที่สามารถเข้ากันได้กับโลภจิต ๘ โดยการทำงานของวิเสสลักษณะ(วิเสสลกฺขณ) ทำงานกันแล้วก่อเกิดโลภเหตุ ๘ ก่อเกิดกรรม(กมฺม) ทำให้สัตวะต้องข้องอยู่กับโลก  และเวียนว่ายอยู่ในสังสารวัฏฏะ ไม่ว่าจะเกิดจาก จักขุทวาร(ตา)รับรูปารมณ์(รูปารมฺมณ-รูป)  โสตทวาร(หู)รับสัททารมณ์(สทฺทารมฺมณ-เสียง)    ฆานทวาร(จมูก)รับคันธารมณ์(คนฺธารมฺมณ-กลิ่น)   ชิวหาทวาร(ลิ้น)รับรสารมณ์(รสารมฺมณ-รส)  กายทวาร(กาย)รับโผฏฐัพพารมณ์(โผฏฺพฺพารมฺมณ-สัมผัส)   มโนทวาร(จิต)รับธรรมารมณ์(ธมฺมารมฺมณ) เก็บไว้เป็นกรรมอารมณ์(กมฺมอารมฺมณ) นำไปสร้างรูปในอนาคต เช่น การดำรงชีวิตอยู่ในโลก ตั้งแต่ลืมตาตื่นจนเข้านอน  ไม่ว่าจะเป็นไปในดำเนินชีวิตประจำวัน การศึกษาเล่าเรียน การทำมาหาเลี้ยงชีพ การรับประทานอาหาร การแต่งกาย การดูการละเล่น การเดินทาง ฯลฯ ล้วนแล้วแต่เป็นโลภะ เป็นความต้องการ ความปรารถนา การที่เราไม่รู้หลักธรรม(ธมฺม)คำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ยึดตามความเข้าใจของตนเอง  กลายเป็นมิจฉาทิฏฐิ(มิจฺฉาทิฏฺ)   เป็นอกุสลจิต(อกุสลจิตฺต)  นำไปอบายภูมิ(อปายภูมิ)โดยแท้

โทสะ ในภาษาธรรมพุทธวจนะ(ธมฺมพุทฺธวจน)  หมายถึง    โทสจิต(โทสจิตฺต) ๒ ประเภท ทั้งอสังขาริกัง(อสงฺขาริกํ) และ สสังขาริกัง(สสงฺขาริกํ)   ซึ่งเกิดจาก     อกุศลเจตสิก(อกุสลเจตสิก)ร่วมกับสัพพจิตตสาธารณเจตสิก(สพฺพจิตฺตสาธารณเจตสิก)  ที่สามารถเข้ากันได้กับโทสจิต ๒ โดยการทำงานของวิเสสลักษณะ(วิเสสลกฺขณ)  ทำงานกันแล้วก่อเกิดโทสเหตุ ๒ ก่อเกิดกรรม(กมฺม) ก่อเกิดโทษ ก่อเกิดภัย ทำลายล้างซึ่งกันและกัน  ทำให้สัตวะต้องข้องอยู่กับโลก  และเวียนว่ายอยู่ในสังสารวัฏฏะ ไม่ว่าจะเกิดจาก จักขุทวาร(ตา)รับรูปารมณ์(รูปารมฺมณ-รูป)  โสตทวาร(หู)รับสัททารมณ์(สทฺทารมฺมณ-เสียง)    ฆานทวาร(จมูก)รับคันธารมณ์(คนฺธารมฺมณ-กลิ่น)   ชิวหาทวาร(ลิ้น)รับรสารมณ์(รสารมฺมณ-รส) กายทวาร(กาย)รับโผฏฐัพพารมณ์(โผฏฺพฺพารมฺมณ-สัมผัส) มโนทวาร(จิต)รับธรรมารมณ์(ธมฺมารมฺมณ) เก็บไว้เป็นกรรมอารมณ์(กมฺมอารมฺมณ) นำไปสร้างรูปในอนาคต  เช่น สงคราม การทะเลาะทำลายล้างกัน การฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ความกลัวตาย กลัวภูตผีปีศาจ กลัวไปทุกเรื่อง ความขุ่นข้องหมองใจ ความหงุดหงิดกังวลใจ ความเบื่อหน่ายรำคาญใจ ความน้อยใจเสียใจ ความเกลียดชัง ความจองล้างจองผลาญ ฯลฯ ล้วนแล้วแต่เป็นโทสะ การที่เราไม่รู้หลักธรรมคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ยึดตามความเข้าใจของตนเอง  กลายเป็นมิจฉาทิฏฐิ (มิจฺฉาทิฏฺ)   เป็นอกุสลจิต(อกุสลจิตฺต)  นำไปอบายภูมิ(อปายภูมิ)โดยแท้

โมหะ ในภาษาธรรมพุทธวจนะ(ธมฺมพุทฺธวจน)   หมายถึง โมหจิต(โมหจิตฺต) ๒ ประเภท ซึ่งเกิดจาก อกุศลเจตสิก(อกุสลเจตสิก)         ที่สามารถเข้ากันได้กับโมหจิต ๒    โดยการทำงานของวิเสสลักษณะ(วิเสสลกฺขณ) ทำงานกันแล้วก่อเกิดโมหเหตุ ๑๒ ก่อเกิดกรรม(กมฺม) ก่อเกิดโทษ ก่อเกิดภัย  ทำให้สัตวะต้องข้องอยู่กับโลก     และเวียนว่ายอยู่ในสังสารวัฏฏะ ไม่ว่าจะเกิดจาก จักขุทวาร(ตา)รับรูปารมณ์(รูปารมฺมณ-รูป)  โสตทวาร(หู)รับสัททารมณ์(สทฺทารมฺมณ-เสียง)    ฆานทวาร(จมูก)รับคันธารมณ์(คนฺธารมฺมณ-กลิ่น) ชิวหาทวาร(ลิ้น)รับรสารมณ์(รสารมฺมณ-รส)   กายทวาร(กาย)รับโผฏฐัพพารมณ์(โผฏฺพฺพารมฺมณ-สัมผัส)   มโนทวาร(จิต)รับธรรมารมณ์(ธมฺมารมฺมณ) เก็บไว้เป็นกรรมอารมณ์(กมฺมอารมฺมณ) นำไปสร้างรูปในสร้างรูปในอนาคต เพราะไม่รู้ตามความเป็นจริง เช่น ไม่รู้ในวิจิกิจฉา(วิจิกิจฺฉา) ๘ ประการ ซึ่งเป็นกังขติ(กงฺขติ) ๘ และไม่รู้ในอัญญาณัง(อญฺาณํ) ๘ประการ ซึ่งประกอบด้วย อริยสัจจะ(อริยสจฺจ) ๔ ไม่รู้อดีต ไม่รู้อนาคต ไม่รู้ทั้งอดีตและอนาคต และไม่รู้ในปฏิจจสมุปบาท(ปฏิจฺจสมุปฺปาท) ๑๒ ทำให้สัตวะทั้ง ๓๑ ภูมิต้องหลงเวียนว่ายตายเกิด ชาติแล้วชาติเล่า หาทางพ้นจากทุกข์(ทุกฺข)ไม่ได้ จนกว่าจะมีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น มาชี้ทางสว่างให้เวไนยสัตว์(เวเนยฺยสตฺตา)หลุดออกจากวัฏฏสงสาร(วฏฺฏสงฺสาร) การที่เราไม่รู้หลักธรรมคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ยึดตามความเข้าใจของตนเอง  กลายเป็นมิจฉาทิฏฐิ (มิจฺฉาทิฏฺ)   เป็นอกุสลจิต(อกุสลจิตฺต)  นำไปอบายภูมิ(อปายภูมิ)โดยแท้

โลภะ  ความต้องการ  ความปรารถนา  โทสะ    ความโกรธ   หงุดหงิด   ยิ่งเป็นใหญ่มากก็หงุดหงิดมาก      มีใครพูดให้กระเทือนจะโกรธ โมโห ฉุน  ถ้าเป็นสมัยก่อน  สมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ก็อาจจะสั่งประหารชีวิต นั่นก็คือ โทสะที่มีอยู่ในตัวคน  ไม่มีใครบอกไม่มีใครสอน  สัตว์ก็แบบเดียวกัน  สัตว์ก็โมโห  ช้างถูกใช้งานมากๆ  เกิดความโกรธ โมโหก็ทำลายได้เลย  เช่นเดียวกัน  คนไม่ต่างจากสัตว์  แต่ว่าการที่เราเป็นคนก็เข้าไปอยู่ฐานะเช่นเดียวกับสัตว์เดรัจฉาน  โมหะ สร้างรูปเป็นตัวตนของเราอยู่แล้ว เป็นอวิชชาที่อยู่คู่เราไปตลอด

โมหะที่เป็นวิจิกิจฉา(วิจิกิจฺฉา) ดับได้เมื่อเป็นพระโสดาบัน(โสตาปนฺน) และโมหะที่เป็นอุทธัจจะ(อุทธจฺจ) ดับได้เมื่อเป็นพระอรหันต์(อรหนฺต) พระพุทธเจ้าทรงสอนว่าต้องมี ธัมมสัญญา  ต้องสอนคนให้ขึ้นมาจากสัตว์เดรัจฉานก่อน ให้มาเป็นคน  พอมาเป็นคนจะต้องมีจิตอย่างไร?  จึงทรงสอนว่า
จิต ของความเป็นคนต้องมีอยู่ ๒ อย่าง  คือ อกุสลจิต(อกุสลจิตฺต) กับ มหากุสลจิต(มหากุสลจิตฺต)  การที่เราจะทำให้เป็นคนได้นี่  ต้องไปอยู่ที่มหากุสลจิต(มหากุสลจิตฺต)ก่อน  ส่วน สัตว์เดรัจฉานมี อกุสลจิต(อกุสลจิตฺต) อย่างเดียว  ไม่มีมหากุสลจิต(มหากุสลจิตฺต)  หรือมีน้อยมาก  ยกเว้น สัตวะ ที่เป็น พระโพธิสัตต์ สัตว์บางชนิดเขาไม่สามารถไปสู่ มหากุสลจิต(มหากุสลจิตฺต) ได้ ฉะนั้น  การที่คนทุกคนเป็น อกุสลจิต(อกุสลจิตฺต) พระพุทธเจ้าก็จะทรงสอนวิธีจะทำให้เป็นคนให้มีมหากุสลจิต(มหากุสลจิตฺต) 
พอพูด คน ก็ประกอบด้วย ๒ อย่าง คือ:
๑.     อกุสลจิต(อกุสลจิตฺต) ๑๒   
๒.   มหากุสลจิต(มหากุสลจิตฺต) 
ถ้าเป็น มนุษย์(มนุสฺส) ก็จะไม่มี อกุสลจิต ๑๒ เข้ามา มีแต่ มหากุสลจิต ๘ เข้าไปอยู่ในความเป็นมนุษย์ 
เทวดา (เทวตา) ก็มี มหากุสลจิต(มหากุสลจิตฺต) นั้นก็คือ แบ่งฝ่าย  เป็นระบบ ขั้นตอน  เราจะพัฒนาตัวตนต่อไปได้อย่างไร?  เราก็ต้องรู้เหตุและผล  เมื่อรู้ เหตุและผล ก็จะสามารถจะ พัฒนาจากเหตุไปสู่ผลที่ดี  ฉะนั้น  สิ่งที่สำคัญเราต้องย้ายตัวเอง
 ย้ายจาก           สัตว์เดรัจฉาน              มาเป็น                         คน 
จาก                  คน                   มาเป็น             มนุษย์
จาก                  มนุษย์              มาเป็น             เทวดา
จาก                  เทวดา              มาเป็น             พรหม
จาก                  พรหม              มาเป็น             โลกุตตระ
เราจะย้ายตัวเอง และพัฒนาจิตให้สูงขึ้นด้วยธรรมของพระพุทธเจ้าเท่านั้น ต้องพระพุทธเจ้าพัฒนาให้เท่านั้น เราไม่สามารถทำด้วยตนเอง เราต้องพัฒนาจิตด้วยธัมมสัญญาตามธรรมของพระพุทธเจ้า เท่านั้น.


สาธุ  สาธุ  สาธุ  อนุโมทามิ 


รวบรวมเรียบเรียงโดย.....วิเสสลกฺขณมิตฺตา
วันที ๓ มิถุนายน พุทธมหาปรินิพพาน ๒๕๕๔