คติธัมมะ ในการสิกขา พระพุทธสาสนา
ในการสิกขาธัมมะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นของยาก เป็นของลึกซึ้ง คัมภีระไม่ใช่ของง่าย และการจะสิกขาธัมมะให้เข้าใจจะต้องใช้กาลเวลา การจะน้อมนำไปสู่ความรอบรู้ก็ต้องใช้กาลเวลา จะใจร้อนไม่ได้ ต้องใจเย็นๆ ค่อยๆ ใคร่ครวญไปในธัมมะ ค่อยๆ เข้าใจในธัมมะ ค่อยๆ ลุ่มลึกในธัมมะ ไปตามลำดับ
ธัมมะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นธัมมะค่อนข้างละเอียด ลึกซึ้ง เป็นธัมมะสุขุม ลุ่มลึก คัมภีระ ละเอียดอ่อน สงบ ปณีตะ จนไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเนื้อ ไม่สามารถพิสูจน์ด้วยวิชาใดๆ ในโลกทั้งสิ้น ต้องพิสูจน์ด้วยหลักธัมมะคำสอนของพระพุทธเจ้าเท่านั้น เพราะเป็นธัมมะที่เกิดจากการตรัสรู้ที่พระพุทธเจ้าทรงสร้างพระปารมีมา ๒๐ อสังเขยยะ (อสงไขย) กำไรแสนกัปปะ เพื่อนำพุทธธัมมะ ๘๔,๐๐๐ พระธัมมขันธะมาสั่งสอนเวเนยยสัตตา (เวไนยสัตว์) เพื่อรื้อสัตวะ ขนสัตวะ ออกจากสังสารวัฎฎะ เป็นธัมมะที่นำไปสู่การบรรลุธัมมะ
พระติปิฏกะ ๘๔,๐๐๐ พระธัมมขันธะ ประกอบด้วย:
๑. พระวินยปิฏกะ ๒๑,๐๐๐ พระธัมมขันธะ เป็นไปเพื่อความเป็นพระโสตาปันนะ พระสกทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันตะ
๒. พระสุตตันตปิฏกะ ๒๑,๐๐๐ พระธัมมขันธะ เป็นไปเพื่อความเป็นพระโสตาปันนะ พระสกทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันตะ
๓. พระอภิธัมมปิฏกะ ๔๒,๐๐๐ พระธัมมขันธะ เป็นไปเพื่อความเป็นพระโสตาปันนะ พระสกทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันตะ
เราต้องอาศัยกาลเวลาอย่างต่อเนื่องในการสิกขาธัมมะโดยไม่ขาดสาย เพื่อไปให้ถึงจุดเป้าหมาย คือการบรรลุธัมมะ จนกว่าจะถึงซึ่งพระนิพพานะ วิชาการทางโลกทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นวิทยาการใดๆ เช่น แพทยศาสตร์ วิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ เกษตรศาสตร์ รัฐศาสตร์ ศิลปศาสตร์ใดๆ ในโลกทุกประเภทเราสามารถเรียนจบในแต่ละครั้งในชาตินี้ แต่ธัมมะของพระพุทธเจ้านั้น เราต้องสะสมธัมมะไปโดยไม่มีวันจบสิ้นชาติแล้วชาติเล่า ไปจนกว่าจะบรรลุธัมมะ จนกว่าจะไม่มีธัมมะให้สิกขา จนกว่าไม่มีกิจจะที่จะต้องทำอีกแล้วคือการเป็นพระอรหันตะ
ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราสะสมไว้ในชีวิตของเรา ถ้าเป็นทรัพย์สมบัติภายนอก เป็นวัตถุสิ่งของ เมื่อเราลาลับจากโลกนี้ไปแล้ว เราก็ไม่สามารถจะนำพาติดตัวไปได้ แม้แต่ร่างกายของเราเอง ยังต้องทิ้งกลับคืนไว้กับโลกนี้ แต่มีสิ่งที่ติดไปกับจิตตะเราได้แน่นอนในทางโลกคือ โลภะ โทสะ โมหะ นำไปสู่อปายภูมิ การกระทำของเราทุกอย่างไม่ว่าทางกายกัมมะ วจีกัมมะ หรือมโนกัมมะ ไม่ว่าจะเป็น กุสลกัมมปถะ ๑๐ หรือ อกุสลกัมมปถะ ๑๐ จะถูกบันทึกไว้ในจิตตะ เมื่อเราตายไปแล้ว จิตตะจะนำกัมมะนั้นๆ ติดไปด้วยแน่นอน
ในทางอกุสละ
โลภะ ไปเป็น เปตะ อสุรกายะ (เปรต อสุรกาย)
โทสะ ไปเป็น สัตวนิรยะ (สัตว์นรก)
โมหะ ไปเป็น สัตวติรัจฉานะ (สัตว์เดรัจฉาน )
ส่วนในทางธัมมะ เริ่มตั้งแต่ “มหากุสลจิตตะ” นำไปสู่สุคติภูมิ มนุสสะ (มนุษย์) เทวตา (เทวดา) พรหม อรูปพรหม โลกุตตระ ในภพชาติต่อ ๆ ไป
ก่อนอื่นการจะสิกขาพระพุทธสาสนาให้ลึกซึ้ง จะต้องระลึกถึงอะไรบ้างในพระพุทธสาสนา เราต้องมีมาตรฐานเป็นหลักยึด ในพระพุทธสาสนาต้องยึด “คติธัมมะ” เป็นแนวทางในการสิกขา ถ้าเราไม่มีคติธัมมะ ไม่มีแนวทางเราจะจับหลักที่จะเข้าใจธัมมะไม่ได้ แล้วเราจะนึกว่าธัมมะของพระพุทธเจ้านั้นง่ายเหลือเกิน เป็นของตื้นเขิน ใครๆก็ทำได้ เราจะปรามาสในธัมมะ เราจึงต้องมีหลักธัมมะประจำใจ เป็นคติธัมมะในการสิกขาพระพุทธสาสนา เบื้องต้นจะต้องคำนึงถึง
คติธัมมะ ๔ ประการ
๑. พระพุทธรำพึง
๒. พระพุทธดำรัส
๓. ลักขณะการสอนธัมมะ ๘๔,๐๐๐ พระธัมมขันธะ
๔. หน้าที่ของพุทธปริสา ๔ (พุทธบริษัท ๔)
๑.พระพุทธรำพึง
หลังจากพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วและทรงเสวยวิมุตติสุขะตามบริเวณ “สัตตมหาสถานะ” จำนวน ๗ แห่ง เป็นเวลาแห่งละ ๗ วัน จนครบ ๗ สัปดาห์ไปตามลำดับคือ :
๑. รัตนโพธิปัลลังกะ ภายใต้ต้นพระสิริมหาโพธิ (อัสสัตถพฤกษ์)
๒. อนิมิสสเจติยะ
๓. รัตนจังกมเจติยะ
๔. รัตนฆรเจติยะ
๕. อชปาลนิโครธเจติยะ
๖. มุจจลินทเจติยะ
๗. ราชายตนเจติยะ
ใน สัปดาห์ที่ ๘ ขณะประทับนั่ง ณ ควงไม้อัชปาลนิโครธะ ทรงพุทธรำพึงว่า :
ธัมมะ ที่ตถาคตะได้บรรลุแล้วนี้ ลึก ซึ้ง เห็นได้ยาก รู้ตามได้ยาก สงบ ปณีตะ มิใช่วิสัยแห่งตักกะ คือ คิดเอาเองไม่ได้ หรือไม่ควรลงความเห็นด้วยการเดา แต่เป็นธัมมะที่ปัณฑิตะ (บัณฑิต) พอจะรู้ได้
อนึ่งเล่า สัตวะทั้งหลายส่วนมากยังถูกอวิชชาครอบงำ ยินดีในความอาลัย เริงรมย์และชื่มชมในอาลัย คือ กามคุณะ สัตวะเหล่านั้นจะไม่รู้ซึ้งถึงธัมมะของตถาคตะ สัตวะผู้เห็นปานนั้น ยากนั้นที่จะเห็นปฏิจจสมุปปาทะและพระนิพพานะ ซึ่งมีสภาพบอกคืนกิเลสะทั้งมวล ทำตัณหาให้สิ้น ดับทุกข์ ตถาคตะจะพึงแสดงธัมมะหรือไม่หนอ ถ้าแสดงไปแล้วคนอื่นรู้ตามไม่ได้ ตถาคตะก็จะพึงลำบากเปล่า โอ! อย่าเลย อย่าประกาศธัมมะที่ตถาคตะได้บรรลุแล้วเลย ธัมมะนี้อันปุคคละผู้เพียบแปล้ไปด้วย ราคะ โทสะ โมหะ จะรู้ได้โดยง่ายมิได้เลย ปุคคละ (บุคคล) ที่ยังยินดีพอใจให้กิเลสะย้อมจิตตะ ถูกความมืดคืออวิชชาหุ้มห่อแล้ว จักไม่สามารถเห็นได้ซึ่งอมตธัมมะ อันจะยังสัตวะให้ถึงซึ่งพระนิพพานะ ซึ่งเป็นธัมมะที่ทวนกระแสจิตตะอันละเอียด ปณีตะ ลึก ซึ้ง เห็นได้ยากนี้
ลำดับนั้น ท้าวสหัมปตีพรหม ทรงทราบพระปริวิตักกะ (ปริวิตก)ของพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงดำริว่า : “ท่านผู้เจริญ โลกจักวินาโส (พินาศ)หนอ ท่านผู้เจริญ โลกจักวินาโส (พินาศ) หนอ เพราะจิตตะของพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า น้อมไปเพื่อความขวนขวายน้อย ไม่น้อมไปเพื่อการทรงแสดงธัมมะฯ”
ลำดับนั้น ท้าวสหัมปตีพรหม จึงหายวับจากพรหมโลกมาปรากฏ ณ สำนักของพระปรมสัตถา (บรมศาสดา) พร้อมทรงพาท้าวสักกเทวราชะ ท้าวสุยามเทวราชะ ท้าวสันตุสิตเทวราชะ ท้าวนิมมานรตีเทวราชะ ท้าวปรนิมมิตวสวัตตีเทวราชะ และท้าวมหาพรหมทั้งหลายจากหมื่นจักรวาล มาทูลอาราธนาให้พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงธัมมะ การเสด็จมาของท้าวมหาพรหมเปรียบเสมือนปุรุส (บุรุษ) ผู้มีกำลังเหยียดแขน คู้แขนฉะนั้น ต่างพากันเสด็จไปประดิษฐานเฉพาะพระพักตร์พระทสพลญาณะ
ครั้นแล้ว ท้าวสหัมปตีพรหม จึงห่มผ้าลดไหล่ข้างหนึ่ง คุกเข่าขวาลง ณ พื้นปฐพี ประนมอัญชลีไปทางพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วกราบทูลว่า “ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ขอพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพระมหากรุณาธิคุณโปรดประทานพระสัทธัมมะแด่เวนยยสัตตาทั้งหลาย ของพระสุคตเจ้าทรงโปรดแสดงธัมมะเถิด สัตวะทั้งหลายผู้มีธุลีในจักขุน้อย (มีอกุสลจิตตะน้อย) ยังมีอยู่ แม้มิได้สดับรับรสแห่งพระสัทธัมมะ ก็จะเสื่อมสูญจากพระอริยมัคคญาณะ ผลญาณะ จะสูญเสียประโยชน์อันใหญ่หลวง อนึ่งสัตวะผู้บำเพ็ญปารมีมา แต่ในสมเด็จพระพุทธเจ้าในอตีตกาละ บริบูรณ์ประดุจดอกปทุมชาติ พร้อมที่จะบานเมื่อได้รับแสงพระสุริยา มีความปรารถนาจะได้รับฟังพระสัทธัมมะ แม้เพียงพระคาถาเดียวก็จะหยั่งลงในอริยภูมิ สำเร็จมัคคะ ผละได้ ส่วนสัตวะที่มีอุปนิสัยที่จะบรรลุธัมมะนั้นมีมากต่อมาก ขอพระสุคตเจ้าผู้ทรงสร้างสมติงสปารมีมาสิ้นกาลนาน จนบัดนี้ได้บรรลุพระสัพพัญญุตญาณะแล้ว ขอทรงมีพระมหากรุณาแก่สัพพสัตตา หากแม้นมิได้ตรัสพระสัทธัมมเทสนา สัตวโลกทั้งหลายจะแสวงหาที่พึ่งจากที่ใดเล่า” ดัง พระคาถาอาราธนาธัมมะ ว่า:
พรหฺมา จ โลกาธิปตี สหมฺปติ กตญฺชลี อนธิวรํ อยาจถ
สนฺตีธ สตฺตา อปฺปรชกฺชชาติกา เทเสหิ ธมฺมํ อนุกมฺปิมํ ปชนฺติฯ
ภควา โลกาธิปตี นรุตฺตโม กตญฺชลีพฺรหฺมคเณหิ ยาจิโต
สนฺตี ธ ธีราปฺปรชกฺขชาติกา เทเสตุ ธมฺมํ อนุกมฺปิมํ ปชํ ฯ
เทเสตุ สุคโต ธมฺมํ เทเสตุ อมตํปทํ
โลกานมนุกมฺปาย ธมฺมํ เทเสตุ นายก ฯ
สมฺปนฺนวิชชาจรณสฺส ตาทิโน ชุตินฺธรสฺสนฺติมเทหธาริโน
ตถาคตสฺสปฺปฏิปุคฺคลสฺส อุปฺปชฺชิ การุญฺญตา สพฺพสตฺเต ฯ
ตํ สุตฺวา ภควา สตฺถา อิทํ วจนมพรวิ (วะจะนะมะพะระวิ)
อปารุตา เต อมตสฺส ทฺวารา เยโสตวนฺโต ปมุญฺจนฺตุ สทฺธํ
วิหึสสญฺญี ปคุณํ น ภาสึ ธมฺมํ ปณีตํ มนุเชสุ พฺรเหฺมติ (พรหมเมติ) ฯ
การที่ท้าวสหัมปตีพรหมมาทูลอาราธนาธัมมะ เพื่อให้พระผู้มีพระภาคเจ้าโปรดเวเนยยสัตตา เพื่อแสดงให้เห็นว่า พระพุทธธัมมะ ๘๔,๐๐๐ พระธัมมขันธะ ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าจะทรงประกาศต่อไปนี้เป็นหลักธัมมะที่มีความลึก ซึ้ง สุขุม คัมภีระ เป็นธัมมะที่เป็นไปเพื่อความเป็นพระอรหันตะทั้งสิ้น เป็นพระพุทธวจนะล้วน แม้จะเป็นถ้อยคำของอัตถกถาจารย์ ๒,๐๐๐ พระธัมมขันธะ แต่เมื่อพระพุทธองค์ทรงรับรองแล้ว นั่นคือ พระพุทธวจนะเช่นกัน และเพื่อประกาศว่าชาวพุทธทั้งสิ้นจะต้องยึดหลักพระพุทธรำพึง จะต้องสิกขาธัมมะด้วยความคัมภีระ เพราะธัมมะที่ประกาศนั้นไม่ใช่ความคิดของปุถุชนคนกิเลสะหนา ไม่ใช่ความคิดของสัตวนิรยะ เปตะ อสุรกายะ สัตวติรัจฉานะ มนุสสะ เทวตา พรหม หรือ อรูปพรหม
แต่เป็นธัมมะที่เกิดจากการตรัสรู้ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้ามีแต่พระพุทธเจ้าเท่านั้นที่จะนำพาเราไปสู่ความลุ่มลึกของธัมมะนั้นได้
พระพุทธรำพึงเป็นตัวบ่งบอกว่า จากนี้ไปเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงธัมมะคราวใดนั้น ธัมมะที่ทรงแสดงนั้นจะต้องมีความสุขุม ลุ่มลึก ไม่ใช่เอามาคิดกันง่ายๆ ไม่ใช่เอามาพิจารณาตื้นๆ ไม่มีการลงความเห็นด้วยการเดา การที่จะมีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ในพุทธันดรหนึ่งเป็นเรื่องแสนยาก ถ้าไม่มีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ ก็ยากนักที่จะมีเวเนยยสัตตาบรรลุธัมมะ แม้สุคติภูมิ (มนุสสะ เทวตา พรหม อรูปพรหม) ก็เป็นอันหวังได้ยาก ดังนั้นเวเนยยสัตตา ๓๑ ภูมิ (อปายภูมิ๔ มนุสสะ๑ เทวตา๖ พรหม๑๖ และอรูปพรหม๔) ต่างรอคอยความตรัสรู้ของพระผู้มีพระภาคเจ้า ธัมมะของพระพุทธเจ้าเป็นธัมมะที่ละเอียด ยากต่อการที่ปุคคละจะตรึกระลึกเอาเอง แล้วจะสามารถรู้แจ้งแทงตลอด พระพุทธเจ้าจึงมาบังเกิดเพื่อโปรดเวเนยยสัตตาให้ได้ถึงซึ่งโลกุตตระ
“ธัมมะที่ตถาคตะบรรลุแล้วนี้ ลึก ซึ้ง” ลึก มาจาก คัมภีระ เมื่อ “ลึก” แล้วจึง “ซึ้ง” ไม่มีพิจารณาตื้นเขิน นั่นหมายความว่า ธัมมะที่พระผู้มีพระภาคเจ้าจะทรงประกาศต่อไปนี้ ต้องเป็นธัมมะที่ไม่ใช่คนธรรมดาจะคิดได้ แต่เป็นธัมมะที่เกิดจากความตรัสรู้ ความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าที่ทรงใช้เวลา ๒๐ อสังเขยยะ กำไรแสนกัปปะ หรือหลังจากรับพยากรณะแล้วจากพระพุทธเจ้า พระองค์ใดพระองค์หนึ่ง
พระโพธิสัตโต (พระโพธิสัตว์) ที่ยังไม่ได้รับพยากรณ์เรียกว่า “อนิยตโพธิสัตโต”
พระโพธิสัตโต ทรงนึกในใจว่าจะเป็นพระพุทธเจ้า ๗ อสังเขยยะทรงสร้างมหากุสละ เปล่งพระวาจาว่าจะเป็นพระพุทธเจ้าอีก ๙ อสังเขยยะ และเมื่อได้รับพยากรณะของพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่ง เป็น “นิยตโพธิสัตโต” ทรงสร้างพระปารมีต่ออีก ๔ อสังเขยยะ กำไรแสนกัปปะ จนได้ตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณะเป็น “พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า” ณ ควงไม้ พระสิริมหาโพธิ ในวันเพ็ญ ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ วิสาขมาสะ สถานที่นั้นปัจจุบันนี้คือ พุทธคยา ตำบลคยา ประเทศอินเดีย
ความหมายของ อสงไขย และ กัป
* อสงไขย หรือ อสังเขยยะ (อสงฺเขยฺย) = เป็นปริมาณหรือจำนวนที่มีการกำหนดที่นับประมาณมิได้ อุปมาเปรียบเทียบเอาไว้ว่า : ฝนตกใหญ่อย่างมโหฬารทั้งวันทั้งคืน เป็นเวลานานถึง ๓ ปีไม่ได้ขาดสายเลย จนกระทั่งน้ำฝนท่วมเต็มขอบจักรวาล ซึ่งมีระดับความสูง ๘๔,๐๐๐ โยชน์ หากว่ามีใครสามารถนับเม็ดฝนที่ตกลงมาตลอดทั้ง ๓ ปี นับได้เท่าไหร่ นั้นคือจำนวนเม็ดฝน ๑ อสงไขย
อนึ่ง คำว่า อสงไขย มาจากภาสามคธะว่า อสงฺเขยฺย หมายถึง นับไม่ได้ หรือ นับไม่ถ้วน
พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒ ระบุ
จำนวนอสงไขย = โกฏิ ยกกำลัง ๒๐
หรือ ๑ อสงไขย = 1 x 10140 ปี
* กัป หรือ กัปปะ(กปฺป) มีความหมายอยู่ ๒ ความหมาย คือ:
๑. จาก ปัพพตสุตตะ พระสุตตันตปิฎกะ สังยุตตนิกายะ นิทานวัคคะ อุปมาเปรียบเทียบไว้ว่า : ภูเขาหินลูกใหญ่ยาว ๑ โยชน์ กว้าง ๑ โยชน์ สูง ๑ โยชน์ (๑ โยชน์ = ๑๖ กิโลเมตร) ภูเขาไม่มีช่อง ไม่มีโพรง เป็นแท่งทึบ บุรุษพึงเอาผ้าแคว้นกาสี (ผ้าใยบางเบาเหมือนควันบุหรี่) มาปัดภูเขานั้น ๑๐๐ ครั้งต่อปี จนกว่าภูเขานั้นจะเตียนราบ ระยะเวลานั้น = ๑ กัปปะ
๒. จาก สาสปสุตตะ พระสุตตันตปิฎกะ สังยุตตนิกายะ นิทานวัคคะ อุปมาเปรียบเทียบไว้ว่า : นครทำด้วยเหล็กยาว ๑ โยชน์ กว้าง ๑ โยชน์ สูง ๑ โยชน์ เต็มไปด้วยเมล็ดพันธุ์ผักกาด มีเมล็ดพันธุ์ผักกาดรวมกันเป็นกลุ่มก้อน บุรุษพึงหยิบเอาเมล็ดพันธุ์ผักกาดเมล็ดหนึ่งๆ ออกจากนคร โดยใช้เวลา ๑๐๐ ปีต่อ ๑ เมล็ด จนกว่าเมล็ดพันธุ์ผักกาดนั้นจะหมดสิ้นไป ระยะเวลานั้น = ๑ กัปปะ
เราสิกขาธัมมะของพระผู้มีพระภาคเจ้าเท่ากับความลึก ๔ อสังเขยยะ กำไรแสนกัปปะ
ธัมมะของพระพุทธเจ้านั้น ไม่ใช่ความคิดของ ปุถุชนคนกิเลสะหนา
ธัมมะของพระพุทธเจ้านั้น ไม่ใช่ความคิดของ สัตวนิรยะ (สัตว์นรก)
ธัมมะของพระพุทธเจ้านั้น ไม่ใช่ความคิดของ เปตะ (เปรต)
ธัมมะของพระพุทธเจ้านั้น ไม่ใช่ความคิดของ อสุรกายะ (อสุรกาย)
ธัมมะของพระพุทธเจ้านั้น ไม่ใช่ความคิดของ ติรัจฉานะ(สัตว์เดรัจฉาน)
ธัมมะของพระพุทธเจ้านั้น ไม่ใช่ความคิดของ มนุสสะ (มนุษย์)
ธัมมะของพระพุทธเจ้านั้น ไม่ใช่ความคิดของ เทวตา (เทวดา)
ธัมมะของพระพุทธเจ้านั้น ไม่ใช่ความคิดของ พรหม
ธัมมะของพระพุทธเจ้านั้น ไม่ใช่ความคิดของ อรูปพรหม
ความคิดที่มีอยู่ในโลกเป็นของยาก เช่นความคิดของเทวตา พรหม อรูปพรหม แต่ความคิดของพระพุทธเจ้านั้นมีความลุ่มลึกยิ่งกว่าวิสัยปุถุชนคนธรรมดาจะระลึกได้ การจะไปถึง ๔ อสังเขยยะ กำไรแสนกัปปะ ต้องมีพระพุทธเจ้าเป็นผู้นำทางเราไปสู่ความลุ่มลึกนั้น เราไม่สามารถจะไปขุดความลึกซึ้งนั้นได้ เพราะเป็นธัมมคัมภีระ ในความเป็นธัมมคัมภีระ ไม่ว่าจะลึก ซึ้ง สงบ ปณีตะ นั้นก็คือ
สงบ คือ เวทนา
เวทนา คือ ฌานะ
ฌานะ คือ พระอรหันตะ
ธัมมะที่พระผู้มีพระภาคเจ้าประกาศต่อไปนั้น คือ พระพุทธองค์ทรงประกาศให้เห็นว่าหลักสัจจธัมมะคำสอนของพระพุทธเจ้านั้น เป็นธัมมะที่เป็นไปเพื่อความเป็นพระอรหันตะทั้งสิ้น ทรงประกาศหลักธัมมะลึกซึ้งรวม ๘๔,๐๐๐ พระธัมมขันธะ เป็นพระพุทธวจนะล้วน ๘๒,๐๐๐ พระธัมมขันธะ และอีก ๒,๐๐๐ พระธัมมขันธะ เป็นคำสอนจากพระพุทธสาวกะ เมื่อพระพุทธองค์ทรงยอมรับนั่นคือ พระพุทธวจนะ
หน้าที่ของเวเนยยสัตตาทั้งหลาย คือ มีหน้าที่ฟัง ฟัง ฟัง แล้วใคร่ครวญ ตรึกตรองในหลักธัมมะคำสอนของพระพุทธเจ้า แม้จะนั่งหลับตาก็คิดใคร่ครวญธัมมะอยู่ในใจ ไม่ใช่ไปนึกคิดเอาเองตามใจเรา หรือตามคำสอนของลัทธิต่างๆ เพราะในยุคกึ่งพุทธกาลนี้จะมีลัทธิต่างๆ เกิดขึ้นมากมายดังดอกเห็ด และนำคำสอนต่างๆ มาสอนโดยไม่สนใจพระติปิฏกะซึ่งเป็น พระพุทธวจนะ เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าโดยแท้
พระติปิฏกะ เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าอันเกิดจากความตรัสรู้ด้วยพระปารมีที่สร้างมา ๒๐ อสังเขยยะ กำไรแสนกัปปะ (สำหรับพระพุทธเจ้าปัญญาธิกะ) ถ้าเราไม่เอาพระติปิฏกะ เท่ากับว่าเราไม่เอาพระพุทธเจ้า ชาวพุทธะที่สนใจในพระพุทธสาสนาก็คือผู้ที่สนใจสิกขาในหลักธัมมะคำสอนของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่สนใจสิกขาแต่พุทธประวัติ หรือสนใจแต่พระสุตตะ หรือสนใจแต่พระวินยะ แต่หลักธัมมะที่สำคัญยิ่งคือ พระอภิธัมมะที่ประกอบด้วย ปรมัตถธัมมะ ๔ คือ จิตตะ เจตสิกะ รูปะ นิพพานะ การสิกขาธัมมะต้องเริ่มตั้งแต่ “อนุปาละ (อนุบาล)” แล้วจะไปจบเมื่อไรอย่าไปสนใจ ต้องนึกถึงว่า พระพุทธสาสนาไม่ใช่ของง่าย แต่เป็นของยากที่สุด พระพุทธสาสนาจึงไม่ง้อคน พระพุทธเจ้าไม่ได้ไปอ้อนวอน ขอร้อง หรือบังคับให้เชื่อ พระพุทธสาสนาถือว่าเป็นเพชรล้ำค่า ไม่ง้อให้คนฟัง ไม่ได้ง้อให้คนนับถือ ถือเสียว่า “ใครทำ ใครได้” พระพุทธองค์ทรงมีหน้าที่ “ชี้ทางให้เดินสู่นิพพานะ” แล้วแต่ใครจะมีปุญญะได้เดินตามหรือไม่เท่านั้น
พระพุทธเจ้า ทรงชี้ เข้าไปใน จิตตะ ของเรา
พระพุทธเจ้า ทรงชี้ เข้าไปใน เจตสิกะะ ของเรา
พระพุทธเจ้า ทรงชี้ เข้าไปใน รูปะ ของเรา
เมื่อพระพุทธเจ้าทรงชี้เข้าไปในจิตตะ เจตสิกะ รูปะ ของเราแล้ว ทำให้เรารู้ตามพระพุทธองค์ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ คือ เมื่อพระพุทธเจ้า “ตรัส” เราจึง “รู้” ตามพระพุทธองค์
การ “ชี้” คือ การสดับธัมมะตามหลักพุทธธัมมะคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า ก่อนพระพุทธองค์จะทรงเทสนา ก่อนพระพุทธองค์จะประกาศธัมมะ พระพุทองค์ทรงพุทธรำพึงว่า : “ธัมมะที่ตถาคตะตรัสรู้แล้วนี้ ลึก ซึ้ง เห็นได้ยาก รู้ตามได้ยาก สงบ ปณีตะ มิใช่วิสัยแห่งตักกะ คือ คิดเอาเองไม่ได้ หรือไม่ควรลงความเห็นด้วยการเดา...”
การที่ทรงพุทธรำพึงเพื่อประกาศว่า “คำสอนของพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์นั้นเป็นธัมมะที่สุขุม คัมภีระ ลุ่มลึก ยากที่เวเนยยสัตตาจะรู้ได้ด้วยตนเอง” การประกาศพระพุทธสาสนาเพื่อให้พุทธปริสาทั้ง ๔ คือ ภิกขุ ภิกขุนี อุปาสกะ อุปาสิกา ถึงพระพุทธสาสนาคือมี สัทธา ที่มาจากสัทธาเจตสิกะ เป็นโสภณเจตสิกะ ทำงานกับกุสลจิตตะอย่างเดียว มีความหมายว่ากั้นบาป กั้นอกุสละ กันอกุสละไม่ให้เข้ามา ถ้าเราไม่ถึงพระพุทธเจ้า ทำให้เราขาดโอกาสที่จะสิกขาธัมมะให้เข้าใจ พระพุทธเจ้าทรงมีพุทธรำพึงเพื่อประกาศว่า : “ปริสา ๔ ทั้งหลายถ้าท่านถึงสัทธาเมื่อไร ท่านจะถึงสติ” สัทธานี้ คือ พระพุทธเจ้า การที่เราจะสัทธาพระพุทธเจ้านั้น คือเราต้องฟังธัมมะคำสอนของพระพุทธองค์เราต้องสิกขาธัมมะของพระพุทธองค์ไปตามลำดับ เพื่อก่อให้เกิดผลในอนาคตะภายหน้า
ในความหมายของพุทธรำพึงนี้ ผู้ที่จะรับฟังความคิดคำนึงในจิตตะของพระพุทธเจ้าได้คือ ท้าวสหัมปตีพรหม พระอรหันตะชั้นอกนิฏฐกาสุทธาวาสะ ท่านได้ยินกระแสพุทธดำรัสจากพุทธรำพึงในจิตตะ ณ ต้นอชปาลนิโครธะ (ต้นไทร) และกระแสพุทธรำพึงนี้ไปถึงชั้นอกนิฏฐกาพรหม ชั้นสุทธาวาสะ ซึ่งท่านท้าวสหัมปตีพรหม ท่านมีหน้าที่จะต้องมาอาราธนา แม้พระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ก็จะมีลักษณะอย่างนี้ เป็นการประกาศพระพุทธสาสนา ซึ่งไม่ใช่การประกาศธรรมดา แต่เป็นการประกาศว่า : “ธัมมะที่พระพุทธเจ้าจะทรงแสดงต่อไปนี้ ไม่ใช่ของง่าย ธัมมะที่พระพุทธเจ้าจะทรงประกาศต่อไปนี้ เป็นหลักธัมมะที่นำพาเวเนยยสัตตา ไปสู่มัคคะ ผละ นิพพานะ พ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดใน๓๑ ภูมิ”
พระพุทธเจ้าทรงพุทธรำพึงและท้าวสหัมปตีพรหมทรงรับทราบ และทรงทูลอาราธนาธัมมะว่า : “สัตวะทั้งหลายผู้มีกิเลสธุลีในนัยน์ตาน้อย (มีอกุสลจิตตะน้อย) ยังมีอยู่ในโลกนี้ ยังสามารถฟังธัมมะเข้าใจ และสามารถบรรลุธัมมะได้ ขอพระพุทธองค์ทรงโปรดอนุเคราะห์แสดงธัมมะ เพื่อโปรดเวเนยสัตตาให้ออกจากสังสารวัฏฏะด้วยเถิด”
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพิจารณาเวไนยสัตวะเปรียบประดุจบัว ๔ เหล่า คือ :
๑. อุคฆฏิตัญญู คือบุคคลที่อาจรู้ธัมมะโดยเฉียบพลันเพียงแต่ท่านยกหัวข้อธัมมะขึ้นแสดง มีปัญญาเฉียบแหลม ฟังหัวข้อธัมมะก็เข้าใจ เพียงได้รับธัมมะก็เข้าใจ เปรียบเสมือนบัวที่พ้นน้ำ อันน้ำไม่ติดแล้ว เพียงได้รับแสงอาทิตย์ก็บานทันที ได้แก่ “ติเหตุกปุคคละ” ผู้มีจิตตะ ๑๓ คือ :
ติเหตุกปุคคละ จิตตะ ๑๓ : กามาวจรญาณสัมปยุตตมหากุสลจิตตะ ๔
รูปาวจรมหากุสลจิตตะ ๕
อรูปาวจรมหากุสลจิตตะ ๔
ไม่มีอกุสลจิตตะ ๑๒ (โลภจิตตะ๘ โทสจิตตะ๒ โมหจิตตะ๒) ขึ้นมากั้นธัมมะปุคคละประเภทนี้ได้แก่ : พรหมผู้ได้ฌานะ ผู้ได้สมาธิมีปัญญาตัดกิเลสะ เพราะมีสมาธิเป็นฐานของปัญญา พร้อมที่จะบรรลุธัมมะโดยเฉียบพลัน และเป็นผู้มี กุสลเหตุ ๓ คือ :
๑. อโลภเหตุ
๒. อโทสเหตุ
๓. อโมหเหตุ (ปัญญาเจตสิกะ ตัดกิเลสะ)
หรือมี เหตุอีก ๓ คือ :
๑. พระวินยปิฎกะ ๒๑,๐๐๐ พระธัมมขันธะ
๒. พระสุตตันตปิฎกะ ๒๑,๐๐๐ พระธัมมขันธะ
๓. พระอภิธัมมปิฎกะ ๔๒,๐๐๐ พระธัมมขันธะ
ได้แก่ ปุคคละในสมัยพุทธกาล แม้เพียงฟังธัมมะจากพระพุทธเจ้าเพียงอัตถธัมมะเดียวก็บรรลุธัมมะ เป็นปุคคละผู้เกิดมาด้วย “ญาณสัมปยุตมหาวิปากจิตตะ”
๒. วิปจิตัญญู คือ ปุคคละผู้อาจรู้ธัมมะต่อเมื่อท่านอธิบายขยายความความหมายของหัวข้อนั้นๆ เปรียบเสมือนบัวปริ่มน้ำ พร้อมที่จะบานในวันต่อไป ได้แก่ปุคคละผู้เป็น “ทวิเหตุกปุคคละ” บุคคลผู้มีจิตตะ ๑๔ คือ :
ทวิเหตุกปุคคละ จิตตะ ๑๔ : โลภมูลจิตตะ ๘
โทสมูลจิตตะ ๒
กามาวจรญาณวิปปยุตตมหากุสลจิตตะ ๔
ปุคคละผู้มีญาณวิปปยุตตจิตตะ ๔ ยังมี :
กุสลเหตุ ๒ คือ อโลภเหตุ ๑ และ อโทสเหตุ ๑
อกุสลเหตุ ๒ คือ โลภเหตุ ๑ และ โทสเหตุ ๑
ปุคคละประเภทนี้จะฟังธัมมะพระพุทธเจ้าได้ แต่จะเข้าใจยาก จะบรรลุธัมมะยาก เพราะยังมีโลภเหตุ และโทสเหตุ จะเข้าใจธัมมะต่อเมื่อมีการขยายข้อธัมมะ ต้องสะสมภูมิธัมมะไปอีกนับอเนกอนันตชาติ จะต้องใช้เวลาอีกเนิ่นนาน ปุคคละประเภทนี้ได้แก่ เทวตาตั้งแต่ชั้น ตาวตึงสา ยามา ตุสิตา นิมมานรตี ปรนิมมิตวสวัตตี ผู้ยังอยู่ในกามาวจรภูมิ เกิดมาด้วย “ญาณวิปปยุตมหาวิปากจิตตะ”
๓. เนยยะ คือ ปุคคละที่พอจะแนะนำได้ คือพอจะฝึกสอนอบรมให้เข้าใจธัมมะได้ เมื่อได้รับการขยายอธิบายข้อธัมมะให้กระจ่างมากยิ่งขึ้นกว่าวิปจิตัญญู เปรียบเสมือนบัวที่อยู่ใต้น้ำ พร้อมที่จะบานในวันต่อๆ ไปคือปุคคละที่เป็น “สุคติอเหตุกปุคคละ” ต้องใช้เวลาในการใคร่ครวญธัมมะ ส่วนมากเป็นคนที่ไม่มีโอกาสได้ฟังธัมมะ หรือมีโอกาสฟังธัมมะแล้วแต่ไม่สนใจ และไม่รู้ธัมมะ และชอบคิดเอาเองไม่ฟังพระพุทธเจ้า ได้แก่คนในยุคนี้ ปุคคละประเภทนี้เรียกว่า “สุคติอเหตุกปุคคละ” ไม่มีเหตุ ๖ มาทำงาน คือ :
กุสลเหตุ ๓ คือ อโลภเหตุ ๑ อโทสเหตุ ๑ อโมหเหตุ ๑
อกุสลเหตุ ๓ คือ โลภเหตุ ๑ โทสเหตุ ๑ โมหเหตุ ๑
ได้แก่ คนผู้มาเกิดด้วย อุเปกขาสันตีรณอเหตุกกุสลวิปากจิตตะ มีจิตตะทำงาน ๑๖ คือ :
สุคติอเหตุกปุคคละ จิตตะ ๑๖ : โลภจิตตะ ๘
โทสจิตตะ ๒
โมหจิตตะ ๒
กามาวจรญาณวิปปยุตตมหากุสลจิตตะ ๔
ปุคคละประเภทนี้ เป็นคนไม่มีเหตุผล เมื่อฟังพระพุทธเจ้าไม่เข้าใจ ไม่รู้เรื่อง ต้องเริ่มต้นสะสมธัมมะใหม่ เริ่มมีวินยะ และทำตามวินยะของพระพุทธเจ้า ได้แก่ คน มนุสสะ และเทวตาชั้นจาตุมหาราชิกา ๔. ปทปรมะ คือปุคคละที่ไม่สามารถจะเข้าใจธัมมะ ไม่สามารถรู้ธัมมะ หมดโอกาสบรรลุธัมมะ เปรียบเสมือนบัวที่อยู่ในโคลนตม มีแต่จะเป็นอาหารของเต่า ปู ปลา ฯลฯ คือปุคคละผู้เป็น “ทุคติอเหตุกปุคคละ” คือ ปุคคละผู้มีจิตตะ ๑๒ ทำงานอยู่เป็นประจำคือ :
ทุคติอเหตุกปุคคละ จิตตะ ๑๒ : โลภมูลจิตตะ ๘
โทสมูลจิตตะ ๒
โมหมูลจิตตะ ๒
ปุคคละประเภทนี้มีอกุสลจิตตะ ๑๒ ทำงานพร้อมด้วยอกุสลเจตสิกะ ปุคคละประเภทนี้ได้แก่ อปายสัตว์ในอปายภูมิ ๔ คือ สัตวนิรยะ เปตะ อสุรกายะ และสัตวติรัจฉานะ ผู้ไม่สามารถจะรู้ธัมมะได้ หมดโอกาสบรรลุธัมมะ มีแต่อกุสลเหตุมาทำงานคือ :
โลภเหตุ ๑ โทสเหตุ ๑ โมหเหตุ ๑
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเป็นพระสัพพัญญูพุทธเจ้า ทรงทราบความเป็นไปของสัตวะทั้งหลายด้วยความตรัสรู้ วิชชา ๓ คือ :
๑. ปุพเพนิวาสานุสสติญาณะ ทรงทราบเรื่องราวในอดีตภวะ (อตีตภพ) ย้อนกลับไปถึงพันชาติ หมื่นชาติ แสนชาติ นับจะประมาณมิได้ ว่าทรงเกิดเป็นอะไร มีชื่อ โคตตะ(โคตร)ได้เสพสุขะ ทุกขะมาอย่างไร
๒. จุตูปปาตญาณะ ทรงมีทิพพจักขุ ล่วงรู้ถึงกำเนิดหรือจุติ หรืออุปัตติของสัตวะทั้งหลาย รู้ถึงกัมมะ (กรรม) และปารมีที่สัตวะสั่งสมมาว่าจะบรรลุธัมมะด้วยธัมมะใด
๓. อาสวักขยญาณะ ทรงตรัสรู้การทำอาสวะให้สิ้น บรรลุถึงพระสัมมาสัมโพธิญาณ เป็น พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าและเพื่อประกาศให้โลกเห็นเป็นธัมมปัญญัตติว่า ธัมมะของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้นเป็นธัมมะที่ละเอียด สุขุม คัมภีรภาพ ต้องฟังและใคร่ครวญตามธัมมะของพระพุทธองค์เท่านั้น จึงจะลึก ซึ้ง และสงบ ปณีตะได้ ไม่ใช่มานั่งสงบของเราเอง
ถ้าจะสงบ ต้องสงบ โดยพุทธธัมมะ
ถ้าจะลึกซึ้ง ต้องลึกซึ้ง โดยพุทธธัมมะ
ถ้าจะปณีตะ ต้องปณีตะ โดยพุทธธัมมะ
๒.พระพุทธดำรัส
“ดูก่อน ภิกขุทั้งหลาย มหาสมุทรย่อมลึกลงไปตามลำดับ ลาดลงตามลำดับ ไม่โกรกชันเหมือนภูเขาขาด ฉันใด ธัมมวินยะนี้ก็ ฉันนั้น มีการสิกขาไปตามลำดับ การปฏิปัตติตามลำดับ การบรรลุธัมมะตามลำดับ ลุ่มลึกลงตามลำดับ”
ความงามของพระพุทธวจนะ ความลาดลุ่มลึกแห่งพุทธธัมมะ คือความเป็น “คัมภีระ” หลักธัมมะคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีความลาดลุ่มลึก เป็นอัศจรรย์ดุจห้วงมหาสมุทร เหมาะสมแก่สติปัญญาของชนทุกระดับชั้น หลักธัมมะในพระพุทธสาสนาจะมีความลึกซึ้ง และลุ่มลึกเป็นอัศจรรย์เข้าไปสู่จิตตะของเวเนยยชนะ( เวไนยชน) จนกว่าจะถึงอริยมัคคะ อริยผละ จนกว่าจะถึงโลกุตตระ
เรื่องความอัศจรรย์ของมหาสมุทรนี้ องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ตรัสกับอสูรชื่อ “ปหาราทะ” ดังปรากฏใน “ปหาราทสุตตะ” ในอัฏฐกนิปาตะ อังคุตตรนิกายะความว่า :
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ ควงไม้สะเดาที่ นเรฬุยักษ์สิงสถิตอยู่ ใกล้เมืองเวรัญชา ครั้งนั้น ท้าวปหาราทะ จอมอสูรได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ถวายอภิวาทะพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วยืนอยู่ ณ ที่สมควร พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสถามท้าวปหาราทะจอมอสูรว่า :
พระผู้มีพระภาคเจ้า : ปหาราทะ พวกอสูรย่อมอภิรมย์ในมหาสมุทรบ้างหรือ?
ท้าวปหาราทะ : ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พวกอสูรย่อมอภิรมย์ในมหาสมุทร
พระผู้มีพระภาคเจ้า : ปหาราทะ ในมหาสมุทรมีธัมมะที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยปรากฏสักเท่าไรที่พวกอสูรเห็น แล้วย่อมอภิรมย์
ท้าวปหาราทะ : ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ มี ๘ ประการ พุทธเจ้าข้า
พระผู้มีพระภาคเจ้า : ๘ ประการ อะไรบ้าง?
ท้าวปหาราทะ : ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ประการที่ ๑ มหาสมุทรลาดลุ่มลึก ลงไปตามลำดับ หาได้โกรกชันเหมือนเหวไม่
ประการที่ ๒ มหาสมุทรเต็มเปี่ยมอยู่เสมอ ไม่ล้นฝั่ง
ประการที่ ๓ มหาสมุทรไม่เกลื่อนด้วยซากศพ เพราะในมหาสมุทรคลื่นย่อมซัดเอาซากศพเข้าหาฝั่ง ให้ขึ้นบกทันที
ประการที่ ๔ แม่น้ำสายใหญ่ๆ บางสาย คือ แม่น้ำคงคา แม่น้ำยมุนา แม่น้ำอจิรวดี แม่น้ำสรภู แม่น้ำมหึ แม่น้ำเหล่านั้นไหลไปถึงมหาสมุทรแล้ว ย่อมละนามะและโคตตะเดิมหมด
ประการที่ ๕ แม่น้ำทุกสายในโลก ย่อมไหลไปรวมยังมหาสมุทร และสายฝนจากอากาศตกลงสู่มหาสมุทร มหาสมุทรก็มิได้ปรากฎว่าพร่อง หรือเต็มเพราะน้ำนั้นๆ
ประการที่ ๖ มหาสมุทรมีรสเดียว คือ รสเค็ม
ประการที่ ๗ มหาสมุทรมีรัตนะมากมายหลายชนิด ในมหาสมุทรมีรัตนะเหล่านี้ คือ แก้วมุกดา แก้วมณี แก้วไพฑูรย์ สังข์ สิลา แก้วประพาฬ เงิน ทอง ทับทิม มรกต
ประการที่ ๘ มหาสมุทรเป็นที่พำนักอาศัยของสิ่งมีชีวิตใหญ่ๆ และสิ่งมีชีวิตในมหาสมุทร มีดังนี้ ปลาติมิ ปลาติมิงคละ ปลาติมิรมิงคละ พวกอสูร นาค คนธรรพ์ แม้ที่มีร่างกายประมาณ ๑๐๐ โยชน์ ๒๐๐ โยชน์ ๓๐๐ โยชน์ ๔๐๐ โยชน์ ๕๐๐ โยชน์ ก็มีอยู่
จากนั้น ท้าวปหาราทะ ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า : ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็ภิกขุทั้งหลายย่อมอภิรมย์ในพระธัมมวินยะมีบ้างหรือ?
พระผู้มีพระภาคเจ้า : ปหาราทะ ภิกขุทั้งหลายย่อมอภิรมย์ในพระธัมมวินยะนี้
ท้าวปหาราทะ : ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ในพระธัมมวินยะนี้ มีธัมมะที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยปรากฏสักเท่าไรที่ภิกขุทั้งหลายเห็น แล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่
พระผู้มีพระภาคเจ้า : มีอยู่ ๘ ประการ ปหาราทะ ๘ ประการ เป็นไฉน?
๑.ปหาราทะ มหาสมุทรลาด ลุ่มลึก ลงไปตามลำดับ ไม่โกรกชันเหมือนเหวฉันใด ในพระธัมมวินยะนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน มีการสิกขาไปตามลำดับ มีการกระทำไปตามลำดับ มีการปฏิปัตติไปตามลำดับ มิใช่จะมีการบรรลุอรหัตตผละโดยตรง ข้อนี้เป็นธัมมะที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยปรากฏ ประการที่ ๑ ในพระธัมมวินยะนี้ ที่ภิกขุทั้งหลายเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่
๒.ปหาราทะ มหาสมุทรเต็มเปี่ยมอยู่เสมอ ไม่ล้นฝั่งฉันใด สาวกะทั้งหลายของตถาคตะก็ฉันนั้นเหมือนกัน ไม่ล่วงสิกขาปทที่ตถาคตะปัญญัตติไว้ แม้เพราะเหตุแห่งชีวิต ข้อนี้เป็นธัมมะที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยปรากฏ ประการที่ ๒ ในพระธัมมวินยะนี้ ที่ภิกขุทั้งหลายเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่
๓.ปหาราทะ มหาสมุทรไม่เกลื่อนด้วยซากศพ เพราะในมหาสมุทรคลื่นย่อมซัดเอาซากศพเข้าหาฝั่ง ให้ขึ้นบกฉันใด ปหาราทะ ฉันนั้นก็เหมือนกัน ปุคคละผู้ทุสีล มีปาปธัมมะ มีสมจาระ ไม่สะอาด น่ารังเกียจ ปกปิดกัมมะชั่ว มิใช่สมณะ แต่มีปฏิญาณะว่าเป็นสมณะ มิใช้ผู้ประพฤติพรหมจรรย์ แต่มีปฏิญาณะว่าประพฤติพรหมจรรย์ เน่าใน ชุ่มด้วยราคะ เป็นเพียงดังหยากเยื่อ สังฆะย่อมไม่อยู่ร่วมกับปุคคละนั้น ประชุมกันยกวัตรเธอเสียแล้วทันที แม้เขาจะนั่งอยู่ท่ามกลางภิกขุสังฆะก็จริง ถึงกระนั้น เขาก็ชื่อว่าห่างไกลจากสังฆะ สังฆะห่างไกลจากเขา ข้อนี้เป็นธัมมะที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยปรากฏ ประการที่ ๓ ในพระธัมมวินยะนี้ ที่ภิกขุทั้งหลายเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่
๔.ปหาราทะ แม่น้ำสายใหญ่ๆ บางสาย คือ แม่น้ำคงคา แม่น้ำยมุนา แม่น้ำอจิรวดี แม่น้ำสรภู แม่น้ำมหึ แม่น้ำเหล่านั้นไหลไปถึงมหาสมุทรแล้ว ย่อมละนามะและโคตตะเดิมหมด ถึงความนับว่ามหาสมุทรนั้นเองฉันใด ปหาราทะ ฉันนั้นก็เหมือนกัน วรรณะ ๔ เหล่านี้คือขัตติยะ(กษัตริย์ ) พราหมณะ(พราหมณ์ ) เวส(แพศย์) ศูทร ออกปัพพัชชา (บวช) ป็นปัพพชิตะ(บรรพชิต)ในพระธัมมวินยะที่ตถาคตะประกาศแล้ว ย่อมละนามะและโคตตะเดิมเสีย ถึงความนับว่าเป็นสมณสักกปุตตะ(สมณศากยบุตร)ทั้งนั้น ข้อนี้เป็นธัมมะที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยปรากฏประการที่ ๔ ในพระธัมมะวินัยนี้ ที่ภิกขุทั้งหลายเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่
๕.ปหาราทะ แม่น้ำทุกสายในโลก ย่อมไหลไปรวมยังมหาสมุทร และสายฝนจากอากาศตกลงสู่มหาสมุทร มหาสมุทรก็มิได้ปรากฎว่าพร่อง หรือเต็มเพราะน้ำนั้นๆฉันใด ปหาราทะฉันนั้นก็เหมือนกัน ถึงแม้ภิกขุเป็นอันมากจะปรินิพพานะด้วยอนุปาทิเสสนิพพานะธาตุ นิพพานธาตุก็มิได้ปรากฏว่าพร่องหรือเต็มด้วยภิกขุนั้น ข้อนี้เป็นธัมมะที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยปรากฏ ประการที่ ๕ ในพระธัมมวินยะนี้ ที่ภิกขุทั้งหลายเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่
๖.ปหาราทะ มหาสมุทรมีรสะเดียว คือ รสะเค็มฉันใด ปหาราทะฉันนั้นก็เหมือนกัน พระธัมมวินยะมีรสเดียว คือ วิมุตตรสะ ข้อนี้เป็นธัมมะที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยปรากฎ ประการที่ ๖ ในพระธัมมวินยะนี้ ที่ภิกขุทั้งหลายเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่
๗.ปหาราทะ มหาสมุทรมีรัตนมากมายหลายชนิด ในมหาสมุทรมีรัตนะเหล่านี้ คือ แก้วมุกดา แก้วมณี แก้วไพฑูรย์ สังข์ สิลา แก้วประพาฬ เงิน ทอง ทับทิม มรกต ฉันใด ปหาราทะ ฉันนั้นก็เหมือนกัน พระธัมมวินยะนี้มีรัตนะมากมายหลายชนิด รัตนะในพระธัมมวินยะมีดังนี้ คือ สติปัฏฐานะ๔ สัมมัปปธานะ๔ อิทธิปาทะ๔ อินทริยะ๕ พละ๕ โพชฌังคะ๗ อริยมัคคมีองค์ ๘ ข้อนี้เป็นธัมมะที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยปรากฏ ประการที่ ๗ ในพระธัมมวินยะนี้ ที่ภิกขุทั้งหลายเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่
๘. ปหาราทะ มหาสมุทรเป็นที่พำนักอาศัยของสิ่งมีชีวิตใหญ่ๆ และสิ่งมีชีวิตในมหาสมุทร มีดังนี้ ปลาติมิ ปลาติมิงคละ ปลาติมิรมิงคละ พวกอสูร นาค คนธรรพ์ แม้ที่มีร่างกายประมาณ ๑๐๐ โยชน์ ๒๐๐ โยชน์ ๓๐๐ โยชน์ ๔๐๐ โยชน์ ๕๐๐ โยชน์ ก็มีอยู่ ฉันใด ฉันนั้นก็เหมือนกัน พระธัมมวินยะนี้ก็เป็นที่พำนักอาศัยของสิ่งมีชีวิตใหญ่ๆ สิ่งมีชีวิตในพระธัมมวินยะนี้ มีดังนี้ คือ :
โสตาปัตติมัคคะ ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อกระทำให้แจ้งซึ่ง โสตาปัตติผละ
สกทาคามิมัคคะ ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อกระทำให้แจ้งซึ่ง สกทาคามิผละ
อนาคามิมัคคะ ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อกระทำให้แจ้งซึ่ง อนาคามิผละ
อรหัตตมัคคะ ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อกระทำให้แจ้งซึ่ง อรหัตตผละ
ข้อนี้เป็นธัมมะที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยปรากฏ ประการที่ ๘ ในพระธัมมวินยะนี้ ที่ภิกขุทั้งหลายเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสถึงความอัศจรรย์ของมหาสมุทร เปรียบความลุ่มลึกของมหาสมุทร กับที่สุดของพระธัมมวินยะ คือได้เป็นอริยปุคคละ ๘ มีพระอรหันตะเป็นที่สุด
ธัมมะที่พระพุทธเจ้าทรงชี้ อย่าเข้าใจว่า มหาสมุทรคือ มหาสมุทร มหาสมุทรคือพระพุทธเจ้า เวลาพระพุทธเจ้าทรงแสดงธัมมเทสนา เป็นไปด้วยความสุขุมะ คัมภีระ ลุ่มลึก เข้าไปในจิตตะของเรา
มหาสมุทรย่อมลึกลงไปตามลำดับ เรามองมหาสมุทร คือ ธัมมะของพระพุทธเจ้าที่ทรงเทสนาสั่งสอน ทุกท่านที่สดับธัมมะมีกุสละเดิมมาตั้งแต่อตีตะ(อดีต) จะมีความลุ่มลึกในธัมมะไปตามลำดับ ดังปุคคละ ๑๒ ประเภท คือ :
๑. ทุคติอเหตุกปุคคละ ได้แก่ อปายภูมิ ๔ : สัตวนิรยะ เปตะ อสุรกายะ และสัตวติรัจฉานะ
๒. สุคติอเหตุกปุคคละ ได้แก่ คน มนุสสะ และเทวตาชั้นจาตุมหาราชิกา
๓. ทวิเหตุกปุคคละ ได้แก่ เทวตาตั้งแต่ชั้นตาวติงสา ยามา ตุสิตา นิมมานรตี ปรนิมมิตวสวัตตี
๔. ติเหตุกปุคคละ ได้แก่ พรหมผู้ได้ฌานะ ผู้ได้สมาธิ
๕. โสตาปัตติมัคคปุคคละ
๖. โสตาปัตติผลปุคคละ
๗. สกทาคามิมัคคปุคคละ
๘. สกทาคามิผลปุคคละ
๙. อนาคามิมัคคปุคคละ
๑๐. อนาคามิผลปุคคละ
๑๑. อรหัตตมัคคปุคคละ
๑๒. อรหัตตผลปุคคละ
“ลาดลงตามลำดับ” คือ หลักธัมมะจะต้องมีเบื้องต้น ท่ามกลาง และที่สุด ในหลักธัมมะนั้นจะต้องมองว่า นี่คือ พระพุทธวจนะที่ว่า ทางที่ลาดไปตามลำดับ คือ ทางที่พระพุทธเจ้าทรงสอน จะค่อยๆ ลุ่มลึกไปตามลำดับ คือค่อยๆ ลาดไปทีละนิดๆ เราต้องรู้ตั้งแต่เริ่มต้นคือ อนุปาละ เหมือนทางโลกเริ่มเรียนตั้งแต่ อนุบาล ประถม มัธยม อุดมศึกษา บัณฑิตศึกษา มหาบัณฑิต ดุษฎีบัณฑิต เช่นเดียวกันในทางธัมมะ ก็ต้องเริ่มตั้งแต่พื้นฐานคือ เรื่องของจิตตะ เจตสิกะ และรูปะ
“ไม่โกรกชันเหมือนภูเขาขาด” คำว่า “โกรกชัน” คือทางที่เต็มไปด้วยโลภะ โทสะ โมหะ ถ้าปุคคละยังมีความโกรกชันเหมือนภูเขาขาด คือเต็มไปด้วยโลภะ โทสะ โมหะ ก็จะรับธัมมะไม่ได้ ภูเขาที่โกรกชันก็จะไม่มีอะไรติดค้างอยู่ ธัมมะของพระพุทธเจ้าไปถึงปุคคละที่โกรกชันก็จะไม่มีธัมมะติดอยู่ ไม่มีที่ตรึกระลึกนึกถึงธัมมะ ปุคคละที่ฟังธัมมะจะเป็นผู้โกรกชันหรือเปล่า เราก็จะรู้ได้ด้วยตัวเองว่า เราจะเชื่อฟังธัมมะหรือไม่?
“ธัมมวินัยนี้ก็ฉันนั้น” หลักธัมมะของพระพุทธเจ้าก็เช่นกัน มีการสิกขา (ศึกษา) ไปตามลำดับ การนำธัมมะขั้นสูงมากระทำ เช่น การเพ่งกสิณะ การทำมหาสติปัฏฐานะ การเพ่งรูปะนามะ เรียกว่า ไม่เป็นไปตามลำดับ พระพุทธองค์ตรัสว่าต้องมีการสิกขาไปตามลำดับ มีการปฏิปัตติไปตามลำดับ บรรลุธัมมะไปตามลำดับ ไม่มีการข้ามขั้น การนำธัมมะขั้นสูง ชั้นยอดมากระทำโดยไม่รู้พื้นฐาน จะทำให้เราพบภัยพิบัติ(วิปัตติ) คือ ทางจิตตะ เราไม่รู้ว่าจะไปทางไหน จะมีอุปสรรค ถ้าเราค่อยๆ สิกขาไปตามลำดับ รู้ไปตามลำดับ เราก็จะไม่มีอุปสรรค จะราบเรียบไปเรื่อยๆ
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า : “ดูกรภิกขุทั้งหลาย มหาสมุทรย่อมลึกลงไปตามลำดับ” คำว่า “ภิกขุ” หมายรวมถึง ภิกขุ และภิกขุนี ถ้าเราสิกขาไปตามลำดับ เราก็จะไม่มีปัญหา ธัมมะของพระพุทธเจ้าเป็นของลุ่มลึก ต้องฟังธัมมะจากพระพุทธเจ้าอย่างเดียว การจะได้ฌานะก็ได้จากคำสอนของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ไปนั่งเอาเอง
สรุป คือ พุทธดำรัสของพระปรมสัตถา(พระบรมศาสดา) ชี้ว่า การจะเข้าถึงหลักธัมมะนั้นจะต้องพากเพียรพยายาม ไม่ใช่ในชาตินี้ชาติเดียว พระอริยปุคคละ ท่านก็บำเพ็ญเพียรมาแล้วนับอเนกอนันตชาติ กว่าท่านจะประสบผลสำเร็จ เรามาอ่านพบตอนที่ท่านสำเร็จแล้ว เราก็นึกว่าธัมมะเป็นของง่าย แต่เราไม่ใช่พระอริยเจ้าที่ท่านสั่งสมปารมีธัมมะมาแล้วจากอตีตะ(อดีต) ดังนั้น การสิกขาธัมมะของเรานั้นต้องสิกขาตามขั้นตอนไปตามลำดับ ต้องรู้จักจิตตะ เจตสิกะ รูปะ จึงจะถึงซึ่งพระนิพพานะ ต้องรู้จัก อกุสละ กุสละ จนกระทั่งไปสู่ฌานะ และโลกุตตระ พระพุทธเจ้าทรงชี้ให้เห็นว่า ธัมมะนั้นมีความลุ่มลึก พุทธปริสา ๔ ( พุทธบริษัท ๔) คือ ภิกขุ ภิกขุนี อุปาสกะ อุปาสิกา อย่าได้ท้อถอย การสิกขาธัมมะจะลุ่มลึกไปตามลำดับจนกว่าจะได้รับผล
๓. ลักขณะการสอนธัมมะ ๘๔,๐๐๐ พระธัมมขันธะ
อาการะที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน :
๑. อภิญฺญา ทรงสั่งสอนเพื่อให้ผู้ฟัง รู้ยิ่ง เห็นจริง ในธัมมะที่ควรรู้ ควรเห็น
๒. สนิทาน ทรงสั่งสอน มีเหตุที่ผู้ฟัง อาจตรองตามให้เห็นจริงได้
๓. สปฺปาฏิหาริย ทรงสั่งสอนเป็นอัศจรรย์ คือผู้สิกขาตามย่อมได้ประโยชน์โดยสมควรแก่การสิกขาธัมมะนั้น
๑. อภิญฺญา พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสั่งสอน ให้ผู้ฟังให้รู้ยิ่ง
เห็นจริงในธัมมะที่ควรรู้ ควรเห็น
คำว่า “รู้ยิ่ง” เท่ากับ ความเป็นพระอรหันตะ ต้องรู้ตามพระพุทธเจ้า
คำว่า “เห็นจริง” คือ เห็นตามพระพุทธเจ้า ธัมมะที่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนให้ผู้ฟังให้รู้ยิ่ง เห็นจริง คำว่า “เห็นจริง” คือ เห็นตั้งแต่พื้นฐานธรรมดา เห็นตั้งแต่จิตตะ เห็นตั้งแต่เจตสิกะ เห็นตั้งแต่รูปะ แล้วเห็นไปจนถึงนิพพานะ
การที่เราสิกขาธัมมะผิด ประพฤติธัมมะผิด เพราะเราไปเห็นเอง ไม่ได้รู้แจ้งเห็นจริงตามพระพุทธเจ้า ถ้าเราสิกขาพระพุทธสาสนาถูกต้องมาตั้งแต่ต้น จนมาถึงปัจจุบัน พระพุทธสาสนาจะยิ่งใหญ่ที่สุด แต่เนื่องจากปุญญกุสละของแต่ละคนที่เกิดมา จะมีธัมมะในอตีตมาขนาดไหน จึงมาสดับธัมมะต่อเนื่อง ในยุคพุทธกาละ ผู้ที่มาพร้อมที่จะบรรลุธัมมะนั้นมีมาก ดังนั้นพระพุทธองค์จึงไม่ต้องทรงสอนมาก แต่จะบอกหลักเกณฑ์ไว้สำหรับชนรุ่นหลังว่า จะต้องไตร่ตรอง ใคร่ครวญธัมมะของพระพุทธองค์อย่างไร ธัมมะนั้นมีสภาพคงเดิม ไม่มีผันแปรที่เรียกว่า “ตาทิ” คือ “คงที่” หมายความว่า ถ้าสิกขาตามคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้าก็จะเป็นไปตามนี้ คือต้องรู้ยิ่งและเห็นจริงด้วย คือ ธัมมะที่พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้ แล้วจะมาอยู่ที่จิตตะเรา เราต้องเริ่มต้นด้วยสัจจธัมมะคำสอนเท่านั้น จึงจะเข้ากฎว่า รู้ยิ่ง เห็นจริง
ธัมมะของพระพุทธเจ้าเป็นอภิญญา ผู้ฟัง ผู้ได้สะสมภูมิธัมมะมาดีแล้ว จึงจะรู้ยิ่ง เห็นจริง เข้าถึงธัมมะนั้น
๒. สนิทาน ทรงสั่งสอนมีเหตุที่ผู้ฟังอาจตรองตามให้เห็นจริงได้ ธัมมะของพระพุทธเจ้าเป็นสนิทานะ เป็นเรื่องราวที่ปุคคละได้สร้างกุสละไว้ในอตีตะ(อดีต) สามารถที่จะตรองตามธัมมะ และเข้าถึงธัมมะได้ ดังปุคคละในสมัยพุทธกาละ
ธัมมะของพระผู้มีพระภาคเจ้ามีเหตุและผลรับกันตลอด แต่ผู้ฟังอาจตรองตามให้เห็นจริงได้ หรือาจตรองตามไม่ทัน คืออาจจะต้องใช้เวลายาวนานเป็นแสนล้านชาติ จึงจะรู้ยิ่ง เห็นจริง แต่เราก็โชคดีที่ชาตินี้ได้เกิดมาพบพระพุทธสาสนา และมาสิกขาข้ออัตถธัมมะ และถือเป็นปุญญะ(บุญ) เป็นอย่างยิ่งที่ได้มาสิกขาธัมมะ แม้อย่างน้อย ท่องจำจิตตะได้ ๑ จิตตะ ก็คือเห็นจริงไปแล้ว ๑ ข้อ
จิตตะเกิดจากความหยั่งรู้ของพระพุทธเจ้า เกิดจากความเห็นจริงของพระพุทธเจ้า แล้วเราจะไม่มีปุญญะได้อย่างไร แต่เนื่องจากเรานำหลักธัมมะคำสอนของพระพุทธองค์มาเรียนแปล ทำให้เราเข้าไม่ถึงธัมมะ ต้องเรียนแปลภาสาโลก แล้วกลับเข้าสู่ภาสาธัมมะ เมื่อเราไม่มีธัมมะของพระพุทธองค์อยู่ในจิตตะ ก็แสดงว่า เรายังไม่มีการรู้ยิ่ง เห็นจริง ในธัมมะที่ควรรู้ ควรเห็น การตรัสรู้ไม่ใช่เกิดที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย แต่เกิดที่จิตตะ การเป็นพระโสตาปันนะ พระสกทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันตะเป็นที่จิตตะ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมีอาสวักขยญาณะดับปฏิจจสมุปปาทะ ดับการเวียนว่ายตายเกิดใน ๓๑ ภูมิ สามารถทำให้สิ้นอาสวกิเลสะ แล้วทำทุกคนให้สิ้นอาสวกิเลสะด้วย ถ้าฟังธัมมะ สิกขาธัมมะตามพระพุทธเจ้า อย่านึกคิดเอาเอง อย่าพูดเอาเอง โดยไม่มีหลักธัมมะคำสอนของพระพุทธองค์
๓. สปฺปาฏิหาริย ธัมมะของพระพุทธเจ้าเป็นสัปปาฏิหาริยะ ทรงสั่งสอนเป็นอัศจรรย์ ผู้สิกขาตามย่อมได้ประโยชน์โดยสมควรแก่การสิกขาธัมมะนั้น คือจะสามารถบรรลุธัมมะไปตามลำดับ ตั้งแต่พระโสตาปันนะ พระสกทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันตะ
เราเกิดมาเชื่อคำสั่งสอนของปุถุชนะ เราก็ไปตามทางของปุถุชนะ ปุถุชนะคือผู้มีกิเลสะหนา หนาด้วยโลภะ หนาด้วยโทสะ หนาด้วยโมหะ ปุถุชนคืออปายภูมิ ๔ แต่ถ้าเราเชื่อคำสอนของพระพุทธเจ้า เราก็ไปมัคคะผละ นิพพานะ เมื่อเราอยู่ในทางโลก ก็ต้องแบ่งเวลาให้ทางธัมมะด้วย เวลาของเราคือต้องฟังธัมมะ ฟังพระติปิฏกะ จดจำธัมมะ ค่อยๆ พัฒนาจิตตะ ตามธัมมะของพระพุทธองค์ จนกว่าจะถึงธัมมะไปตามลำดับ
๔ . พุทธปริสา ๔ และหน้าที่ของพุทธปริสา ๔
พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงประกาศ พุทธปริสา ๔
พุทธปริสา๔ (พุทธบริษัท ๔) เกิดขึ้น ในสมัยที่พระยาปรนิมมิตวสวัตตีมาราธิราช ทูลอาราธนาพระผู้มีพระภาคเจ้าให้เสด็จปรินิพพานะ ครั้งเสวยวิมุตติสุขะ ณ ต้นอชปาลนิโครธะในสัปดาห์ที่ ๕ หลังตรัสรู้ว่า : “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าจงปรินิพพานะ ขอพระสุคตะจงปรินิพพานะในบัดนี้เถิด บัดนี้เป็นเวลาปรินิพพานะของพระผู้มีพระภาคเจ้า”
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า : “ดูก่อนมาระผู้มีปาปะ (ผู้มีบาป ผู้ที่ยังไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้า) ปริสาทั้ง ๔ คือ ภิกขุปริสา ภิกขุนีปริสา อุปาสกปริสา อุปาสิกาปริสา ผู้เป็นสาวกะของตถาคตะ จักยังไม่ฉลาด ไม่ได้รับการแนะนำ ยังไม่แกล้วกล้า ไม่เป็นพหูสุตตะ(พหูสูต) ไม่ทรงธัมมะ ไม่สิกขาธัมมะสมควรแก่ธัมมะ ไม่ปฏิบัติชอบ ไม่ประพฤติตามธัมมะ เรียนกับอาจารย์ของตน จักบอก จักปัญญัตติ จักแต่งตั้ง จักเปิดเผย จักจำแนก จักทำให้ตื้น จักแสดงธัมมะมีปาฏิหาริยะ (คำสอนที่เห็นผลได้จริง) ข่มขี่ปรับปวาทะ (คำโต้แย้งของลัทธิอื่น) ที่เกิดขึ้นให้เรียบร้อยโดยสหธัมมะ (ความเห็นตรงกัน) ไม่ได้ เพียงใด ดูก่อนมาระผู้มีปาปะ ตถาคตะจักยังไม่ปรินิพพานะเพียงนั้น”
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประกาศให้ทราบว่า พระพุทธสาสนาต้องประกอบด้วย พุทธปริสา๔ คือ ภิกขุปริสา ภิกขุนีปริสา อุปาสกปริสา และอุปาสิกาปริสา จะขาดปริสาใด ปริสาหนึ่ง มิได้
หน้าที่พุทธปริสา๔ พึงกระทำ
๑. พุทธปริสา ๔ ต้องเป็นผู้รู้ เข้าใจ และสามารถประพฤติธัมมะได้ถูกต้อง ตามพระพุทธธัมมะคำสอน ๘๔,๐๐๐ พระธัมมขันธะ (พระพุทธวจนะ, พระติปิฏกะ)
๒. พุทธปริสา ๔ ต้องสามารถ แนะนำ สั่งสอนผู้อื่นให้ประพฤติตามได้อย่างถูกต้อง ตามพระธัมมวินยะ ๘๔,๐๐๐ พระธัมมขันธะ (พระวินยะ พระสุตตันตะ พระอภิธัมมะ)
๓. เมื่อมีผู้กล่าว ติเตียน จ้วงจาบ แสดงคำสอน ผิด พลาด พุทธปริสา ๔ ต้องสามารถ ชี้แจง แก้ไข ให้ถูกต้องตาม หลักธัมมะของพระพุทธสาสนา (พระพุทธวจนะ)
จึงเป็นหน้าที่ของพุทธปริสา ๔ ที่จะต้องรักษาพระพุทธสาสนาไว้ให้ลูกหลานต่อไปภายหน้ายิ่งชีวิต
· พุทธปริสา๔ = พุทธบริษัท ๔
ได้แก่ : ๑. ภิกขุ (สามเณร)
๒. ภิกขุนี (สามเณรี สิกขมานา)
๓. อุปาสกะ
๔. อุปาสิกา
การทูลอาราธนาปรินิพพานะของพระยามาราธิราช เป็นเหตุให้สมเด็จพระสมณโคตมพุทธเจ้า ทรงตั้งพุทธปริสา๔ และกำหนดธัมมะ ๓ ประการ ซึ่งเป็นหน้าที่ของพุทธปริสา ๔ การจะเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องมีพุทธปริสา ๔ รองรับเป็นพุทธสาวกะ ถ้าเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าไม่ต้องมีพุทธปริสา ๔
พระยามาราธิราช เป็นพระโพธิสัตโต (พระโพธิสัตว์)ที่จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคตกาละภายหน้า ทรงพระนามว่า “สมเด็จพระธัมมสามีพุทธเจ้า” ซึ่งจะต้องทำหน้าที่ของพระพุทธเจ้าเช่นเดียวกัน ท่านจะต้องเรียนรู้กิจจะนี้ จึงได้มีการทูลอาราธนาให้พระผู้มีพระภาคเจ้าปรินิพพานะอยู่เสมอ
การที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงวางหลักไว้ว่า สาสนาของพระพุทธองค์จะต้องมีพุทธปริสา ๔ คือ ภิกขุปริสา ภิกขุนีปริสา อุปาสกปริสา และอุปาสิกาปริสา ไม่ใช่มีเพียงปริสา ๓ โดยขาดภิกขุนีปริสา เพราะเข้าใจกันในปัจจุบันว่า ภิกขุนีปริสาหมดสิ้นไปแล้ว แต่โดยที่พระพุทธองค์กำหนดไว้ว่าต้องมีพุทธปริสา๔ ถ้าขาดปริสาใดปริสาหนึ่ง เหลือเพียง ปริสา๓ จะต้องสืบต่อให้ครบปริสา๔ ดังเช่นประเทศศรีลังกา ยามใดที่เหลือปริสา๒ คือ อุปาสกปริสา และอุปาสิกาปริสา ประเทศศรีลังกาก็ขอภิกขุปริสาจากประเทศไทย ประเทศไทยเป็นสยามวงศ์ ภิกขุลังกาได้รับสืบทอดเป็นสยามวงศ์ และประเทศไทยก็ได้รับภิกขุสืบทอดมาจากลังกาวงศ์ จนบัดนี้ประเทศศรีลังกามีพุทธปริสา๔ ครบถ้วน แต่ประเทศไทยยังคงมีปริสา๓ โดยไม่ยอมรับภิกขุนีปริสาที่ไปบวชมาจากประเทศอื่น ซึ่งขณะนี้ก็เริ่มมีภิกขุนีปริสาบ้างแล้ว แต่ยังไม่เป็นที่แพร่หลาย
พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อตรัสรู้แล้วทรงฝากพุทธสาสนาไว้กับพุทธปริสา๔ ไม่ได้ฝากไว้กับปริสาใดปริสาหนึ่ง เมื่อเกิดความผิดพลาด พุทธปริสา๔ ต้องช่วยกันแก้ไขให้ถูกต้องตามพระธัมมวินยะ และปริสาทั้ง ๔ นี้จะเป็นเนื้อนาปุญญะ พร้อมนำธัมมะไปสู่การสิ้นอาสวะ
การจะสิ้นอาสวะนั้นไม่ใช่ของง่าย และการตรัสรู้ของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ต้องบำเพ็ญเพียรถึง ๒๐ อสังเขยยะ กำไรแสนกัปปะ นั่นคือตั้งความปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าไว้ในใจ ๗ อสังเขยยะ ประกาศพระวาจาว่าจะเป็นพระพุทธเจ้าอีก ๙ อสังเขยยะ รวมเป็น ๑๖ อสังเขยยะ หลังจากนั้นต้องรอคอยการพยากรณะ (ยืนยัน) จากสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่ง
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประกาศสัจจธัมมะคำสอนแล้ว ทรงมอบให้พุทธปริสา ๔ ก่อนที่พระพุทธเจ้าจะเสด็จปรินิพพานะนั้น พระพุทธองค์ไม่ได้ทรงตั้งสาวกะองค์ใดให้รับตำแหน่งเป็นพระศาสดาปกครองคณะสังฆะสืบต่อจากพระองค์ เมื่อพระพุทธองค์ปรินิพพานะไปแล้ว
พระปรมสัตถา(พระบรมศาสดา) ตรัสบอกพระมหาอานนทเถระว่า : “ดูก่อนอานนท์ ธัมมะก็ดี วินยะก็ดี ที่ตถาคตะได้แสดงไว้ และปัญญัตติไว้ด้วยดี นั่นแหละจักเป็นพระศาสดาของพวกท่านสืบแทนตถาคตะ เมื่อตถาคตะล่วงไปแล้ว” (จาก มหาปรินิพพานสุตตะ)
ดังนั้น พระธัมมวินยะ หรือ พระติปิฏกะ ๘๔,๐๐๐ พระธัมมขันธะ จึงเป็นศาสดาในพระพุทธสาสนานี้แทนองค์พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
พุทธปริสาทั้งหลายจะต้องไปหาพระศาสดา คือ พระพุทธวจนะ๘๔,๐๐๐ พระธัมมขันธะ ที่เราเรียกว่า “ติปิฎกะ” แม้เราจะท่องจำพระติปิฏกะ ๘๔,๐๐๐ พระธัมมขันธะ เราทำปุญญกิริยาวัตถุเป็นประจำโดยไม่รู้หลักธัมมะ เรารักษาพระวินยะอย่างเคร่งครัด เรารู้จักพระสุตตะอย่างถ่องแท้ เราก็ได้เพียง “อุเปกขาสันตีรณ อเหตุกกุสลวิปากจิตตะ” เท่านั้น เป็นเพียง สุคติอเหตุกปุคคลจิตตะที่สะสมกุสละอันน้อยนิด ยังไม่เป็นมหากุสลจิตตะที่จะสะสมเป็น “กามาวจรมหาวิปากจิตตะ” เมื่อเรามาสิกขาธัมมะคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้าในพระอภิธัมมะ ซึ่งเป็นเรื่องของเหตุ จึงจะเป็นกุสละแท้ ไปอยู่ในกามาวจรมหาวิปากจิตตะ๘ เป็นทวิเหตุกปุคคละ ที่จะพัฒนาต่อไป
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประกาศว่า ในสาสนาของพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ ต้องมีพุทธปริสา๔ และในพุทธปริสา๔ นั้นจะต้องฟังธัมมะของพระพุทธเจ้าอย่างเดียว ถ้าฟังแล้วจะเข้าใจธัมมะ ไม่ใช่ไปฟังธัมมะจากคนนอกลัทธิที่นำมาเผยแพร่กันเหมือนดอกเห็ด
หน้าที่ของพุทธปริสา ๔
๑. ภิกขุ ต้องฟัง พระพุทธเจ้า
๒. ภิกขุนี ต้องฟัง พระพุทธเจ้า
๓. อุปาสกะ ต้องฟัง พระพุทธเจ้า
๔. อุปาสิกา ต้องฟัง พระพุทธเจ้า
ถ้าใครไม่ฟังพระพุทธเจ้า (คำสอนของพระพุทธเจ้า) ในปริสา๔ จะต้องไปชี้แจง ไปบอก ว่ากล่าวตักเตือน เพื่อช่วยให้เดินทางได้อย่างถูกต้อง พุทธปริสา ๔ ต้องช่วยกันเอง ทุกท่านมีหน้าที่ในการฟังธัมมะจนสามารถรู้และเข้าใจธัมมะ จนสามารถแนะนำสั่งสอนผู้อื่นได้
หน้าที่ของพุทธปริสา ๔ ต้องกระทำ คือ :
๑. พุทธปริสา๔ ต้องเป็นผู้รู้ เข้าใจ และสามารถประพฤติธัมมะได้ถูกต้อง ตามพระพุทธธัมมะคำสอน ๘๔,๐๐๐ พระธัมมขันธะ (พระพุทธวจนะ พระติปิฏกะ)
หน้าที่ของพุทธปริสา ๔ ต้องเป็นผู้รู้ เข้าใจธัมมะของพระพุทธเจ้า การศึกษาทางโลกจนจบปริญญาตรี ปริญญาโท ปริญญาเอก ฯลฯ มีความรู้ทางโลกมากมาย เช่น วิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ คณิตศาสตร์ อักษรศาสตร์ เกษตรศาสตร์ ฯลฯ ศาสตร์ทางโลกทั้งหมดเป็นเรื่องของทิฏฐิ ผู้รู้อย่างนี้เป็นทิฏฐิ เราต้องมีความรู้และเข้าใจทางธัมมะของพระพุทธเจ้าจึงจะเป็นญาณะ มีความรู้ที่เป็นกุสละ ที่จะพัฒนาจิตตะให้สูงไปตามลำดับ ความรู้ทางโลกเป็นแต่เรื่องของโลภะ โทสะโมหะ เป็นเรื่องของสัญญา ๓ คือ กามสัญญา โคจรสัญญา และมรณสัญญา เช่นเดียวกับสัตวติรัจฉานะทั้งหลาย แต่มนุสสะสามารถรู้ธัมมสัญญาได้ ซึ่งสัตวติรัจฉานะไม่สามารถมีได้
เราเป็นผู้สิกขา (ศึกษา) พุทธธัมมะคำสอน ๘๔,๐๐๐ พระธัมมขันธะ ต้องรู้และเข้าใจหลักธัมมะด้วย ไม่ใช่จำแบบนกแก้ว นกขุนทอง เราต้องสิกขาให้ถูกต้องตามพระพุทธวจนะถูกต้อง ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า เราต้องสิกขาทั้งพระวินยะ พระสุตตันตะ และพระอภิธัมมะ
พระวินยะ เป็นเรื่องของ ผล
พระสุตตันตะ เป็นเรื่องของ ผล
พระอภิธัมมะ เป็นเรื่องของ เหตุ
การเวียนว่ายตายเกิดเป็นผลที่มาจาก เหตุ มี จิตตะ เจตสิกะ รูปะการจะดับเหตุต้องรู้เรื่องเหตุ เหตุคือพระอภิธัมมะที่กล่าวถึงเรื่องของ จิตตะ เจตสิกะ รูปะ จึงจะถึงซึ่งพระนิพพานะ ถ้าเราได้มีโอกาสได้สิกขาธัมมะแล้ว เราจะสิกขาไปตามลำดับ ถ้าเราไม่สิกขาธัมมะ เราก็จะไม่รู้ และจะไม่รู้ตลอดไป สิ่งที่เราต้องรู้คือเรื่องของปรมัตถธัมมะ ที่ประกอบด้วยเรื่องของ จิตตะ เจตสิกะ รูปะ และ นิพพานะ ซึ่งเป็นเรื่องของชีวิตของเราเอง
๒. พุทธปริสา ๔ ต้องสามารถแนะนำ สั่งสอนผู้อื่นให้ประพฤติตามได้อย่างถูกต้อง ตามพระธัมมวินยะ ๘๔,๐๐๐ พระธัมมขันธะ (พระวินยะ พระสุตตันตะ พระอภิธัมมะ)
พุทธปริสา๔ ต้องสามารถนำธัมมะที่ได้สิกขามา รู้ตามธัมมะของพระพุทธเจ้าแล้ว เป็นธัมมะที่ถูกต้อง เมื่อเข้าใจธัมมะแล้ว สามารถนำไปแนะนำสั่งสอนผู้อื่น ให้รู้ตามธัมมะนั้นได้ไปตามลำดับ เช่น
- ไม่ใส่ในปัตตะ(บาตร) ด้วยวัตถุอนามาส เช่น เงิน ทอง ข้าวสาร อาหารแห้ง ฯลฯ
- ไม่ถวายสังฆทานะที่มีอาหาร หลังเที่ยงไปแล้ว
- ไม่ถวายจีวระ นอกจีวรกาละ
- ไม่ทำสังฆทานะเวียน
- ไม่ชวนภิกขุสนทนา ขณะท่านกำลังฉันภัตตาหาระ
- ไม่ถวายหมากพลู บุหรี่ ยาเสพติดทั้งหลาย
- ไม่ถวายบัตรเครดิต
- ไม่ถวายโทรศัพท์ที่ทำให้ท่านต้องอาปัตติ
- ไม่ถวายเครื่องบำรุงบำเรอความสุขะทางโลกทั้งปวง
ฯลฯ
พระอภิธัมมะ เป็นธัมมะแห่งความตรัสรู้ เป็นธัมมะที่จะรื้อสัตวะขนสัตวะ ออกจากการเวียนว่ายตายเกิด เมื่อพุทธปริสา๔ ได้สิกขารู้ตามธัมมะแล้ว ต้องสามารถนำธัมมะนี้ไปแนะนำสั่งสอนผู้อื่น เพื่อช่วยให้ผู้อื่นพ้นทุกขะไปด้วย ซึ่งเป็นจุดประสงค์หลักของพระพุทธสาสนา
ธัมมะของพระพุทธเจ้า เป็นธัมมะที่สุขุม ลุ่มลึก คัมภีระ จำเป็นต้องใช้กาลเวลา พุทธปริสา๔ จะต้องทนฟัง และฟังทนไปจนกว่าจะรู้ธัมมะนั้น
๓.เมื่อมีผู้กล่าว ติเตียน จ้วงจาบ แสดงคำสอน ผิด พลาด พุทธปริสา๔ ต้องสามารถชี้แจง แก้ไข ให้ถูกต้อง ตามหลักธัมมะของพระพุทธสาสนา
เมื่อมีผู้กล่าวจาบจ้วงพระธัมมวินยะ ว่า :
- อย่าเชื่อปริยัตติ
- อย่าเชื่อพระติปิฏกะ
- พระติปิฏกะมีเพียงเล่มเดียว นอกนั้นแต่งขึ้นมาใหม่
- ใครจะจำพระติปิฏกะได้มากมายอย่างนี้
- บางคนบอกว่า ไม่เชื่อว่าพระมหาโพธิสัตโต ขณะเมื่อประสูติกาละทรงย่างพระปาทา(พระบาท)ได้ ๗ ก้าว
- บางคนอ่านพระติปิฏกะไม่เข้าใจ ก็จะบอกว่า พระอภิธัมมะแต่งขึ้นมาภายหลัง
ฯลฯ
พุทธปริสา๔ ต้องช่วยกันชี้แจง แก้ไขข้อผิดพลาดทั้งหลาย อย่านิ่งดูดาย การจะแก้ไขได้ ต้องมีความรู้ในพระธัมมะคำสอนของพระพุทธเจ้า ต้องสิกขาให้รู้ในพระธัมมวินยะให้รู้กระจ่างชัด ต้องฟังธัมมะของพระพุทธองค์ว่าจะแก้ไขได้อย่างไร ต้องรู้เหตุรู้ผล การจะรู้เหตุรู้ผล ต้องรู้เรื่องจิตตะ เจตสิกะ รูปะ เพราะธัมมะของพระพุทธเจ้าเป็นธัมมคัมภีระ ลุ่มลึก และลึกซึ้ง
ธัมมะของพระพุทธเจ้า เรียกว่า “ปริยัติ” หรือ “ปริยัตติ” คือ “ปริยัตติธัมมะ”
“คำสอนของพระพุทธเจ้า” คือ “พระธัมมวินยะ”
“ปริยัตติ” คือ “พระพุทธวจนะ ๘๔,๐๐๐ พระธัมมขันธะ” ซึ่งเป็นเหตุ เราต้องฟังคำสอนของพระพุทธเจ้า แล้วจึงได้รับผลจากการฟังคำสอน คือ “ปฏิบัตติ” เป็น “พระอริยปุคคละ ๘ ประเภท” แล้วจึงถึงซึ่ง “ปฏิเวธะ” คือ “พระนิพพานะ”
ปริยัตติ คือ พระพุทธวจนะ ๘๔,๐๐๐ พระธัมมขันธะ
ปฏิปัตติ คือ พระอริยปุคคละ ๘ ประเภท
๑. พระโสตาปัตติมัคคะ ๒. พระโสตาปัตติผละ
๓. พระสกทาคามิมัคคะ ๔. พระสกทาคามิผละ
๕. พระอนาคามิมัคคะ ๖. พระอนาคามิผละ
๗. พระอรหัตตมัคคะ ๘. พระอรหัตตผละ
ปฏิเวธะ คือ พระนิพพานะ
สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ
หลักในการสิกขา ธัมมะของพระพุทธเจ้า
๑. สุตฺต หรือ สวน (สะวะนะ) คือ ฟังพระพุทธเจ้าเท่านั้น
สุตฺต = โสต = ฟัง
การสิกขาธัมมะ คือ ต้องฟังพระพุทธเจ้า ว่าพระพุทธเจ้าทรงสอนว่าอย่างไร ไม่ใช่ฟังจากครูอาจารย์ แล้วปักใจเชื่อโดยไม่เทียบเคียง เปรียบเทียบกับพระติปิฏกะ
การได้เป็นพระอริยปุคคละ เริ่มต้นที่พระโสตาปันนะ
โสดา = โสตา = โสต = ฟัง คือต้องฟัง ทุกคนที่บรรลุธัมมะในพระสุตตันตปิฎกะ ล้วนต้องฟังธัมมะจากพระพุทธเจ้า ที่สาวกะนำมาแสดง ไม่มีผู้ใดที่ไม่ฟังพระพุทธเจ้าแล้วจะบรรลุธัมมะได้เลย
๒. การสิกขาธัมมะของพระพุทธเจ้าให้คิดไว้เสมอว่า เราต้องเป็นเพียงเด็กอนุบาลเท่านั้น ในทางโลกกว่าเราจะเรียนจบปริญญาตรี ปริญญาโท ปริญญาเอก กว่าเราจะอ่านออกเขียนได้ มีวุฒิจบปริญญาในระดับต่างๆ มีอาชีพ มียศ มีตำแหน่ง มีฐานะ จบเปรียญธัมมะ เราต้องเริ่มเรียนตั้งแต่ เรียนก.ไก่ – ฮ.นกฮูก ผสมสระ พยัญชนะ วรรณยุกต์ จากชั้นอนุบาล ประถม มัธยม อุดมศึกษา จนจบปริญญา เช่นเดียวกันในทางธัมมะ ซึ่งเป็นธัมมคัมภีระ เราต้องสิกขาตั้งแต่พื้นฐานของธัมมะ คือต้องสิกขาในเรื่อง จิตตะ เจตสิกะ รูปะ ซึ่งเป็นปรมัตถธัมมะ จนกว่าจะไปสู่ขั้นการบรรลุธัมมะ เป็นพระโสตาปันนะ จนถึง พระอรหันตะ
สิ่งที่เราเรียนมาทางโลก เป็นไปได้ใน สัญญา ๓ คือ กามสัญญา โคจรสัญญา และมรณสัญญา เพื่อใช้ทำมาหากิน เลี้ยงชีวิต เมื่อตายลงเป็นเหตุให้ไปอปายภูมิเท่านั้น ส่วน ธัมมสัญญาของพระพุทธเจ้าเป็นไปเพื่อมัคคะ ผละ นิพพานะ
๓. การสิกขาธัมมะให้คิดเสมอว่า เราต้องทนฟังและฟังทนเท่านั้น เพราะธัมมะของพระพุทธเจ้าเป็นไปเพื่อการหลุดพ้น การจะหลุดพ้นได้ต้องใช้เวลายาวนานเป็นอสังเขยยชาติ (อสงไขยชาติ) พระผู้มีพระภาคเจ้า (ปัญญาธิกะ) ต้องใช้เวลาถึง ๒๐ อสังเขยยะ กำไรแสนกัปปะ เพื่อตรัสรู้ธัมมะที่จะนำมาสั่งสอนเวเนยยสัตตา (เวไนยสัตวะ)ให้พ้นทุกขะ ข้อธัมมะล้วนเป็นธัมมคัมภีระ ลึกซึ้ง เห็นได้ยาก และรู้ตามได้ยาก จำเป็นต้องใช้เวลายาวนาน และต้องอดทน
๔. อย่าใจร้อน อย่าด่วนได้ อย่าเอาแต่ใจ อย่ามักง่าย ต้องใคร่ครวญธัมมะให้ลึกซึ้ง อย่ายกตนเทียบปุคคละในสมัยพุทธกาละ อย่าตีตนเสมอพระพุทธองค์ อย่าปัญญัตติธัมมะเอาเอง อย่าได้คิดเอาเอง หรือลงความเห็นด้วยการเดา
ปุคคละในสมัยพุทธกาละ ท่านได้สะสมข้อธัมมะมามากมาย เมื่อท่านเกิดมา ท่านพร้อมที่จะบรรลุธัมมะ แม้เพียงฟังธัมมะจากพระพุทธเจ้าเพียงเล็กน้อย ก็สามารถเข้าใจและบรรลุธัมมะได้ เรามีข้อคิดแล้วว่ :
เราจะต้องทำอย่างไรจึงจะถึงธัมมะได้อย่างท่าน?
สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ
หลักในการอ่านพระติปิฏกะให้เข้าใจ
๑. ต้องคำนึงถึง คติธัมมะในการสิกขา(ศึกษา)พระพุทธสาสนา
๑.๑ พระพุทธรำพึง ที่ว่า : “ธัมมะที่ตถาคตะตรัสรู้แล้วนี้ ลึกซึ้ง เห็นได้ยาก รู้ตามได้ยาก สงบ ปณีตะ มิใช่วิสัยแห่งตักกะ(ตรรก) คือ คิดเอาไม่ได้ หรือไม่ควรลงความเห็นด้วยการเดา...”
๑.๒ พระพุทธดำรัส ที่ว่า : “ดูกรภิกขุ ทั้งหลาย มหาสมุทรย่อมลึกลงไปตามลำดับ ลาดลงตามลำดับ ไม่โกรกชัน เหมือนภูเขาขาด ฉันใด ธัมมวินยะนี้ก็ ฉันนั้น มีการสิกขาไปตามลำดับ การปฏิปัตติตามลำดับ การบรรลุธัมมะตามลำดับ ลุ่มลึกลงตามลำดับ”
๒. เราเป็นปุถุชนคนธรรมดาในยุคปัจจุบัน เป็นเพียง สุคติอเหตุกปุคคละ มีจิตตะ ๑๖
สุคติอเหตุกปุคคละ จิตตะ ๑๖ : โลภจิตตะ ๘
โทสจิตตะ ๒
โมหจิตตะ ๒
กามาวจรญาณวิปปยุตตมหากุสลจิตตะ ๔
อย่าได้คิดเปรียบเทียบกับปุคคละในสมัยพุทธกาละที่ท่านฟังธัมมะแล้วบรรลุธัมมะได้ง่ายดาย เพราะท่านเป็น ติเหตุกปุคคละมีจิตตะ ๑๓
ติเหตุกปุคคละ จิตตะ ๑๓ : กามาวจรญาณสัมปยุตตจิตตะ ๔
รูปาวจรมหากุสลจิตตะ ๕
อรูปาวจรมหากุสลจิตตะ ๔
ท่านผู้มีญาณสัมปยุตตจิตตะ ๔ รูปาวจรมหากุสลจิตตะ ๕ และ อรูปาวจรมหากุสลจิตตะ ๔ มีฌานะแล้ว มีสมาธิแล้ว แล้ว พร้อมที่จะบรรลุธัมมะ
๓. อย่าได้ปรามาสะพระภิกขุ พระภิกขุนี อุปาสกะ อุปาสิกา ที่ท่านเป็นปฐมปัญญัตติ เป็นผู้มีหน้าที่มาวางรากฐานด้านต่างๆ ให้แก่ พระพุทธสาสนา เช่นพระฉัพพัคคีย์ เป็นต้น เป็นต้นปัญญัตติในเรื่องของพระวินยะหลายประการ และในที่สุด ภิกขุแต่ละท่านที่มาเป็นต้นปัญญัตติ ซึ่งไม่ต้องอาปัตติ ก็สามารถบรรลุธัมมะได้ การจะมีพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น และจะตั้งพระพุทธสาสนาได้ จะต้องมีผู้อาสาสมัครมาสร้างเหตุของพระวินยะ เป็นต้นปัญญัตติ และพระพุทธองค์จึงจะวางพระวินยะเป็นสิกขาปทได้ แม้ในพระสุตตะ ก็จะมีผู้มาบรรลุธัมมะในลักษณะต่างๆ เพื่อให้มีเรื่องราวครบถ้วนบริบูรณ์ไว้ในพระพุทธสาสนา เพื่อจะได้ไม่มีผู้มากล่าวคัดค้านได้
๔. หลักธัมมะใดที่เราอ่านแล้วยังไม่เข้าใจ ต้องคิดว่าภูมิธัมมะของเรายังไม่มี หรือมีแล้ว แต่ยังไม่สุขุมะ คัมภีระ ก็ควรอ่านผ่านไปก่อน อย่าไปวิพากษ์วิจารณ์ธัมมะของพระพุทธเจ้า
๕. การเรียนแปล พระพุทธวจนะ ให้เป็นไปตามความหมายภาสาโลก จะยังเข้าไม่ถึงความหมายที่สุขุม ลุ่มลึก คัมภีระ เหมือนกับภาสาธัมมะของพระพุทธเจ้า เช่น :
โลภะ เราแปลภาสาโลกว่า อยากได้ของเขา แต่ภาสาธัมมะหมายถึง โลภจิตตะ ๘ ซึ่งจะต้องมีปุคคละผู้มี จิตตะ ๑๒๑ เจตสิกะ ๕๒ รูป ๒๘ มีกระบวนการทำงาน จนเข้าสู่ความเป็นพระอรหันตะ
๖. การอ่านพระติปิฏกะ เช่นอ่านพระวินยะ และพระสุตตันตะมีความรู้เรื่องพระพุทธประวัติ พระพุทธกิจจะตลอด ๔๕ พระพรรษา ประวัติพุทธสาวกะ ฯลฯ เป็นการอ่านเรื่องราวที่เป็นวิปากะ เป็นผลสำเร็จมาแล้ว ว่ามีปุคคละใด ทำอะไรไว้ ที่ไหน ทำแล้วเกิดผลอย่างไร แต่ยังไม่รู้ถึงเหตุที่ทำให้เกิดผลนั้น การจะรู้เหตุต้องสิกขาในพระอภิธัมมะ ซึ่งเป็นเรื่องของปรมัตถธัมมะ ประกอบด้วยเรื่องของจิตตะ เจตสิกะ และรูปะ จึงจะถึงพระนิพพานะ
๗. การตีความหมายธัมมะของพระพุทธเจ้า จะไม่มีคำแปล จะมีแต่ความรู้ลึกซึ้ง ขยายเข้าไปสู่ภาษสาธัมมะ คือ รู้เข้าไปในเรื่องของ จิตตะ เจตสิกะ รูปะ และกระบวนการทำงานของวิถีจิตตะในเรื่องนั้นๆ ซึ่งเป็นเรื่องของปรมัตถธัมมะในพระพระอภิธัมมะเท่านั้น จึงจะเข้าไปรู้ถึงเรื่องเหตุ แล้วจึงไปดับเหตุนั้นได้ โดยพระพุทธเจ้าทรงนำพาไปเท่านั้น
๘. เราท่านทั้งหลายจำเป็นต้องสิกขาภาสาธัมมะ คือ เรื่องของพระอภิธัมมะจึงจะเข้าใจพระติปิฏกะได้ลึกซึ้ง คัมภีระ เข้าไปสู่ความเข้าใจถูกต้องในหลักธัมมะอย่างแท้จริง จึงจะมีธัมมะเข้าไปรักษา คุ้มครองจิตตะ ให้พ้นภัยจากการเวียนว่ายตายเกิดในสงสารวัฏฏะ
๓๑ ภูมิได้
สงสารวัฏฏะ๓๑ ภูมิ ได้แก่ : อปายภูมิ ๔ มนุสสะ ๑ เทวตา ๖ พรหม ๑๖ อรูปพรหม ๔
สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ